ภาคที่ 1 บทที่ 65 เงื่อนไขในการยอมรับลูกศิษย์คนใหม่

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 65 เงื่อนไขในการยอมรับลูกศิษย์คนใหม่

ณ ย่านที่พักอาศัยในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง

“ติ๊งหน่อง ติ๊งหน่อง ติ๊งหน่อง…”

อาจารย์หลี่กดออดหน้าประตูบ้านพักหลังหนึ่งสามครั้งซ้อนด้วยความตื่นเต้น

ที่นี่คือบ้านพักของปรมาจารย์แห่งวงการแพทย์แผนจีน

“นั่นใครน่ะ?”

ประตูเปิดออก

ผู้ยืนอยู่ด้านหลังประตูเป็นชายวัยกลางคน แต่งกายภูมิฐาน ใบหน้าประดับรอยยิ้ม

ชายผู้นี้คือหยางเหวินป๋อ ผู้เป็นคณบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง

“ที่แท้ก็อาจารย์หลี่นี่เอง”

หยางเหวินป๋อขยับตัวออกจากกรอบประตูเพื่อให้หลี่เคอหมิงได้เดินเข้าไป

“นี่คุณมาอีกแล้วหรือ?”

หลี่เคอหมิงพูดกับหยางเหวินป๋อในขณะที่เดินเข้าไปด้านในบ้านพัก

ผู้เป็นคณบดีจะสามารถตอบคำใดได้อีก? ก็ในเมื่อปรมาจารย์ท่านนี้มีความสามารถสูงส่ง แต่ไม่ค่อยชอบพบปะสังสรรค์ผู้คนสักเท่าไหร่ หยางเหวินป๋อจึงต้องเสนอหน้ามาหาด้วยตัวเอง เพื่อขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ฮั่วถึงที่เช่นนี้แหละ

และเพราะขยันมาเข้าพบอาจารย์ฮั่วเป็นประจำ ชื่อเสียงของหยางเหวินป๋อจึงแผ่กระจายในวงการแพทย์แผนจีน ในฐานะคนสนิทของฮั่วเหรินเซิงไปโดยปริยาย

ด้วยเหตุนั้น สถานะของหยางเหวินป๋อจึงถูกยกย่องให้สูงส่งมากขึ้น

นี่แหละนะความทะเยอทะยานของมนุษย์!

นั่นคือความคิดของหลี่เคอหมิงที่มีต่อคณบดีผู้กำลังยืนส่งยิ้มให้เขาอย่างจอมปลอม

“ฮ่าฮ่า…”

สุดท้าย หยางเหวินป๋อก็ได้แต่หัวเราะตอบกลับมา

เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปสู่ด้านในตัวบ้านพัก หลี่เคอหมิงพบว่าอาจารย์ฮั่วเหรินเซิงกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

เขาเป็นชายชรารูปร่างผอมแห้ง แต่ยังดูกระฉับกระเฉง

แม้ว่าจะมีอายุได้ 85 ปีแล้ว แต่ฮั่วเหรินเซิงกลับดูไม่เหมือนคนที่มีอายุ 85 แม้แต่น้อย เขาเหมือนเป็นเพียงชายวัยกลางคนที่ร่างกายแข็งแรงมากกว่า

สีหน้าเรียบเฉยดูเย็นชา ปราศจากความยินดียินร้าย ฮั่วเหรินเซิงมักจะตอบรับทุกคนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเสมอ

“อาจารย์ครับ”

หลี่เคอหมิงเดินเข้าไปประสานมือคำนับฮั่วเหรินเซิง…

“ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงก่อนเถอะ”

ฮั่วเหรินเซิงพยักหน้าทักทายหลี่เคอหมิงด้วยรอยยิ้มพร้อมกับผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ด้านตรงข้าม

“เธอมาที่นี่ก็ดีแล้ว ฉันได้แต่อยู่เฉย ๆ ไม่มีงานทำ รู้สึกเหมือนกำลังถูกกักบริเวณยังไงไม่รู้”

“อาจารย์ฮั่ว อย่าพูดแบบนั้นสิครับ”

หยางเหวินป๋อรีบยกกาน้ำชาขึ้นมาเทน้ำชาใส่ถ้วยด้วยความชำนาญ รอยยิ้มประจบประแจงปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อเขายื่นถ้วยน้ำชามาให้หลี่เคอหมิง “อาจารย์คือยอดปรมาจารย์ในวงการแพทย์แผนจีน เป็นสมาชิกทรงคุณค่าของมหาวิทยาลัยของเรา และเพื่อให้อาจารย์มีร่างกายที่แข็งแรงอยู่เสมอ ผมจะปล่อยให้อาจารย์ทำงานหนักได้อย่างไรล่ะครับ”

“นี่เธอไม่รู้หรือว่าฉันแข็งแรงขนาดไหน?”

ฮั่วเหรินเซิงยิ้มตอบกลับไปพอเป็นพิธี

หยางเหวินป๋อได้ยินดังนั้นก็รีบปั้นสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “แต่ถ้าอาจารย์รู้สึกเบื่อล่ะก็ ลองรับผมเป็นลูกศิษย์เพิ่มอีกสักคนไหมล่ะครับ?”

“ฉันแก่จนปูนนี้แล้ว เลิกคิดเรื่องรับลูกศิษย์คนใหม่มานานแล้วล่ะ”

ฮั่วเหรินเซิงส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว

หยางเหวินป๋อไม่ได้แสดงความผิดหวัง เพราะนี่คือประโยคปฏิเสธที่เขาคุ้นชินแล้วจากชายชราผู้นี้

หยางเหวินป๋อมีความต้องการที่จะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของฮั่วเหรินเซิงมาเป็นเวลานานแล้ว ผู้มีตำแหน่งเป็นคณบดีถึงกับปฏิญาณตนว่าหากอาจารย์ฮั่วไม่ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ หยางเหวินป๋อก็จะไม่ขอเป็นลูกศิษย์ใครอีกทั้งนั้น!

“อาจารย์น่าจะลองเปลี่ยนความคิดดูนะครับ”

หลี่เคอหมิงพลันแทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ฮั่วเหรินเซิง และหยางเหวินป๋อถึงกับชะงักไปทันที

โดยเฉพาะผู้เป็นคณบดีที่เบิกตาโตด้วยความดีใจ นี่หลี่เคอหมิงผู้ที่ไม่ค่อยลงรอยกับเขาสักเท่าไหร่ ถึงกับเอ่ยปากช่วยเหลือเขาแล้วอย่างนั้นหรือ

สีหน้าของบุรุษต่างวัยทั้งสองคนบ่งบอกได้ถึงความประหลาดใจเด่นชัด

หลี่เคอหมิงสบตามองผู้เป็นอาจารย์ของตนเอง และอธิบายว่า “อาจารย์ครับ เด็กใหม่ปีนี้ในมหาวิทยาลัยของเรา ผมพบว่ามีอัจฉริยะคนใหม่ได้กำเนิดขึ้นแล้วล่ะครับ!”

“ผมสอนพิเศษเขาเพียงแค่ 7 ครั้ง เริ่มจากให้ตรวจอาการขั้นพื้นฐาน ไล่เรื่อยมาจนถึงเรื่องการเขียนใบสั่งยา และในเวลาที่รวดเร็วเพียงไม่กี่สัปดาห์ ถึงเขาไม่ได้มาจากคณะแพทย์แผนจีนโดยตรง แต่เด็กคนนี้ก็สามารถทำทุกอย่างที่ผมว่ามาได้ดีไม่มีข้อผิดพลาด แถมบ่ายวันนี้ เขายังช่วยรักษาผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบระดับรุนแรงได้อีกด้วยครับ!”

“เป็นไปไม่ได้!”

หยางเหวินป๋อสะบัดหน้าส่ายศีรษะด้วยความไม่อยากเชื่อ “ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่เพิ่งมาเรียนพิเศษได้แค่ 7 ครั้งเนี่ยนะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก!”

“คณบดีหยาง คุณคิดว่าคนอย่างผมจะโกหกรึ?”

หลี่เคอหมิงพูดเสียงเข้ม “ทุกคำพูดของผมเป็นความจริงทุกประการ ผมเพิ่งจะสอนเขาได้แค่ 7 ครั้งเท่านั้นจริง ๆ!”

“ในมหาวิทยาลัยของเรา ผมไม่เคยเห็นใครเก่งกาจรอบด้านเหมือนเด็กคนนี้มาก่อน นอกจากมีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศแล้ว เขายังมีความทรงจำดีเยี่ยมชนิดหาตัวจับยาก!”

“พอได้มาพบเจออัจฉริยะตัวจริงแบบนี้เข้าไป ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีอะไรจะสอนเขาอีกแล้ว”

ปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ ความทรงจำที่ดีเยี่ยม?

ในดวงตาของฮั่วเหรินเซิงเป็นประกายระยิบระยับ

“เธอรู้ว่าตัวเองสอนไม่ได้ แล้วจะมาหาฉันทำไม? เรื่องนี้ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย”

“อาจารย์ครับ”

หลี่เคอหมิงสูดหายใจลึก มองหน้าฮั่วเหรินเซิง และในที่สุดก็บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายให้ผู้เป็นอาจารย์ฟังอย่างละเอียด “ทำไมอาจารย์ไม่ลองรับเขาเป็นลูกศิษย์คนใหม่ดูล่ะครับ?”

เมื่อประโยคนี้ถูกพูดออกมา ฮั่วเหรินเซิงกับหยางเหวินป๋อต่างก็ถึงกับต้องชะงักงันไปอีกครั้ง

ฮั่วเหรินเซิงไม่คิดเลยว่าลูกศิษย์ของตนเองจะเป็นคนโน้มน้าวให้เขารับลูกศิษย์คนใหม่

หยางเหวินป๋อก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าอาจารย์หลี่นอกจากไม่ช่วยพูดให้เขาแล้ว กลับนำคนอื่นมาเสนอตัวเป็นลูกศิษย์ของฮั่วเหรินเซิงเสียอย่างนั้น!

หลี่เคอหมิงรีบอธิบายต่ออย่างรวดเร็วว่า

“อาจารย์ครับ การรับลูกศิษย์คนใหม่เป็นเรื่องที่ดีนะครับ นอกจากอาจารย์จะไม่ต้องทนเบื่ออยู่บ้านเฉย ๆ แล้ว ยังได้พบกับยอดอัจฉริยะของคนรุ่นใหม่ ถ้าอาจารย์ฝึกฝนเขาให้ดี ผมมั่นใจว่าในอนาคตข้างหน้า เขาต้องเป็นบุคลากรคนสำคัญในวงการแพทย์แผนจีนแน่ ๆ ครับ”

“ถ้าอาจารย์คิดจะรับลูกศิษย์คนใหม่ แทนที่จะรับคนเดียว ผมว่ารับพร้อมกันสองคนเลยก็ได้นะครับ หยางเหวินป๋อคนนี้สาบานว่าจะตั้งใจเรียนแน่นอนครับ”

“เรื่องนั้นน่ะลืมมันไปเถอะ”

อาจารย์ฮั่วหันไปส่งยิ้มให้แก่หยางเหวินป๋อพร้อมกับส่ายศีรษะปฏิเสธ “เธออายุอานามตั้งเท่าไหร่แล้ว อยากจะมีสถานะเป็นศิษย์น้องของเด็กรุ่นลูกหรือไง”

“ไม่เป็นไรเลยครับ!”

หยางเหวินป๋อพยายามรักษารอยยิ้มให้อยู่บนใบหน้าดังเดิม “ไม่ว่าใครจะเป็นพี่ ใครจะเป็นน้อง ผมก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น”

ฮั่วเหรินเซิงไม่ได้ให้ความสนใจกับหยางเหวินป๋ออีก แต่เขากำลังใช้เวลาไปกับการขบคิดถึงสิ่งที่หลี่เคอหมิงพูดออกมาเมื่อสักครู่

เด็กคนนั้นเพิ่งมาเรียนพิเศษได้เพียง 7 ครั้งเท่านั้นหรือ?

ชายชรารู้ดีว่าหลี่เคอหมิงเป็นคนมีฝีมือ และพรสวรรค์ ด้วยเหตุผลนั้นเขาถึงได้รับหลี่เคอหมิงเป็นลูกศิษย์

ต่อให้ฮั่วเหรินเซิงไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่เขาก็ตั้งใจแล้วว่าหลี่เคอหมิงจะเป็นเพียงลูกศิษย์คนแรก และคนเดียวของเขาเท่านั้น ฮั่วเหรินเซิงเฝ้ามองความสำเร็จ และการได้รับความเคารพจากบุคคลรอบข้างของหลี่เคอหมิงด้วยความภาคภูมิใจเสมอมา เพราะนั่นคือสิ่งที่ยืนยันว่า เขาคิดไม่ผิดที่รับคนคนนี้เป็นลูกศิษย์

แต่ผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงนั้นหาได้ยากนัก

ทว่า ลูกศิษย์ของเขากลับบอกว่าในขณะนี้ ได้มีอัจฉริยะคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นแล้ว

แถมยังไม่ใช่นักศึกษาคณะแพทย์แผนจีนโดยตรงอีกต่างหาก

มีไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ มีความทรงจำที่ดีเยี่ยม

น่าสนใจไม่น้อย

หลังจากใช้เวลาขบคิดอยู่พักใหญ่

ฮั่วเหรินเซิงก็มีดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับอีกครั้งขณะพูดว่า “รอให้เขาได้ใบอนุญาตก่อน ค่อยพามาเจอฉันก็แล้วกัน”

เรียบร้อย!

หลี่เคอหมิงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ

ในที่สุดอาจารย์ก็ใจอ่อนแล้ว!

แต่เมื่อคิดถึงเรื่องการสอบใบอนุญาตของนักศึกษาที่ไม่ได้เรียนจากคณะแพทย์แผนจีนโดยตรง หลี่เคอหมิงก็ต้องขมวดคิ้วหน้ายุ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“การสอบใบอนุญาตจะมีขึ้นในอีกสองสัปดาห์ต่อจากนี้ เท่ากับว่าเด็กคนนั้นเหลือเวลาอีก 13 วัน ถ้าเขาเก่งจริงก็คงไม่มีปัญหาหรอกนะ”

“ผมว่าก็ดีนะครับ” หยางเหวินป๋อพลันส่งเสียงพูดขึ้นมา “ถ้ารอบนี้สอบไม่ผ่าน ปีหน้าก็ยังมีการสอบใบอนุญาตสำหรับเด็กที่ไม่ได้เรียนคณะแพทย์โดยตรงอยู่อีก ผมว่าไม่มีอะไรเสียหายหรอกครับ ลองดูเถอะ”

หลี่เคอหมิงหันกลับมามองหน้าหยางเหวินป๋อด้วยความประหลาดใจ ไม่อยากเชื่อว่าผู้เป็นคณบดีจะออกปากช่วยเหลือตนเองถึงขนาดนี้

“งั้นก็ตกลงครับ!”

หลี่เคอหมิงพยักหน้า และรีบส่งข้อความไปหาซูเย่

“วันพรุ่งนี้หลังเลิกเรียน ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกเธอ มาเจอกันที่ศาลานั่งเล่นนะ”

“รับทราบครับ”

ซูเย่ตอบข้อความกลับมา

หลี่เคอหมิงมัวแต่ก้มหน้ามองจอโทรศัพท์ จึงไม่เห็นว่าหยางเหวินป๋อกำลังมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่มุมปาก

บ่ายวันต่อมาหลังเลิกเรียน

เมื่อจัดการกับตำราเรียนเสร็จเรียบร้อย ซูเย่ก็รีบเดินมาที่ศาลานั่งเล่นประจำมหาวิทยาลัยตามนัดหมาย

ชายหนุ่มพบว่าหลี่เคอหมิงมารอคอยเขาอยู่ก่อนแล้ว

“อาจารย์หลี่”

ซูเย่เดินเข้าไปทักทายนายแพทย์ใหญ่ในศาลานั่งเล่น

“มาเถอะ นั่งลงก่อนสิ”

หลี่เคอหมิงรีบโบกมือส่งสัญญาณให้ซูเย่นั่งลงโดยเร็ว ก่อนพูดต่อ “นี่ถือว่าเป็นข่าวดี แต่มันจะเป็นข่าวดีมากไปกว่านี้หรือไม่ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอเองแล้ว”

“ยังไงนะครับ?”

ซูเย่ขมวดคิ้วด้วยความมึนงง

“เมื่อวานนี้หลังกลับจากศูนย์การแพทย์ ฉันแวะไปหาอาจารย์ของฉันที่บ้านพัก แล้วก็ขอให้ท่านรับเธอเป็นลูกศิษย์คนใหม่น่ะ”

หลี่เคอหมิงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ว่าไงนะครับ?”

ซูเย่ตกตะลึงทั้งทางร่างกาย และจิตใจ

ในดวงตาของเขาเป็นประกายวูบวาบ

การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คนเราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว และต้องรับความช่วยเหลือจากผู้อื่นอยู่เสมอ

ขณะนี้ หลี่เคอหมิงกำลังช่วยเหลือเขาอยู่ก็จริง แต่ซูเย่รู้สึกว่าถ้าตนเองได้เป็นศิษย์คนใหม่ของปรมาจารย์ด้านแพทย์แผนจีน ผู้เป็นคนประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่หลี่เคอหมิงมากับมือ มันก็ย่อมมีประโยชน์กับเขามากกว่าแค่การเป็นลูกศิษย์ของหลี่เคอหมิงอย่างในปัจจุบันนี้หลายเท่านัก!

อาจฟังดูเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย แต่มันคือเรื่องจริง

เป็นเวลาอึดใจใหญ่ทีเดียวที่ชายหนุ่มพูดไม่ออก ในหัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นด้วยความซาบซึ้ง

ซูเย่สูดหายใจลึก ลุกขึ้นยืน และโค้งคำนับหลี่เคอหมิง

“ขอบคุณอาจารย์หลี่มากเลยครับ”

“ไม่ต้องรีบขอบคุณตอนนี้หรอก”

หลี่เคอหมิงยกมือบอกให้ชายหนุ่มกลับลงไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง พูดพร้อมกับยิ้มฝืดฝืน “ขอบอกเลยนะว่าการจะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉันน่ะไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยเธอก็ต้องผ่านการประเมินเสียก่อน”

“ผ่านการประเมินหรือครับ?”

ซูเย่ขมวดคิ้วด้วยความพิศวง

“ถูกต้อง”

หลี่เคอหมิงรีบอธิบายต่อทันที

“มันคือการสอบใบอนุญาตของสมาคมแพทย์แผนจีน”

“ฉันจะอธิบายรายละเอียดโครงสร้างในสมาคมแพทย์แผนจีนให้เธอฟังก่อนก็แล้วกัน”

“สมาคมของพวกเราแบ่งแยกสมาชิกออกเป็น 4 ระดับ แต่ปัจจุบันมีคนสามารถบรรลุได้ถึงแค่ 3 ระดับเท่านั้น ซึ่งประกอบไปด้วยระดับแพทย์ปรมาจารย์ผู้รอบรู้ เป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวางครอบจักรวาล รองลงมาเป็นระดับแพทย์รักษาโรค และสุดท้ายคือระดับแพทย์ผู้ออกใบสั่งยา”

“ระดับแพทย์ผู้ออกใบสั่งยา หมายความว่าสมาชิกระดับนี้ จะรู้จักทฤษฎีแพทย์แผนจีนเพียงเล็กน้อย แต่อาศัยรู้จักชื่อยาเป็นจำนวนมาก จึงรู้ว่ายาชนิดไหนสามารถรักษาโรคใดได้บ้าง แต่สมาชิกระดับนี้จะไม่สามารถวินิจฉัยคนไข้ในเชิงลึกได้เลย เรียกได้ว่าจากคนไข้ 10 คน ระดับแพทย์ผู้ออกใบสั่งยาจะสามารถรักษาให้หายขาดได้เพียง 2 หรือ 3 คนเท่านั้น”

“หมายความว่าเป็นคุณหมอที่เขียนใบสั่งยาได้ แต่ไม่ถนัดการวินิจฉัยโรคใช่ไหมครับ?”

ซูเย่สอบถาม

“ใช่แล้ว”

หลี่เคอหมิงพยักหน้า “และนั่นก็นำมาสู่สมาชิกระดับต่อไป แพทย์รักษาโรค”

“เมื่อเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นนี้ ก็หมายความว่าบุคคลผู้นั้นมีความชำนาญในการวินิจฉัยอาการของคนไข้มากขึ้น มีความรู้เรื่องทฤษฎีที่ซับซ้อนของวิถีแพทย์แผนจีนมากขึ้น และรู้ด้วยว่าจะสามารถรักษาคนไข้โรคต่าง ๆ ได้อย่างไร แม้แต่กับคนไข้ที่มาหาหมอโดยไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร สมาชิกระดับนี้ก็สามารถรักษาได้สำเร็จ”

“เมื่อมีความสามารถอยู่ในระดับแพทย์รักษาโรค เธอก็จะนำทฤษฎีแพทย์แผนจีนมาต่อยอดได้อีกมาก แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมสำหรับเธอในขณะนี้”

“เมื่อมีความรู้เรื่องตัวยา และมีความสามารถในการวินิจฉัยโรค ก็จะทำให้จากคนไข้ 10 คน สมาชิกระดับนี้จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ประมาณ 5 ถึง 6 คน หรือสำหรับแพทย์ที่เก่งมากหน่อย ก็อาจจะรักษาคนไข้ให้หายขาดได้ 7 ถึง 8 คนเลยทีเดียว”

“ครับ”

ซูเย่พยักหน้า และถามว่า “แล้วระดับแพทย์ปรมาจารย์ผู้รอบรู้ล่ะครับ?”

ชายหนุ่มมีความสงสัยใคร่รู้ว่า ถ้าตนเองสามารถเลื่อนระดับขึ้นมาถึงขั้นปรมาจารย์ผู้รอบรู้ได้สำเร็จ เขาจะสามารถเก็บแต้มศีลธรรมได้มากมายขนาดไหนกันนะ

“ผู้ที่อยู่ในระดับแพทย์ปรมาจารย์ผู้รอบรู้นั้นมีความเก่งกาจมาก”

“จากผู้ป่วย 10 คน เขาจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ทั้ง 10 คน!”

หลี่เคอหมิงว่า “แต่ในปัจจุบันนี้ ผู้ที่จะเข้าสมาคมแพทย์แผนจีนได้ จำเป็นต้องมีใบอนุญาตก่อน”

“เธอเองก็คงรู้ดีว่าคนที่จะสามารถครอบครองใบอนุญาตได้นั้น ควรจะมีความรู้เรื่องทฤษฎีแพทย์แผนจีนระดับสูง อีกทั้งสามารถท่องจำตำราโบราณได้ขึ้นใจ รวมถึงต้องมีประสบการณ์ในการออกตระเวนรักษาคนไข้ตามชุมชนอีกด้วย”

พูดมาถึงตรงนี้แล้ว

หลี่เคอหมิงก็หยุดชะงักไปเล็กน้อยและในที่สุดก็กล่าวออกมา “ส่วนระดับสุดท้ายที่อยู่เหนือขึ้นไปจากแพทย์ปรมาจารย์ผู้รอบรู้ ก็คือระดับแพทย์เทพเจ้า! บุคคลที่ถูกยกย่องให้อยู่ในระดับนี้ จะมีความสามารถในการเชื่อมต่ออดีต และอนาคตเข้าด้วยกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่ออนุชนคนรุ่นหลังมากมายมหาศาล”

หลี่เคอหมิงพลันถอนหายใจด้วยความเศร้าหมอง “แต่นับดูตลอดเวลา 500 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใครถูกยกย่องให้อยู่ในขั้นแพทย์เทพเจ้าเลยสักคน!”

ซูเย่พยักหน้า ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเป้าหมายของตนเองหลังจากนี้คือสิ่งใด