ตอนที่ 89 ผูกไว้ให้ดี

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 89 ผูกไว้ให้ดี

หัวหน้าสายตรวจกลัวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปมันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แย่ลง เขาจึงรีบยื่นมือไปขวางเจ้าหน้าที่พวกนั้น เพื่อไม่ให้พวกเขาผลีผลามทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด

เหลือเพียงหานอิงฉีที่ยังคงร้องตะโกนเหมือนเป็นบ้าอยู่ตรงนั้น “ไม่ได้เรื่อง ไอ้พวกไร้ประโยชน์ กลัวได้แม้กระทั่งคนง่อย!”

หานอิงฉียังพูดไม่ทันจบคำ เขาก็ถูกเตะอย่างรุนแรงเสียก่อน

ทุกคนยังไม่ตอบสนองกลับมา ก็เห็นดาบที่แหลมคมเล่มหนึ่งกำลังจ่อปลายดาบไปที่คอหอยของหานอิงฉี

หานอิงฉีตกใจจนใบหน้าซีดเผือด เขาเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก แต่เพราะปลายดาบจ่ออยู่ตรงคอหอย เขาจึงตัวสั่นขณะพูด และไม่เห็นท่าทางอวดดีตามปกติแล้วด้วย

ไป๋จีเหยียบลงไปบนหน้าอกของหานอิงฉีโดยที่ยังถือดาบไว้ในมือ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าอย่าพูดบ้า ๆ บอ ๆ อีก”

เมื่อปลายดาบกดลงมาเบา ๆ หานอิงฉีรู้สึกเพียงว่าความเจ็บปวดแพร่กระจายออกมาจากตรงบริเวณคอหอย

เลือดแดงสดไหลลงมาจากลำคอของหานอิงฉีไม่มากนัก ทว่าแม้จะมีเพียงน้อยนิด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้ว่าถ้าหากหานอิงฉีพูดอะไรที่ไม่น่าฟังอีก ต่อไปปลายดาบนี้จะไม่เพียงแค่แทงให้ผิวหนังถลอกเช่นนี้ แต่จะแทงทะลุคอหอยของหานอิงฉีโดยตรง

หานอิงฉีตกใจจนเสียงเปลี่ยน “หัวหน้าสายตรวจโจ รีบช่วย… ช่วยข้าเร็ว ๆ!”

หัวหน้าสายตรวจโจรู้ว่าวันนี้จะต้องเจอเรื่องต้องห้ามอย่างแน่นอน เขาจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างเสียไม่ได้ “ท่านผู้นี้…”

เขาไม่รู้ว่าจะเรียกไป๋จีอย่างไรดี  ดูจากการแต่งกายของไป๋จี เขาน่าจะเป็นองครักษ์ แต่คนที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เห็นทีว่าจะเป็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเข็นเสียมากกว่า

หัวหน้าสายตรวจโจตัดสินใจหันไปหาชายหนุ่มบนรถเข็น ซึ่งท่าทีของเขาอ่อนน้อมถ่อมตนมาก “ท่านผู้นี้ โปรดให้องค์รักษ์ของท่านอย่าวู่วาม อาจเป็นความเข้าใจผิดกันก็ได้ขอรับ”

นิ้วเรียวยาวของกงจี้เคาะลงบนราวจับของรถเข็นอย่างเอ้อระเหย “อ้อรึ ? ข้าไม่สน ไปเรียกขุนนางอำเภอของพวกเจ้ามาคุยกับข้าซะ”

หัวหน้าสายตรวจโจขานรับอย่างต่อเนื่อง “เราส่งคนไปเชิญขุนนางอำเภอแล้วขอรับ โปรดท่านรอสักครู่”

กงจี้หัวเราะเยาะ ขณะที่หัวหน้าสายตรวจโจไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาจึงต้องยิ้มสู้

ผ่านไปไม่นาน ขุนนางฉือก็รีบมาที่นี่ทันที  คนที่มาด้วยกันกับเขาคือหญิงสาววัยยี่สิบกว่าปีที่แต่งตัวสวยงามคนหนึ่ง เมื่อนางเห็นหานอิงฉีถูกคนเหยียบย่ำอยู่บนพื้นโดยที่คนผู้นั้นใช้ดาบจ่อลำคอน้องชายของนาง และที่ลำคอยังคงมีรอยเลือดติดอยู่ นางก็แทบจะเป็นลมล้มตึง แต่นางไม่กล้าผลีผลาม สิ่งที่กล้าก็มีเพียงจับแขนของขุนนางฉือเท่านั้น “พี่ฉือ พี่ช่วยอิงฉีสิเจ้าคะ รีบให้คนเข้าไปจับตัวคนร้ายพวกนี้เร็ว ๆ”

ถึงแม้ว่าจะร้องไห้ แต่น้ำเสียงของนางกลับยังคงหวานหยาดเยิ้มและอ่อนหวานเหมือนนกขมิ้นร้องไห้ทำนองนั้น

เมื่อหานอิงฉีเห็นคนที่คอยสนับสนุนตนเองมาแล้ว ความมั่นใจของเขาก็กลับมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็พูดขึ้นพลางสะอื้น “ฮึก ๆ พี่! รีบให้พี่เขยจับตัวพวกมันเร็วเข้าสิ! เร็ว!”

กงจี้ยกยิ้มมุมปากนิดหน่อย จากนั้นเขาก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชา

เห็นได้ชัดว่าขุนนางฉือไม่ได้ไร้สมองเหมือนหานอิงฉี เขาเห็นว่าแม้ว่าชายหนุ่มจะเดินไม่สะดวกจึงต้องนั่งรถเข็น แต่ดูจากเสื้อผ้า นิสัย… และท่าทางทั่วทั้งตัวโดยภาพรวมของเขา ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณชายของตระกูลร่ำรวยธรรมดาจะมีได้

ขุนนางฉือเป็นเจ้าพ่อที่อำเภอฉือเจียจนชินแล้ว ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสถานะของกงจี้ไม่ธรรมดา แต่เขาจะไม่ยอมสูญเสียสถานะของตัวเองต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้เด็ดขาด เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด “เจ้าเป็นใคร ?! เจ้าจี้ปล้นนักเรียนของทางโรงเรียนเช่นนี้ หรือว่าเจ้าอยากเป็นศัตรูกับผู้มีความรู้บนโลกทั้งหมด ?”

ประกายความเย้ยหยันที่อยู่บนหน้าผากของกงจี้มีมากขึ้น น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นอยู่เล็กน้อยและผสมไปด้วยการเสียดสี “ขุนนางฉือช่างหน้าใหญ่คับฟ้าจริง ๆ น้องชายของภรรยาท่านผู้นี้เป็นตัวแทนของผู้มีความรู้บนโลกนี้อย่างนั้นรึ ? เขาเป็นอันดับหนึ่งในราชวงศ์หรือว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่มีวิชาความรู้กันล่ะ ? …เขากำเริบเสิบสานและใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยอาศัยอำนาจของขุนนางฉือ หรือว่าผู้มีความรู้บนโลกทั้งหมดก็สามารถทำแบบเขาได้เช่นกัน ?”

คำพูดเบาหวิวไม่กี่คำกลับทำให้ขุนนางฉือพาลโกรธเอาดื้อ ๆ

เดิมทีเขาต้องการติดป้ายราคาให้ชายหนุ่มบนรถเข็นก่อน เพื่อให้เขากลายเป็นเป้าที่ผู้คนต่างเข้าโจมตีและเพื่อกระตุ้นความเกลียดชังของผู้อื่นที่มีศัตรูคนเดียวกัน แต่ใครจะไปคิดว่าชายหนุ่มจะไม่อ่อนแอแม้แต่น้อยเลย นอกจากนี้ เขายังพูดอ้อมกลับมาอย่างเชี่ยวชาญอีกต่างหาก

ขุนนางฉือตวาด “วาทะปีศาจสะกดฝูงชน! เจ้าพูดบ้าบออะไรกัน ?!  ข้าว่าเจ้ามีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่มากกว่า! เจ้าหน้าที่ จับพวกมันทั้งหมดไปที่คุกและสอบปากคำพวกมันอย่างเข้มงวด”

เจียงหยุนชานจับมือเจียงป่าวชิงไว้แน่น

กงจี้หัวเราะอย่างเย็นชาพลางเรียก “ไป๋จี”

“ขอรับนายท่าน” เมื่อไป๋จีได้รับสัญญาณจากกงจี้ เขาก็ไม่สนใจหานอิงฉีอีกต่อไป เขาเก็บดาบเข้าฝักและเดินไปหาขุนนางฉือทันที

หานอิงฉีตะเกียกตะกายหนีไปด้านข้างด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว เวลานี้เขาสั่นไปทั้งตัว

หานจีร้องห่มร้องไห้และโถมตัวเข้าใส่หานอิงฉี “อิงฉี เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ? สวรรค์ เหตุใดพวกเขาถึงกล้าทำเช่นนี้กับเจ้า!  แต่เจ้าไม่ต้องห่วง พี่เขยเจ้าจะต้องผดุงความยุติธรรมให้กับเจ้าอย่างแน่นอน” นางร้องไห้เหมือนดอกสาลี่ที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝนอย่างไรอย่างนั้น

หานอิงฉีกอดหานจีไปร้องไห้ไป เขาพูดอย่างโหดเหี้ยมไปด้วย “พี่! ให้พี่เขยจับพวกมันไปขังไว้ในคุก ข้าจะทรมานพวกมันให้สาสม!”

เมื่อขุนนางฉือเห็นไป๋จีเดินมาหา เขาก็ก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว “เจ้า… เจ้าจะทำอะไรข้า ?”

ไป๋จีล้วงป้ายอะไรบางอย่างออกมาจากในอ้อมอกและรีบแสดงให้ขุนนางฉือเห็นอย่างรวดเร็ว ทำให้ใบหน้าของขุนนางฉือขาวซีดราวกับกระดาษ เขาตัวแข็งทื่อ นิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่  จากนั้นไป๋จีก็พูดอะไรบางอย่างข้างหูของขุนนางฉือ

ผู้คนโดยรอบนั้นเห็นบนหน้าผากของขุนนางฉือที่กำลังตัวแข็งทื่อมีเหงื่อเม็ดใหญ่ค่อย ๆ ไหลลงมา

สุดท้าย ไป๋จีก็พูดขึ้นเสียงเบา “เจ้านายข้าไม่อยากให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับสถานที่พักของเขา เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”

ขุนนางฉือดูเหมือนเพิ่งฟื้นคืนสติ เขาพยักหน้าราวกับลูกไก่จิกข้าวทำนองนั้น “ขะ… เข้าใจ ข้าเข้าใจ ไม่ต้องห่วง เจ้าไม่ต้องห่วงเลย”

เค้าโครงเรื่องที่คดเคี้ยวชวนพิศวงนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดตกตะลึงไป

เจียงป่าวชิงมองกงจี้เล็กน้อย เดิมทีนางก็คิดว่ากงจี้ผู้นี้ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะไม่ธรรมดามากกว่าที่นางคิดไว้

ไป๋จีเดินกลับมายืนข้าง ๆ กงจี้  กงจี้มองเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานก่อนจะพูดขึ้น “ไปกันเถอะ”

เจียงหยุนชานยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ เจียงป่าวชิงจึงต้องดึงและเรียกเขาให้มาด้วยกัน “พี่ เราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

หานอิงฉีที่เวลานี้อยู่ไกลออกไป ตอนนี้เขายังคงกอดพี่สาวของเขาและร้องไห้อยู่อย่างนั้นจึงไม่ได้ยินอะไร แต่เขาเห็นว่าคนที่รังแกเขากำลังจะจากไป เห็นดังนั้น เขาจะทนได้อย่างไร เขารีบฝืนความเจ็บปวดที่แขนซ้ายและรีบเดินไปตรงหน้าขุนนางฉือทันที “พี่เขยขอรับ พวกมันจะไปแล้ว พี่ยังงงอะไรอยู่อีก!”

รถเข็นของกงจี้หมุนกลับมา จากนั้นเขาก็มองหานอิงฉียิ้ม ๆ

ขุนนางฉือเหงื่อตก ทันใดนั้นเขายกมือขึ้นตบหน้าหานอิงฉีทันที

ประกอบกับการตบสองครั้งของไป๋จีแล้ว เกรงว่าที่หานอิงฉีโดนตบในวันนี้อาจจะมากที่สุดเท่าที่เขาเคยโดนมาชั่วชีวิต

หานอิงฉีป้องหน้าตัวเอง เขางงเป็นไก่ตาแตกอย่างสิ้นเชิง

กงจี้พูดยิ้ม ๆ “ขุนนางฉือ น้องชายของภรรยาท่านนี่ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ”

ขุนนางฉือเหงื่อตกเพราะคำพูดประโยคนี้ จากนั้นเขาก็รีบอธิบายทันที “ท่าน… ท่าน…. นี่ไม่ใช่น้องชายของภรรยาข้า ก็แค่น้องชายของเมียน้อยข้าเท่านั้น… ไม่ถือว่าเป็นญาติจริง ๆ”

การปฏิเสธต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ สำหรับหานอิงฉีกับหานจีแล้ว นี่ถือเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งใด ตอนนี้สีหน้าของสองพี่น้องจึงดูน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง

“ถ้าอย่างนั้นก็ผูกไว้ให้ดี ๆ อย่าให้เขาวิ่งออกมากัดคนโดยอาศัยอำนาจของท่านอีกล่ะ” กงจี้พูดนิ่ง ๆ

“ดะ… ได้เลยขอรับ” ขุนนางฉือรีบพยักหน้าอย่างนอบน้อม

จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็เดินออกจากโรงเรียนโดยที่ไม่มีใครกล้าขัดขวางพวกเขาอีก

ถึงแม้ว่าเจียงหยุนชานจะยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่เล็กน้อย แต่เขาไม่ได้โง่  เขาขมวดคิ้วมองน้องสาวตัวเองพลางครุ่นคิดในใจ ‘ดูเหมือนว่าพวกเขาสองคนนี้จะไม่ได้เป็นบุคคลธรรมดา แล้วเหตุใดน้องสาวของข้าถึงคลุกคลีกับคนประเภทนี้ได้ ?’