ภาคที่ 1 บทที่ 66 ลงพื้นที่ช่วยชาวบ้าน

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 66 ลงพื้นที่ช่วยชาวบ้าน

“อาจารย์อยู่ในระดับแพทย์รักษาโรคใช่ไหมครับ?”

ซูเย่ถาม

“ใช่แล้ว”

หลี่เคอหมิงพยักหน้า

ซูเย่รู้ว่าถึงหลี่เคอหมิงจะอยู่เพียงขั้นแพทย์รักษาโรค แต่ก็เป็นแพทย์รักษาโรคระดับสูง

“อาจารย์ของฉันบอกว่ายินดีรับเธอเป็นลูกศิษย์ แต่เธอต้องสอบได้ใบอนุญาตเสียก่อน”

หลี่เคอหมิงว่าต่อ “สิ่งที่เธอยังขาดอยู่ในตอนนี้คือประสบการณ์ โดยเฉพาะเรื่องการคำนวณปริมาณยา

การสอบใบอนุญาตจะมีขึ้นในวันพุธอีกราว 2 สัปดาห์ข้างหน้า เท่ากับว่าเธอยังมีเวลาอีก 12 วัน”

“สรุปก็คือตลอดเวลา 12 วันที่กำลังจะมาถึงนี้ เธอต้องปรับระดับพื้นฐานในเรื่องของการคำนวณปริมาณยาให้ได้ ไม่งั้นถ้าเธอสอบตกในครั้งนี้ ก็ต้องรอโอกาสใหม่ปีหน้าเลยทีเดียว”

“ถ้าเธอตกลง นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป หลังทานมื้อเย็นกันเสร็จแล้ว ฉันจะพาเธอไปตรวจคนไข้ตามชุมชนผู้ยากไร้ในเขตชานเมือง!”

ซูเย่คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่เคอหมิงจะหาวิธีแก้ปัญหาเอาไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว

“ตกลงครับอาจารย์ ขอบคุณอาจารย์มากเลยนะครับ”

ซูเย่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

หลี่เคอหมิงยิ้ม และโบกมือตอบว่าไม่เป็นไร

เย็นวันต่อมา ก็ได้เวลาที่ชายหนุ่มจะลงพื้นที่ตรวจอาการชาวบ้าน

ซูเย่เดินทางมาที่บ้านพักของหลี่เคอหมิงตามนัดหมาย

ก็พบอาจารย์หลี่เดินลงบันไดมาจากชั้นบนพอดี

“วันนี้เราจะไปตรวจกันที่หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุน”

นั่นมันหมู่บ้านของคุณตาคนเก็บขยะไม่ใช่หรือ?

ซูเย่เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ

หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็นำสมุดพกออกมาจากกระเป๋า และยื่นส่งให้กับอาจารย์

“อะไรกันล่ะเนี่ย?”

หลี่เคอหมิงมองหน้าซูเย่ด้วยความสงสัย แต่เมื่อเปิดอ่านเนื้อหาในสมุดบันทึก ดวงตาของเขาก็เป็นประกายระยิบระยับ “นี่คือเนื้อหาจากตำราโบราณที่เธอคัดลอกมาจากบ้านของบรรพบุรุษอีกแล้วใช่ไหม?”

ซูเย่พยักหน้า

อาจารย์หลี่เปิดอ่านดูข้อความที่ชายหนุ่มใช้เวลาในวันนี้ทั้งวันเขียนมันลงไป เนื้อหาให้สมุดเล่มนี้นั้นยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมาก

“นี่มันเนื้อหาจากคัมภีร์ชีพจรไม่ใช่เหรอ?”

คัมภีร์ชีพจรฉบับดั้งเดิม นับเป็นสมบัติล้ำค่าในวงการแพทย์แผนจีน!

ซูเย่พยักหน้ารับอีกเช่นเคย ไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ

หลี่เคอหมิงเก็บสมุดพกเล่มนั้นใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง ก่อนจะมองหน้าผู้เป็นลูกศิษย์แล้วยิ้มกว้าง

“ดูเหมือนเธอจะมีของดีอยู่ในมือเยอะเหมือนกันนะ ไม่เสียแรงที่ฉันช่วยพูดให้อาจารย์รับเธอเป็นลูกศิษย์!”

เนื้อหาที่อยู่ในสมุดพกเล่มนี้ มีความคล้ายคลึงกับเนื้อหาในคัมภีร์โบราณที่ถูกขุดพบในสุสานหม่าหวังตุยจนน่าตกใจ หลี่เคอหมิงแทบจะรอเวลากลับมาอ่านคืนนี้ไม่ไหวแล้ว

จากนั้น บุรุษต่างวัยทั้งสองก็โบกแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังหมู่บ้านฉีเจี๋ยซุน

“นี่คือหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองจี้หยาง ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนแก่ฐานะยากจน การรักษาเดียวที่พวกเขาได้รับ ก็คือตอนที่มีหมอไปช่วยตรวจฟรีให้แบบนี้แหละ”

หลี่เคอหมิงให้คำแนะนำเพิ่มเติมขณะเดินเข้าไปในตัวหมู่บ้าน ดูเหมือนว่าผู้เป็นอาจารย์จะติดต่อกับผู้ใหญ่บ้านเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อไปถึงที่นั่น ซูเย่กับหลี่เคอหมิงก็ได้พบว่าทางผู้ใหญ่บ้านได้จัดเตรียมให้คนนำโต๊ะ และเก้าอี้สำหรับตรวจคนไข้ มาตั้งไว้ให้พวกเขาใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

บุรุษต่างวัยทั้งสองนั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะตรวจ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทำงาน

หลังจบมื้อเย็น ชาวบ้านก็ทยอยเดินออกมาจากบ้านของตนเอง เท่าที่ซูเย่สำรวจด้วยสายตา ชาวบ้านกว่า 80% จะเป็นผู้สูงอายุ ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นก็เป็นเด็กน้อยวัยกระเตาะอายุเพียงไม่กี่ขวบ

ชาวบ้านมายืนจับกลุ่มมุงดูพวกเขา แต่ไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาที่โต๊ะตรวจเลยสักคน

ซูเย่แอบได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของชาวบ้านพูดคุยกันว่า

“คิดจะให้พวกเราเป็นหนูทดลองยาอีกแล้วสินะ”

“โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้น่ากลัวจริง ๆ ชอบเอาพวกหมอหนุ่มจบใหม่มาขู่ชาวบ้านให้กลัวว่าจะเป็นโรค แล้วก็ตลบหลังขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริม พวกเรากลับเข้าบ้านกันเถอะ อย่าไปสนใจคนพวกนี้เลย”

“…” ซูเย่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ผ่านไป 20 นาที ก็ยังไม่มีใครกล้าเดินเข้ามารับการตรวจ สุดท้ายอาจารย์หลี่เคอหมิงก็ต้องลุกขึ้นพูดด้วยความหมดหวังว่า

“สวัสดีทุกคน พวกเราเป็นอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง วันนี้พวกผมตั้งใจมาตรวจให้ทุกคนฟรี ๆ นะครับ รับรองว่าไม่ได้มาหลอกลวงกันแน่นอน”

พร้อมกันนั้น อาจารย์วัยกลางคนก็ได้นำบัตรประจำตัวของตนเองออกมาแสดง เพื่อเป็นเครื่องยืนยัน

แต่กระนั้นแววตาของทุกคนก็ยังคงเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ดี

ไม่มีพวกหลอกลวงที่ไหนจะยอมรับหรอกว่าตนเองมาเพื่อหวังผลประโยชน์

เมื่อจนปัญญาอาจารย์หลี่เคอหมิงอยากจะตามตัวผู้ใหญ่บ้านมาช่วยพูดกับบรรดาลูกบ้านเหล่านี้ แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าผู้ใหญ่บ้านเดินทางไปทำธุระที่หมู่บ้านข้างเคียง เห็นว่าไปทำคลอดให้หมูที่กำลังจะออกลูกอะไรทำนองนั้น ด้วยเหตุนี้ เขากับซูเย่จึงต้องอยู่รับหน้าชาวบ้านกันเพียงลำพัง…

หลี่เคอหมิงทำได้เพียงหย่อนก้นนั่งลงไปที่เดิมด้วยความเหนื่อยใจ

แต่นั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กหญิงตัวน้อยมัดผมหางม้าเดินแหวกกลุ่มชาวบ้านเข้ามาพอดี

เมื่อเห็นหน้าซูเย่ ดวงตาของเธอก็เป็นประกายสดใส

“พี่ชายนี่นา?” เด็กน้อยยิ้มแก้มปริ

เธอพูดออกมาเพียงเท่านั้น เด็กหญิงก็รีบหมุนตัวกลับไปตามคุณตามาทันที

ใช้เวลาเพียงไม่นาน

“ทุกคนหลบไป หลบไปเดี๋ยวนี้”

น้ำเสียงที่ตื่นเต้นดังขึ้นด้านหลังกลุ่มชาวบ้าน

ทุกคนหันไปมอง จึงได้เห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามานั้นเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านกับหลานสาวของเขา

กลุ่มชาวบ้านจึงหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ

เมื่อชายชราคนเก็บขยะเห็นหน้าซูเย่ เขาก็เบิกตาโต รีบวิ่งมาคุกเข่าเบื้องหน้าชายหนุ่มทันที

ซูเย่ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมออกมาจากหลังโต๊ะ และพยุงชายชราให้ลุกขึ้น

“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”

ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ต้องหันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

หลี่เคอหมิงเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน

“ขอบคุณพ่อหนุ่มมากนะ ขอบคุณพ่อหนุ่มมากจริง ๆ”

คุณตาคนเก็บขยะมองหน้าซูเย่ด้วยความตื้นตันใจ “ครั้งก่อนนอกจากช่วยรักษาฉันแล้ว พ่อหนุ่มยังเอาเงินมาให้ฉันอีก รู้ไหมว่าเงิน 50,000 หยวนของพ่อหนุ่มก้อนนั้น สามารถช่วยฉันได้เยอะเลย ให้ตายเถอะ ฉันไม่รู้จะขอบคุณพ่อหนุ่มยังไงอีกแล้ว!”

คุณหมอหนุ่มคนนี้หรือคือคนที่บริจาคเงินให้ผู้เฒ่าหลี่?

กลุ่มชาวบ้านมองหน้าซูเย่ด้วยความไม่อยากเชื่อ

ผู้เฒ่าหลี่ได้รับการบริจาคเงินก้อนใหญ่จากชายหนุ่มแปลกหน้า นี่คือเรื่องราวที่โด่งดังไปทั่วทั้งหมู่บ้าน

ปรากฏว่าขณะนี้ ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นได้มาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว!

ซูเย่นอกจากช่วยรักษาผู้คน ยังมอบเงินให้อีกถึง 50,000 หยวนเลยหรือ?

หลี่เคอหมิงไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้พบเห็น เขายิ้มออกมาด้วยความประหลาดใจ และมีความสุข

นายแพทย์ใหญ่ไม่คิดเลยว่าซูเย่จะเป็นคนดีถึงขนาดนี้

นักศึกษาที่ยินดีบริจาคเงินก้อนใหญ่ถึง 50,000 หยวนให้กับคนแปลกหน้า ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งนัก

“ดูเหมือนฉันจะดูคนไม่ผิดจริง ๆ” หลี่เคอหมิงคิดกับตัวเองด้วยความดีใจ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ซูเย่พูดกับคุณตาคนเก็บขยะ และทำหน้าที่แนะนำตัว “นี่คืออาจารย์ของผมเอง เป็นอาจารย์หมอชื่อดังจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง ที่พวกเรามาในวันนี้ก็เพราะอยากจะตรวจรักษาโรคให้ทุกคนแบบไม่มีค่าใช้จ่าย เริ่มจากคุณตาก่อนเลยก็ได้ครับ ไม่ทราบว่าอาการปวดท้องครั้งที่แล้วเป็นยังไงบ้าง…”

“ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ พวกคุณหมอเป็นคนดีเหลือเกิน”

ผู้เฒ่าหลี่พูดเสียงสั่นเครือ

เมื่อแนะนำตัวกันเรียบร้อย ซูเย่ก็บอกให้ชายชรานั่งลงที่โต๊ะตรวจและคุณตาคนเก็บขยะก็เป็นคนไข้กิตติมศักดิ์คนแรก ที่ได้รับการตรวจจากเขาประจำหมู่บ้านนี้

ชาวบ้านคนอื่น ๆ ยืนดูด้วยความลังเลนิดหน่อยแต่แล้ว

พวกเขาก็เริ่มมายืนต่อแถวรอเข้าคิวรับการตรวจมากขึ้นเรื่อย ๆ

หากคุณหมอคนนี้เป็นคนที่บริจาคเงินให้กับผู้เฒ่าหลี่ งั้นเขาก็คงไม่ได้มาตรวจชาวบ้านเพื่อหวังผลประโยชน์แน่นอน

ต่อให้ไม่เจ็บป่วยเป็นอะไร แต่อย่างน้อยให้คุณหมอตรวจดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายนี่นา

“ดูเหมือนว่าคุณหมอหนุ่มคนนี้จะไม่ใช่พวกหลอกลวงแล้วล่ะ”

หลายคนเริ่มคิดไปในทิศทางเดียวกัน

ในกลุ่มชาวบ้าน

มีหญิงสาวคนหนึ่งรีบวิ่งมาต่อแถว เธอหยุดชำเลืองมองหลี่เคอหมิงด้วยความลังเลเล็กน้อย แต่แล้วในดวงตาก็เป็นประกายแห่งความหวัง ก่อนที่เธอจะรีบหมุนตัววิ่งกลับบ้านไปทันที

“เอาล่ะ เธอเริ่มคำนวณปริมาณยาของแต่ละคนได้เลย”

เมื่อเห็นว่าชาวบ้านมายืนเข้าคิวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หลี่เคอหมิงก็ยิ้มแย้มด้วยความพอใจ และผายมือส่งสัญญาณให้ซูเย่เริ่มต้นการฝึกฝนพิเศษ

กระบวนการทุกอย่างยังเหมือนขั้นตอนตรวจที่โรงพยาบาล

ซูเย่ตรวจสอบอาการเบื้องต้นของผู้เฒ่าหลี่ เรียบร้อยดีแล้วก็เขียนใบสั่งยาและระบุจำนวนปริมาณยาที่ควรใช้

เมื่อหลี่เคอหมิงมองดูใบสั่งยาที่ชายหนุ่มเขียนออกมา สีหน้าของเขาก็บอกชัดถึงความพอใจ

“ไม่เลวนี่นา”

หลี่เคอหมิงพยักหน้า “แต่เธอต้องลดปริมาณยาลงสักหน่อย ผลข้างเคียงของตัวยาเหล่านี้สำหรับผู้สูงอายุมันมีมากเกินไป เราไม่สามารถใช้ปริมาณเดียวกับคนหนุ่มคนสาวได้น่ะ”

พูดจบแล้ว นายแพทย์ใหญ่ก็หยิบปากกาออกมาแก้ไขจำนวนปริมาณยาให้ถูกต้อง

ซูเย่รับมาดูด้วยความรวดเร็วและจดจำไว้ในสมองโดยทันที

อดีตผู้ใหญ่บ้านหลี่เมื่อรับใบสั่งยาไปแล้ว เขาก็ยังไม่ได้กลับบ้านแต่อย่างใด ชายชรายังคงยืนอยู่แถวนั้นเพื่อจัดระเบียบการเข้าแถวของลูกบ้าน เพราะผู้เฒ่าหลี่คิดว่านี่คือวิธีเดียวเท่านั้นที่เขาจะสามารถตอบแทนซูเย่ได้

คนไข้คนที่ 2 ผ่านไป

ซูเย่เขียนใบสั่งยาเสร็จเรียบร้อย

หลี่เคอหมิงรับไปดู และแสดงความคิดเห็นว่า “ชนิดของสมุนไพรที่เธอเลือกใช้ยังไม่ยืดหยุ่นมากพอ เห็นได้ชัดว่าเธอยังยึดติดการใช้สมุนไพรโบราณมากเกินไป”

หลังจากนั้น ผู้เป็นอาจารย์ก็แก้ไขใบสั่งยาของซูเย่อีกเล็กน้อย

มาถึงผู้ป่วยคนที่ 3

“ตัวสมุนไพรที่เลือกใช้ยังไม่ครอบคลุมมากพอ”

หลังจากที่หลี่เคอหมิงเพิ่มรายชื่อสมุนไพรไปอีกสองสามอย่างแล้ว เขาก็ขีดฆ่าของเดิมที่ชายหนุ่มเขียนไว้อีกสองสามอย่างเช่นกัน

ซูเย่เฝ้าดู และเรียนรู้อย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกันนั้น

หญิงสาวที่วิ่งกลับบ้านไปเมื่อสักครู่ ได้กลับมายังจุดตรวจคนไข้อีกครั้งด้วยการปั่นจักรยานพ่วงข้าง

บนที่นั่งของรถพ่วงข้างมีชายหนุ่มหน้าซีด ไว้เครารุงรัง นั่งดวงตาเหม่อลอยเหมือนคนไม่มีวิญญาณคนหนึ่ง

เห็นดังนั้น บรรดาชาวบ้านที่ยืนต่อคิวกันอยู่ ก็พร้อมใจกันหลีกทางให้แก่รถจักรยานพ่วงข้างของหญิงสาวด้วยความเวทนา

“พวกเราให้บ้านนี้เขาตรวจกันก่อนเถอะ”

“ได้เลย”

“น่าสงสารจริง ๆ”

ชายชราผู้ควรเป็นคนไข้รายที่ 4 ของซูเย่ กลายเป็นคนที่ต้องรับหน้าที่อธิบายให้อาจารย์ และลูกศิษย์จากในตัวเมืองได้เข้าใจว่า “พ่อหนุ่มคนนี้ประสบอุบัติเหตุขาหักระหว่างเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นน่ะครับ แต่หลังจากกลับออกมาจากโรงพยาบาล เขาก็ไม่สามารถเดินได้อีกเลย”

“เฮ้อ บ้านนี้น่าสงสารมากนะครับหมอ ในบ้านมีแต่เด็กกับคนแก่ หัวหน้าครอบครัวก็มาขาหักเสียอย่างนี้ ภาระหนักจึงตกไปอยู่กับเมียเขานั่นแหละ”

“ที่น่าเศร้าคือเขาขาหักมาได้ 2 ปีแล้วล่ะครับ”

หนึ่งในชาวบ้านที่อยู่ในกลุ่มคนต่อแถวให้ข้อมูลเพิ่มเติม

“คุณหมอคะ สามีฉันขาหัก คุณหมอช่วยรักษาได้ไหมคะ?”

หญิงสาวพูดพร้อมกับเข็นรถจักรยานพ่วงข้างมาจอดอยู่ด้านข้างโต๊ะตรวจอย่างยากลำบาก และถามด้วยน้ำเสียงมีความหวัง

เมื่อเห็นสีหน้า และแววตาคาดหวังเช่นนั้น หลี่เคอหมิงก็ไม่อยากจะทำให้เธอต้องผิดหวังเลย

แต่หน้าที่ของหมอคือการบอกความจริง

นายแพทย์ใหญ่ถอนหายใจ ก่อนตอบว่า “เสียใจด้วยนะครับ เขาขาหักมาได้ 2 ปี กระดูกคงรักษาตัวเองไปแล้ว พวกเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้วล่ะครับ”

“ช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือคะ”

แววตาที่มีความหวังของหญิงสาวพลันดับวูบไปในพริบตา เช่นเดียวกับสีหน้าของชายหนุ่มที่อยู่บนรถพ่วงข้างก็หมองหม่นลงไปเช่นกัน นี่คือหนทางสุดท้ายที่จะได้รับการรักษาของเขา

แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรอีก?

ถ้าเป็นแบบนี้ตายเสียดีกว่า…

“ให้ผมลองรักษาดูได้ไหมครับ”

ซูเย่ที่นั่งรับฟังอยู่ในความเงียบพลันโพล่งขึ้นมา

ชาวบ้านแทบทุกคนหันมามองหน้าเขาเป็นตาเดียว

“จริงหรือคะ?”

หญิงสาวร้องถามด้วยความตกใจ ในขณะเดียวกันเธอก็ดีใจไม่น้อยเช่นกัน

ชายหนุ่มผู้ขาหักก็หันมามองหน้าซูเย่อย่างมีความหวังอีกครั้ง

ดวงตาของอาจารย์หลี่เป็นประกายวาวโรจน์

ตัวเขาเองมีความสามารถอยู่ในระดับแพทย์รักษาโรค รู้ดีว่าเมื่อกระดูกสมานตัวกันแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขสิ่งใดได้อีก

ความเป็นไปได้เดียวในการรักษากรณีนี้ก็คือ การนำไปผ่าตัดเพื่อจัดกระดูกใหม่ แต่มันก็เป็นอันตรายต่อตัวคนไข้มากเกินไป

หลี่เคอหมิงรู้ว่าซูเย่สามารถจัดกระดูกได้ แต่กระดูกที่สมานตัวแล้วแตกต่างไปจากกระดูกที่เพิ่งแตกหักใหม่ ๆ อย่างสิ้นเชิง

“เธอแน่ใจนะ?”

หลี่เคอหมิงถามชายหนุ่มเพื่อความมั่นใจ

ซูเย่พยักหน้าหนักแน่นและหันไปพูดกับหญิงสาวว่า

“ผมแน่ใจครับ!”

“ช่วยพาผมไปที่ที่เป็นส่วนตัวไม่มีใครรบกวนด้วยนะครับ แล้วผมจะลองรักษาเขาดู”

“ได้เลยค่ะ”

ด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มชาวบ้าน ไม่นานหลังจากนั้น หญิงสาวก็ได้ห้องว่างในบ้านพักหลังหนึ่ง

ชาวบ้านหลายคนช่วยกันอุ้มชายหนุ่มขาพิการขึ้นไปนอนบนเตียง เมื่อซูเย่เดินเข้าไปในห้องนั้น และอยู่กับคนไข้ตามลำพัง พวกเขาก็ปิดประตูกลับออกมา รอคอยให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

หลี่เคอหมิงก็ทำได้เพียงยืนขมวดคิ้วและรอคอยอยู่ด้านนอกเช่นกัน