ตอนที่ 86 มารดาและบุตรีลอบพูดคุย แม่สามีขุ่นเคืองใจ (5)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เฝิงหมัวมัวพาเหยาเยี่ยนอวี่ไปยังเรือนข้างที่อยู่เรือนด้านหลัง เรือนส่วนที่สามอยู่ด้านหลังสุดของเรือนหลักบ้านนาน้อยวัวจวู เป็นเรือนไม้สามชั้นเล็กๆ ซึ่งในคิมหันต์ฤดูสามารถไปหลบร้อนพึ่งเย็นได้ ภายในสวนหย่อมมีภูเขาจำลองที่ประณีตงดงาม ทั้งยังมีต้นบ๊วยต้นเก่าแก่อายุยืนอยู่ด้านข้าง เรือนข้างทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกถูกเหยาเยี่ยนอวี่ใช้เป็นเรือนเก็บของ จึงเป็นที่เก็บข้าวของที่ไม่ใช้ประจำเอาไว้ในนั้น

หีบทั้งสองที่หันหมิงชั่นนำมาถูกยกไปวางที่เรือนข้างฝั่งทิศตะวันตก เฝิงหมัวมัวสั่งให้คนเปิดประตูเรือน และเดินเข้าไปพร้อมกับเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมทั้งนำกุญแจมาเปิดหีบด้วยตนเอง เมื่อเปิดหีบออก ด้านในหีบเต็มไปด้วยหีบสี่เหลี่ยมขนาดประมาณหนึ่งฉื่อ[1] ซึ่งเป็นหีบไม้พะยูงแกะสลักลาย

เฝิงหมัวมัวหยิบหีบเล็กๆ ขึ้นมาแล้วเปิดดู ด้านในกลับเป็นหยกดิบที่ยังไม่ผ่านการเจียระไน

เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปแล้วหยิบหยกดิบมาไว้ในมือ ในเวลาเดียวกันนางก็รู้สึกว่าหยกนั้นอบอุ่นและเยือกเย็น จากนั้นมองดูความบริสุทธิ์ของหยกที่ไร้ที่ติ นางจึงได้รู้ว่านี่คือหยกชั้นดี เพียงแต่นางไม่มีความรู้ในด้านนี้ จึงไม่รู้ว่าหยกนี้มูลค่ามากเท่าใด

เฝิงหมัวมัวเอาขึ้นหนึ่งก้อน แล้วพูดขึ้น “หยกดิบก้อนนี้คุณหนูสามารถนำไปเจียระไนเป็นปิ่นหยก และกำไล เวลานี้ร้านค้าของพวกเรามีช่างฝีมือดีที่เชี่ยวชาญในการแกะสลักหยก งานฝีมือของเขาได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ประเดี๋ยวคุณหนูชื่นชอบลวดลายใด ให้เขาเจียระไนแกะสลักให้คุณหนูสักสองสามชิ้น?”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้ม แล้ววางหยกดิบลง พร้อมกล่าวขึ้น “เก็บเอาไว้ที่นี่ก่อนเถอะ เวลานี้ข้ายังไม่อยากได้สิ่งใด”

เฝิงหมัวมัวเปิดอีกหนึ่งหีบออก ด้านในมีอัญมณีขนาดใหญ่เท่าไข่ห่านหลากหลายสีสันวางเอาไว้ ซึ่งน่าจะมีประมาณยี่สิบกว่าก้อน เหยาเยี่ยนอวี่เลือกหยิบไพลินขึ้นมาแล้ววางไว้ตรงกลางฝ่ามือ ไพลินนี้มีเนื้อวาวใสยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นประกายสีม่วงอ่อน เมื่อนำไปต้องแสงอาทิตย์ ไพลินหกแฉกนี้ประกายแสงแวววับ เพียงพอที่จะแยงตาจนคนตาบอด

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไพลินนี้งดงามนัก สั่งให้คนนำไปทำเป็นกระดุมติดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์ของข้าเถอะ”

“เจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวคลี่ยิ้มแล้วนำผ้ามาห่อไพลินเม็ดที่เหยาเยี่ยนอวี่เลือก

เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถาม “แล้วไข่มุกเหล่านั้นเล่า”

“อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวเปิดหีบขนาดใหญ่อีกหนึ่งหีบออก ด้านในมีหีบขนาดเล็กอีกหลายหีบ เฝิงหมัวมัวจึงเปิดดู ด้านในเต็มไปด้วยไข่มุก นางยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณหนูดูสิ ยังมีไข่มุกสีชมพูด้วย มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ เหมาะแก่การนำมาทำเป็นเครื่องประดับอย่างครบชุด”

“คัดเลือกไข่มุกขนาดเล็กและใหญ่ออกมา แล้วร้อยเป็นสร้อยไข่มุกหนึ่งเส้นเถอะ พร้อมกับนำไปทำเป็นต่างหูหนึ่งคู่ให้เป็นชุดเดียวกัน เลือกไข่มุกเม็ดที่ใหญ่ที่สุดหนึ่งเม็ดไปทำเป็นปิ่น รอให้ถึงเวลาที่ท่านพ่อมา ค่อยนำไปให้ท่านพ่อ แล้วบอกว่านี่เป็นของขวัญวันเกิดปีหน้าของเชวี่ยหวา”

เฝิงหมัวมัวพลันกล่าวโทษตนเองทันที “เฮ้อ ดูความจำของบ่าวสิ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งโง่เขลาแล้ว! เมื่อผ่านปีใหม่ไป วันที่สิบแปดเดือนหนึ่งก็คือวันเกิดของคุณหนูสามแล้ว หากนำไปทำเครื่องประดับในเวลานี้ เกรงว่าจะไม่ทันการแล้ว”

“ทับทิมเม็ดเล็กๆ สีงดงามเช่นนี้ยากนักที่จะได้พบเจอ นำทับทิมเหล่านี้ไปเลี่ยมทองทำเป็นกำไลให้พี่สาวเถอะ เมื่อผ่านปีใหม่และช่วงไว้อาลัยของแคว้นไปแล้ว นางก็สามารถสวมใส่เครื่องประดับสีแดงทับทิม อีกทั้งเวลานี้นางก็กำลังตั้งครรภ์ ร่างกายของนางอ่อนแอยิ่งนัก ข้าได้ยินมาว่าทองคำสามารถปราบวิญญาณชั่วร้ายได้”

“คุณหนูกล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวบอกให้ชุ่ยเวยหยิบเอาทับทิมขนาดเท่าถั่วลิสงออกมาแปดเม็ด จากนั้นก็ใช้ผ้าห่อเอาไว้อย่างดี ประเดี๋ยวนำไปให้ช่างในร้านเครื่องประดับทำ

หลังจากนั้น เหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้เลือกหยิบก้อนหยกดิบออกมาบางส่วน เพื่อนำไปให้กับฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยิน พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พี่ชายทั้งสองคนและท่านพ่อ ซึ่งแต่ละคนล้วนได้คนละหนึ่งถึงสองชิ้น เมื่อนำไปแบ่งให้ผู้อื่นเช่นนี้ ไข่มุกและอัญมณีเหล่านั้น รวมถึงหยกบริสุทธิ์ล้ำค่าก็ถูกนำออกมาใช้กว่าครึ่งแล้ว

ความเป็นจริง เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกปวดใจอยู่เหมือนกัน แต่นางรู้ดีว่าหากไม่มีจวนข้าหลวงใหญ่ ตนที่อยู่ในราชวงศ์ต้าอวิ๋นก็ไม่ใช่อะไรเลย แม้ว่าฐานันดรศักดิ์บุตรีอนุภรรยาของข้าหลวงใหญ่เหยาจะไม่ได้สูงศักดิ์นัก ทว่าเวลานี้ก็ยังคงเป็นที่พึ่งพิงของนาง

เรื่องที่นางรักษาหันซังเกอก็ไม่อาจปิดบังได้ การรอให้พวกเขามาถามไถ่ สู้ตนเองเป็นผู้เริ่มก่อนเสียยังจะดีกว่า นางจึงส่งอัญมณีเหล่านั้นไป วันข้างหน้าจะพูดง่ายยิ่งขึ้น

วันเวลาต่อจากนั้นนางก็ยุ่งมาก และอยู่อย่างสุขสบายมากเช่นเดียวกัน

ทุกวัน เหยาเยี่ยนอวี่ยุ่งอยู่กับการอ่าน ‘คัมภีร์ไท่ผิง’ นางใช้เวลาอ่านได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็รู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว คำกลอนเหล่านั้นยากที่จะเข้าใจ ทำให้นางปวดศีรษะยิ่งนัก นางไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าคัมภีร์กำลังกล่าวถึงสิ่งใด

แต่เพื่อให้ตนเองสามารถรักษาโดยใช้ ‘การรมยาไท่อี่’ ได้ผลดียิ่งขึ้น และเพื่อไม่ให้ตนเป็นลมหมดสติขณะทำการรักษา เหยาเยี่ยนอวี่จึงต้องอดทนกับอารมณ์ที่หงุดหงิดของตนในทุกวัน เพื่ออ่านคัมภีร์ไท่ผิงอย่างละเอียดทีละตัวอักษร

มีบ้างบางครั้งที่นางอยากยอมแพ้ นางเป็นเพียงศัลยแพทย์ เรียนแพทย์แผนตะวันตกตั้งแต่แรก ทว่าเวลานี้กลับต้องทำการศึกษาแพทย์แผนจีน สิ่งนี้ยังไม่หนักเท่าไหร่ แต่นางยังต้องไปฝึกฝนปรัชญาลัทธิเต๋าให้มีกำลังภายในที่แสนจะแปลกประหลาดนั่น ช่างไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์แม้แต่น้อย

แต่ว่าการบอกว่ายอมแพ้เป็นเพียงแค่การระบายอารมณ์ และจะพูดตอนที่รู้สึกหงุดหงิดถึงขั้นสุดขีดเท่านั้น ทว่านางไม่อาจยอมแพ้ได้ เพราะว่าที่นี่ไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์แผนตะวันตกที่ครบวงจร ไม่มีแม้กระทั่งเข็มฉีดยา หากไม่มียาสมุนไพรและเหล้า ทักษะด้านการแพทย์ของนางไม่สามารถนำมาใช้ได้เลย

เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดด้วยความเศร้าหมอง รนหาเรื่องลำบากเสียจริง!

เหตุใดถึงอยู่ดีไม่ว่าดี เป็นบุตรีของตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย ก็สามารถออกเรือนกับบุรุษที่เหมาะสม แม้ว่าจะไม่ได้จัดพิธีสมรสอย่างอหังการยิ่งใหญ่เหมือนเหยาเฟิ่งเกอ แต่แค่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับสามีไปชั่วชีวิต ก็ไม่ใช่ว่าดีแล้วหรือไร

แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ใช่ เหยาเยี่ยนอวี่แค่ไม่อ่านตำราแพทย์หนึ่งวัน หรือไม่แตะต้องสมุนไพรและเข็มเงินเหล่านั้นเสียหนึ่งวัน ภายในใจของนางก็จะรู้สึกว่างเปล่าแล้ว ราวกับว่านางติดยา หากไม่ได้สูบยา นางจะกินข้าวไม่ลงและนอนไม่หลับ

และขณะที่เหยาเยี่ยนอวี่กำลังทรมานกับการอ่าน ‘คัมภีร์ไท่ผิง’ อยู่ ทางด้านหลิงซีจวิ้นจู่ก็ได้ใช้อำนาจทั้งหมดของตน เพื่อที่จะหาคู่หมายให้กับคุณหนูเหยา อีกทั้งอำนาจของหลิงซีจวิ้นจู่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจยิ่งนัก นางใช้เวลาเพียงห้าถึงหกวัน ก็สามารถส่งเกิงเถี่ย[2]กองโตไปให้กับฮูหยินน้อยสามจวนติ้งโหวได้แล้ว

เหยาเฟิ่งเกอถือเกิงเถี่ยร่วมสิบสองสิบสามใบเอาไว้ในมือ เวลานี้นางไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใดดี

ประจวบกับซูอวี้เสียงที่กลับมาจากด้านนอกพอดี เมื่อเห็นในมือของเหยาเฟิ่งเกอมีแผ่นกระดาษสีแดงมากมาย จึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถาม “เจ้าถือสิ่งใดเอาไว้หรือ”

“เกิงเถี่ย” เหยาเฟิ่งเกอไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น นางพลิกอ่านด้วยความตั้งใจ

“มากถึงเพียงนี้เลยหรือ” ซูอวี้เสียงนั่งลงข้างกายนาง จากนั้นหยิบแผ่นที่เปิดอ่าน “โจวฉง บุตรชายคนรองของโจวเจิ้งหัน ขุนนางหลวงในศาลต้าหลี่ เกิดปีมะโรงทองเดือนชวดไฟวันฉลูไม้เวลาจอดิน…”

“บุรุษผู้นี้ก็พอไปวัดไปวาได้กระมัง” เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นวางเกิงเถี่ยใบหนึ่งเอาไว้ด้านข้าง

ซูอวี้เสียงรีบเก็บขึ้นมาดู “จ้าวซูซิ่ง บุตรชายคนรองของจ้าวกวงอวิ๋นกั๋วจื่อเจียนจี้จิ่ว[3] เกิดเมื่อ…”

เหยาเฟิ่งเกอดูเกิงเถี่ยมารอบหนึ่งแล้ว จากนั้นนางก็วางเอาไว้ด้านข้าง ยกมือขึ้นนวดขมับของตนเอง

ซูอวี้เสียงดูเกิงเถี่ยอีกหนึ่งรอบ พบว่าเป็นเกิงเถี่ยของบุตรชายขุนนางระดับหกขึ้นไปและระดับสามลงมาในราชสำนัก จึงเอ่ยถามขึ้น “เจ้าจะเป็นแม่สื่อให้กับใคร เหตุใดจึงต้องพยายามมากถึงเพียงนี้”

เหยาเฟิ่งเกอเหยียดกายลุกขึ้นช้าๆ จากนั้นเดินไปนั่งตรงตั่งไม้ข้างหน้าต่าง ซานหูจึงรีบหยิบหมอนพิงหลังมาให้กับนาง เพื่อที่นางจะได้นั่งพิงอย่างสบายๆ

ทางด้านซูอวี้เสียงก็รีบเดินไปนั่งอยู่ข้างกายนาง พร้อมกับเอ่ยถาม “องค์หญิงต้าจั่งทรงให้เจ้าคัดเลือกสามีให้กับน้องสามหรือ ทว่าชาติตระกูลของคนเหล่านี้ต่ำต้อยเกินไปกระมัง ล้วนเป็นบุตรชายของขุนนางระดับสี่และระดับห้า อีกทั้งไม่ใช่บุตรชายคนโต และมีบางคนที่เป็นเพียงบุตรชายอนุภรรยา องค์หญิงต้าจั่งจะทรงพอพระทัยกับคนเหล่านี้ด้วยหรือ”

[1]ฉื่อ เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน หนึ่งฉื่อเท่ากับหนึ่งฟุต

[2] เกิงเถี่ยใบบันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้น

[3] กั๋วจื่อเจียนจี้จิ่ว ผู้อำนวยการราชวิทยาลัยกั๋วจื่อเจียน