ตอนที่ 87 หนทางคดเคี้ยวแสนลำบาก ครั้งแรกแห่งการไปสู่ขอ (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาเฟิ่งเกอยิ้มอ่อน “ข้าจะมีเกียรติมากถึงขั้นไปยุ่งเกี่ยวกับงานสมรสของน้องสามได้อย่างไร ข้าก็แค่รู้สึกกังวลแทนน้องสาวของตนเองเท่านั้น”

“น้องสาวของเจ้า?” ซูอวี้เสียงรู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ท่านพ่อตาส่งสารมาแล้วหรือ”

เหยาเฟิ่งเกอยิ้มและไม่ได้เอ่ยพูดอะไรต่อ

“ทว่าบุรุษที่เจ้าคัดเลือกมาพวกนี้…ในความเห็นข้าไม่มีผู้ใดเหมาะสมและคู่ควรกับน้องรองเลย” ซูอวี้เสียงแสยะยิ้มหยัน จากนั้นโยนใบเกิงเถี่ยที่เป็นใบบันทึกวันเดือนปีเกิดของบรรดาบุรุษที่จะมาเป็นคู่หมั้นคู่หมายไว้บนกองกระดาษที่อยู่ตรงโต๊ะ

ตัวเลือกเหล่านี้ไม่ได้ดีมากนักจริงๆ ส่วนใหญ่เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่มีฐานะทางตระกูลที่ต่ำมากนัก อันที่จริงเหยาเฟิ่งเกอก็รู้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่เป็นเพียงบุตรีอนุภรรยา หากอยากจะออกเรือนกับบุคคลที่มีสถานะสูงศักดิ์นั้น นอกจากไปสมรสกับพ่อหม้าย หรือบุรุษที่ตบแต่งด้วยต้องมีบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์ เฉกเช่นมีร่างกายที่พิการ ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ทว่าคำพูดเช่นนี้ได้ออกจากปากของซูอวี้เสียง เหยาเฟิ่งเกอได้ยินจึงรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจที่จะฟัง ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “ฐานันดรศักดิ์ของตระกูลบุรุษเหล่านี้ต่ำต้อยไปหน่อย ทว่าแค่ฝ่ายตรงข้ามมีบุคลิกประจำตัวที่ดี ก็สามารถพัฒนาและกลายเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกันได้”

ซูอวี้เสียงส่ายหน้า แล้วยิ้มพลางพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “นางเป็นน้องสาวของเจ้าเชียวนะ ถ้าหากได้ออกเรือนกับบุรุษที่ไม่ดี ก็คงต้องร้องห่มร้องไห้ซับน้ำตาอย่างเศร้ารันทดทุกวัน สุดท้ายเจ้านี่แหละจะเป็นคนที่คอยกังวลใจ อีกอย่าง เรื่องงานสมรสเป็นเรื่องใหญ่ที่ควรให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นฝ่ายตัดสิน ถึงแม้ท่านพ่อตาท่านแม่ยายจะไม่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ทว่าเจ้าก็ไม่สามารถกำหนดเรื่องนี้ด้วยตนเองไม่ใช่หรือ หากน้องสาวได้ออกเรือนกับตระกูลที่ดีก็ดีไป หากได้ออกเรือนกับตระกูลที่ไม่ดี เจ้านั่นแหละจะเป็นผู้ที่โดนตำหนิในภายหน้า ที่ข้าพูดนี่ก็เพราะหวังดีต่อเจ้า เจ้าจงคิดให้รอบคอบ”

เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้ยิน และความคับแค้นใจที่มีพลันหายไปทันที

คำพูดเช่นนี้ของซูอวี้เสียงนางไม่เคยได้ยินแม้สักครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะน้องสาวบุตรีอนุภรรยาไม่ใช่น้องสาวที่ธรรมดา นางยังหวังว่าในภายภาคหน้าจะสามารถร่วมช่วยเหลือกันและอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ต่างฝ่ายต่างสนับสนุนซึ่งกันและกัน พอยิ่งนึกถึงเช่นนี้ เหยาเฟิ่งเกอก็รู้สึกเคร่งเครียดภายในใจยิ่งนัก จากนั้นจึงได้ทิ้งเกิงเถี่ยของเหล่าบุรุษที่นางคัดเลือกมาไว้ข้างๆ

เรื่องที่เหยาเฟิ่งเกอหาคู่ครองให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ถูกป่าวประกาศออกไปนอกจวนติ้งโหวเหมือนดั่งข่าวคราวนี้มีปีกโบยบินได้ ผู้ที่คอยช่วยเหลือเหยาเฟิ่งเกออยู่ตลอดเวลาก็คือหลิงซีจวิ้นจู่ แน่นอนว่าเฟิงเซ่าเชินเองก็ได้รับข่าวคราวนี้โดยเร็ว

ตอนนั้นคุณชายเฟิงกำลังจะไปนั่งพูดคุยเล่นกับฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง เมื่อได้ยินคำพูดของท่านน้าสะใภ้รองของเขาหยางซื่อ เขาจึงหยุดชะงักไปทันที

ที่แท้บุตรชายที่กำเนิดจากอนุภรรยาของเฟิงจงเยี่ย นามว่าเฟิงจื่อโจ้วยังมีบุตรชายคนหนึ่ง นามว่าเฟิงเซ่าเจิ้น ปีนี้มีอายุสิบเก้า ด้วยเหตุที่เขามีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ต้องคอยต้มสมุนไพรที่เป็นยาดื่มกินตลอดทั้งปี มารดาผู้ให้กำเนิดเฟิงจื่อโจ้วเป็นสาวใช้ที่ออกเรือนตามฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง นางได้ป่วยเป็นโรคร้ายจนสิ้นใจไปตั้งนานแล้ว ถึงแม้เฟิงจื่อโจ้วจะเป็นบุตรชายอนุภรรยา ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงถือว่าดีกับเขาตลอดมา ให้เขาได้ร่ำเรียนหนังสือกับเฟิงจงเยี่ยตั้งแต่เล็ก ภายหลังยังได้สู่ขอภรรยาและสร้างครอบครัวของตนเอง วันนี้ก็ได้กลายเป็นขุนนางขั้นที่ห้าของเมืองหลวงไปแล้ว

ฮูหยินของเฟิงจื่อโจ้ว-หยางซื่อก็เป็นคุณหนูในตระกูลขุนนางอีกด้วย นางมีบุตรชายเพียงคนเดียวซึ่งร่างกายอ่อนแอล้มป่วย ส่วนบุตรีอีกสองคนนั้นต่างก็เป็นเพียงบุตรีของอนุภรรยา

ฮูหยินรองหยางซื่อได้ยินมาว่าคุณหนูรองตระกูลเหยามากความสามารถทางด้านการแพทย์จนไม่อาจมีใครเทียมทานได้ อีกทั้งเวลานี้พี่สาวบุตรีภรรยาเอกของนางก็คอยกลุ้มใจในเรื่องงานสมรสของนาง นางจึงมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา และอยากจะขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงให้บอกกล่าวกับหลิงซีจวิ้นจู่ให้ช่วยเอ่ยสู่ขอให้เหยาเยี่ยนอวี่ได้กลายเป็นสะใภ้ของตนเอง เช่นนี้บุตรชายที่เจ็บป่วยมาตั้งแต่ในครรภ์ของนางอาจจะได้รับการรักษาจนหายขาดได้ อีกทั้งนางยังได้สะใภ้คนหนึ่งมาอย่างง่ายดาย มีสุขอื่นใดจะเทียบเท่าความสุขนี้เล่า?

พอหยางซื่อพูดจบ ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงยังไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา เฟิ่งเซ่าเชินจึงรีบพูดขึ้นก่อน “การสมรสกับการรักษาโรคจะเอามาปะปนเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างไร”

ตามหลักแล้ว การที่แม่สามีและลูกสะใภ้กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ผู้เยาว์วัยไม่มีสิทธิ์มาข้องเกี่ยวด้วยการกล่าววาจาสอดแทรก ทว่าเฟิงเซ่าเชินเป็นแก้วตาดวงใจของฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง กล่าวได้ว่าแม้นจะอุ้มชูไว้ในฝ่ามือก็ยังกลัวว่าจะสลายหายไป ต่อให้ในใจของหยางซื่อจะขุ่นเคืองมากเพียงใดก็ไม่อาจเอ่ยพูดออกมาได้

ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงกลับตำหนิด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอย่ามาหาเรื่องแถวนี้เลย รีบเข้าไปข้างในแล้วนอนพักผ่อนสักพักเถอะ”

“ขอรับ” ไม่ว่าเฟิงเซ่าเชินจะเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเองเพียงใด เขาเองก็รู้ดีว่าเมื่อครู่เขาเอ่ยคำพูดผิดไป จึงเหยียดกายลุกขึ้นพลางโน้มตัวลงคำนับหยางซื่อ แล้วเดินออกจากที่นั่นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจ

หลังจากที่เฟิงเซ่าเชินจากไป ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงจึงเหลือบตามองหยางซื่ออย่างไม่พอใจ จากนั้นก็กล่าวว่า “เจ้าพูดจาไม่เคยเลือกเวลาเลยหรือไร ต่อหน้าเด็กรุ่นหลังกลับพูดจาเช่นนี้ออกมาเพื่อการใด”

ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ลำเอียง หยางซื่อไม่กล้าถกเถียงกลับแต่อย่างไร ผู้ใดสั่งให้สามีของตนเป็นบุตรชายอนุภรรยาเล่า นางจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มพลางเอ่ยพูด “สะใภ้คนนี้เพียงแค่รู้สึกร้อนใจเกินไป สองสามวันมานี้ ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรเจิ้นเกอเอ๋อร์ก็ไม่ยอมกินยา และโวยวายอยู่ตลอดเวลา สะใภ้จึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี งานสมรสนี้จะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ย่อมได้ สะใภ้แค่อยากจะขอท่านแม่ได้โปรดเมตตาบอกกล่าวกับจวิ้นจู่ และคงจะดีหากจะขอเชิญคุณหนูเหยาผู้นั้นมาดูอาการบุตรชายของสะใภ้หน่อยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงจึงพูดด้วยเสียงเฉยชาว่า “ข้าคิดว่าคงจะไม่เหมาะสมเสียเท่าไรหากจะให้นางมาทำการรักษาโรค คุณหนูเหยาเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ชายหญิงนั้นแตกต่างกัน หากไม่ใช่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ก็อย่าได้พูดขอร้องเรื่องนี้กับผู้อื่นเลย และเหยาหย่วนจือเองก็ไม่ใช่บุคคลธรรมดา คงไม่สร้างภาระให้พวกข้าต้องผิดใจกัน”

หยางซื่อรู้สึกไม่พอใจ และกำลังคิดจะพูดอะไรออกมา ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงกลับโบกมือแล้วเอ่ยพูด “เรื่องนี้อย่าได้พูดถึงอีกเลย เจ้ากลับก่อนเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว”

หยางซื่อจึงไม่กล้ามากความอีกต่อไป ทำได้เพียงค้อมตัวลาแล้วเดินถอยออกจากเรือน จากนั้นนางก็เดินออกจากสวนของฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงอย่างเงียบๆ ตลอดทางที่กลับไปก็รู้สึกขุ่นเคืองใจด้วยไม่อยากยอมแพ้ นางจึงเดินเลี้ยวตรงหัวมุมเปลี่ยนทิศทางไปยังเรือนที่พักของจวิ้นจู่แทน เพื่อขอความช่วยเหลือจากหลิงซีจวิ้นจู่

ตั้งแต่ที่เฟิงเซ่าเชินรู้ความในใจของหยางซื่อว่าอยากจะสู่ขอเหยาเยี่ยนอวี่ให้กับบุตรชายของนาง เขาจึงรู้สึกโกรธจนไฟในใจนั้นลุกโชนอย่างไร้เหตุผล ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงไม่อนุญาตให้เขาพูดมากความ เขาก็ไม่กล้าพูดมากเกินไป จึงทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ในใจ

หลายวันมานี้เฟิงเซ่าเชินมัวแต่อุดอู้อยู่ในเรือนไม่ออกไปไหนจนเบื่อ เขาจึงหาข้ออ้างไปเยี่ยมเยียนดูอาการของหันซังเกอ เขาจึงได้แต่งกายอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็ออกจากจวนอัครเสนาบดีไปยังจวนเจิ้งกั๋วกง

ตอนนี้อาการบาดเจ็บของหันซังเกอนั้นหายดีพอสมควรแล้ว เขากำลังใช้ไม้เท้าเดินไปเดินมาในเรือนอย่างช้าๆ เมื่อเฟิงเซ่าเชินเห็นเช่นนี้ก็นึกถึงความดีความชอบที่เหยาเยี่ยนอวี่ได้กระทำมากยิ่งขึ้น เพราะเหตุนี้จึงถอนหายใจและพึมพำกับตนเอง “วันนี้ข้าเพิ่งจะรู้ซึ้งถึงคำว่า “สตรีรูปงามมักจะมีโชคชะตาที่ไม่ดี” ประโยคดังกล่าวนี้มันคืออะไรกันแน่”

หันซังเย่ว์ไม่ได้ออกไปนอกจวนมานานแล้ว ช่วงนี้เขาก็อยู่เป็นเพื่อนพี่ชายทุกวี่ทุกวัน เมื่อเฟิงเซ่าเชินมาเยือน แน่นอนว่าต้องนั่งคุยกับเขา พอได้ยินคำพูดดังกล่าวจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางกล่าวว่า “นี่เจ้ากำลังทำการใด ร้องเรียน? เพื่อสตรีใดกัน”

เฟิงเซ่าเชินถอนหายใจ แล้วเอ่ยพูด “จะเป็นใครไปได้ แน่นอนว่าต้องเป็นคุณหนูเหยาที่รักษาอาการของท่านซื่อจื่อน่ะสิ”

“คุณหนูเหยา?” ในมือของหันซังเย่ว์ที่ถือจอกชาก็หยุดชะงักลง จากนั้นเงยหน้ามองเฟิงเซ่าเชินด้วยความแปลกใจ “คุณหนูเหยาเป็นอะไรไปรึ”

เฟิงเซ่าเชินจึงได้เล่าเรื่องที่น้าสะใภ้รองของตนเองต้องการที่จะสู่ขอคุณหนูเหยาแทนเฟิงเซ่าเจิ้น และอยากจะถือโอกาสที่คุณหนูเหยาเป็นยอดฝีมือด้านการแพทย์มาทำการรักษาบุตรชายตนเอง แล้วยังจะได้สะใภ้ที่ชาญฉลาดและสง่าผ่าเผยมาครอบครองในคราเดียวกัน จากนั้นเขาก็แสยะยิ้มเย้ยหยันตนเอง “ข้าก็แค่พูดคำว่าการรักษาโรคกับการสมรสเป็นเรื่องที่ไม่ข้องเกี่ยวกันเลย ทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกไม่พอใจ ทว่าเรื่องเช่นนี้สำหรับคุณหนูเหยาแล้ว…”  เฟิงเซ่าเชินจึงหยุดชะงักไปอย่างขุ่นเคืองใจ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นพลางถอนหายใจ “นี่ไม่ยุติธรรมต่อคุณหนูเหยาเลยสักนิด!”

นัยน์ตาเฉี่ยวคมของหันซังเย่ว์หม่นหมองลงเรื่อยๆ ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรออกมา ก็ถูกสายตาของหันซังเกอขัดขวางไว้

หันซังเกอค่อยๆ สาวเท้าเดินมาที่พวกเขา จากนั้นก็เอาไม้เท้าในมือยื่นให้หมอทหารหลู แล้วก็หมุนตัวและค่อยหย่อนตัวนั่งลง เขารับน้ำอุ่นที่สาวใช้ข้างๆ ยื่นให้มาดื่มสองคำ แล้วเอ่ยพูด “ข้าได้ยินมาว่าลูกพี่ลูกน้องของเจ้ามีสุขภาพร่างกายที่ไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก เป็นเพราะเจ็บป่วยตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา?”

เฟิงเซ่าเชินถอนหายใจ “นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ อายุก็สิบเก้าแล้ว เขาทั้งกินดื่มยามากกว่าอาหารเสียอีก อีกทั้งยังเป็นคนที่ไม่ฉลาดหลักแหลม ช่างเป็นคนที่น่าสงสารและป่วยด้วยโรคมากมายจริงๆ! ก่อนหน้านี้อากาศเริ่มหนาว ได้ยินมาว่าสุขภาพร่างกายของเขายิ่งอยู่ก็ยิ่งแย่ แม้กระทั่งยาเขาก็ยังไม่ยอมกิน ข้าคิดว่าพวกเขาคงร้อนใจที่จะเชิญหมอไปทำการรักษา! วิธีที่คิดไม่ได้ก็คงต้องคิดออกมาให้หมดแล้ว”