บทที่ 82: เยี่ยม เราจับตัวเขาไว้ได้แล้ว

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 82: เยี่ยม เราจับตัวเขาไว้ได้แล้ว

“นี่แก… เป็นไปได้ยังไง? แค่ก!”

ในที่สุดการต่อสู้ที่มีชีวิตของทั้งสองเป็นเดิมพันก็ได้ปิดฉากลงภายใต้ม่านหมอกนอกโบสถ์ แสงสีเงินสว่างวาบผ่านร่างของปีเตอร์ เคเตอร์ ตัดภาพวาดอันบิดเบี้ยวรอบ ๆ ไปพร้อมกับตัวเขาออกเป็นชิ้น ๆ

ปีเตอร์ เคเตอร์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงความตายของเขาได้อีกต่อไป เขารู้สึกได้ว่าพลังเวทของเขากำลังไหลออกจากร่างไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่เคยคิดเลย… ว่าข้าจะต้องมาตายที่นี่… ฮ่าฮ่าฮ่า… ไอ้หนู อย่าได้ใจจนเกินไปล่ะ… ถ้าแกกล้าที่จะทำข้อตกลงกับตัวตนระดับนั้น… สักวันหนึ่ง แกจะต้อง…”

แม้ร่างกายจะเหลือเพียงครึ่งเดียวปีเตอร์ก็ยังคงหัวเราะเยาะเย้ยโรเอล พลางนึกถึงภาพเงาขนาดใหญ่ที่ตนเห็นก่อนหน้านี้ ทว่าก่อนที่นักฆ่าจะได้พูดจนจบประโยค เขาก็ตายไปเสียก่อน เหลือไว้เพียงรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าของร่างไร้วิญญาณ

ขณะเดียวกัน โรเอลผู้ใช้แรงไปมหาศาลก็หอบหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า เขาหมดสภาพเสียจนฟังสิ่งที่ปีเตอร์พูดไม่รู้เรื่อง ตอนนี้สิ่งที่เด็กชายรับรู้นั้นมีเพียงความร้อนที่กำลังแผดเผาร่างกายของเขา

สถานะอมตะคงกระพันจากคาถาเวทนั้นยังคงทำงานอยู่ และเมื่อมันหมดเวลาลง บาดแผลที่เกิดจากภาพรอยยิ้มของมารดา และภาพวาดอื่น ๆ ก็เริ่มจางหายเป็นปกติ พลังเวทด้านมืดที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างทำให้ร่างกายของโรเอลกระปรี้กระเปร่าอย่างรวดเร็ว รักษาเขาจนกลับมามีสภาพสมบูรณ์

【3… 2… 1…】

【คาถาเวท ‘คำมั่นสัญญากับกรันด้า’ ได้สิ้นสุดแล้ว】

เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของคาถาเวท ‘การประเมิน’ ของระบบก็ได้รับการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ :

【การประเมินอย่างละเอียด : การดำเนินการระดับสูง (74 % )】

ผลการประเมินที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับโรเอล

เด็กชายเอื้อมมือไปสัมผัสท้องของเขา ก่อนหน้านี้ภาพวาดรอยยิ้มของมารดาได้ทิ้งบาดแผลเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ไว้ตรงนั้น ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย นอกจากรอยเลือดที่เปรอะเปื้อนบนผิวหนังอันไร้ตำหนิ บาดแผลทั้งหมดนั้นถูกรักษาจนหายดีแล้ว โดยไม่เหลือแม้แต่รอยสะเก็ด

ความสามารถในการฟื้นฟูของอันเดธยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้เลยเหรอ? โรเอลอดไม่ได้ที่จะสงสัย

แม้โรเอลจะหวนนึกถึงภาพยนตร์ต่าง ๆ เกี่ยวกับซอมบี้ที่แข็งแกร่งเกินสามัญสำนึกในอดีตชาติ แต่พวกมันก็ไม่ได้ทรงพลังมากขนาดนี้ บางทีพวกอันเดธในโลกนี้อาจจะเป็นตัวตนที่เหนือกว่านั้นมาก

“เป็นคาถาเวทที่มีพลังน่าเหลือเชื่อจริง ๆ แต่มันก็… ทำให้รู้สึกเหนื่อยสุด ๆ …”

เขาพูดกับตัวเองในขณะที่ร่างกายโอนเอนไปมาอย่างอ่อนแรง

การแปลงร่างจากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นอันเดธและกลับมาสู่ร่างปกตินั้นได้สร้างภาระให้กับร่างกายของโรเอลเป็นอย่างมาก แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว แต่เด็กชายก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวจากสภาพอันอ่อนแอนี้ได้ โรเอลรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขากลวงว่างเปล่าไปหมด

ด้วยสภาพร่างกายโรเอลในตอนนี้ ทำให้เด็กชายเดินโซเซไปยังป้ายบอกทางชำรุดที่เขียนระบุชื่อถนน ‘โล้ค 42’​ พิงลงกับป้ายพัง ๆ นั่นพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ บรรเทาความรู้สึกไม่สบายตัวของตน ก่อนจะหันไปทางโบสถ์ด้วยรอยยิ้มอย่างโล่งใจ

แม้จะต้องเผชิญกับอันตรายเหนือความคาดหมาย แต่โรเอลก็สามารถเอาชนะภัยพิบัตินั้นมาได้ในท้ายที่สุดและปกป้องนอร่าเอาไว้ได้สำเร็จ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา

“ย้อนแย้งชะมัด แบบนี้ดูเหมือนว่าตอนที่เธอฟื้นขึ้นมา เราจะกลายเป็นฝ่ายที่ป่วยแทนใช่ไหมเนี่ย?”

โรเอลกำเสาป้ายบอกทางแน่นด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มแล้วจึงกัดฟันอดทน พยุงร่างของตนเดินโซซัดโซเซไปยังโบสถ์

เราต้องกลับไปหาเคราส์ แล้วทำความสะอาดศพให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นกลิ่นของมันอาจจะเป็นตัวการดึงทหารให้เข้ามาที่นี่…

เมื่อเดินไปได้เพียงครึ่งทางสู่จุดหมาย ทัศนวิสัยการมองเห็นของโรเอลก็เริ่มกระจ่างขึ้น เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าจากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่า เวลาได้กลายเป็นช่วงเช้าไปเสียแล้ว แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องไปทั่วถนน ทำให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้นในทันที

ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกดิน คือช่วงเวลาที่การทำงานของเขาวงกตจะหยุดลงเพื่อตั้งค่าเขาวงกตใหม่ โดยจะกินเวลานานหนึ่งชั่วโมงในแต่ละครั้ง เมื่อสังเกตเห็นเงาของตัวเองที่อยู่ข้างหลัง โรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดค่ำคืนอันยาวนานก็ได้จบลงแล้ว

ทว่า ไม่ทันที่เด็กชายจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ เงาปริศนาก็ได้ปรากฏขึ้นมาข้าง ๆ ตัวเขา

มีใครบางคนอยู่ข้างหลังเรา!

สีหน้าของโรเอลตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เขารู้ดีว่าไม่มีคำว่า ‘พันธมิตร’ ในดินแดนที่อันตรายแฝงตัวอยู่ทุกซอกทุกมุมนี้ เด็กชายหันกลับไปพร้อมฟาดฟันดาบสั้นเข้าใส่ร่างปริศนาข้างหลังเขาอย่างไม่ลังเล

ทว่าดาบสั้นเอสเซนด์วิงที่ไม่เคยล้มเหลวในการโจมตีตั้งแต่ที่โรเอลได้รับมา กลับล้มเหลวในการทำร้ายเป้าหมายของร่างปริศนานั้น เสียงสะท้อนของโลหะดังขึ้นมาจากคมดาบ ทำให้โรเอลจ้องเขม็งอย่างตกตะลึงไปยังชายผมทองผู้กำลังขวางดาบสั้นศักดิ์สิทธิ์ด้วยนิ้วชี้อันเรียวยาว

เมื่อพิจารณาจากการที่กล้ามเนื้อของชายผมทองนั้นไม่ได้มีการเกร็งแต่อย่างใด​ มันจึงเห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ได้ออกแรงแม้แต่น้อย นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใช้พลังเวทมากเท่าไหร่ด้วยเช่นกัน

ทั้ง ๆ ที่ความคมของเอสเซนด์วิงน่าจะผ่านิ้วของชายปริศนาคนนี้ออกเป็นสองส่วนได้สบาย ๆ แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น

แม้โรเอลจะตกใจกับสถานการณ์ปัจจุบันมาก แต่เขาก็ไม่ได้สับสน เด็กชายมองไปที่ใบหน้าของชายผมทองปริศนา มันคล้ายคลึงกับใบหน้าของเด็กสาวที่กำลังนอนหลับอยู่ในโบสถ์ ทำให้เขาสามารถระบุตัวตนของบุคคลปริศนาคนนี้ได้ในทันที

เวต เซไซต์

สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้ ทั้งเขาและนอร่ากำลังตกอยู่ในอันตราย

เวต เซไซต์ เป็นบุคคลที่ทรงพลัง หนึ่งในวิชาที่เขาชำนาญคือการรวบรวมความแข็งแกร่งไปที่จุด ๆ เดียวเพื่อหยุดอาวุธใด ๆ ก็ตามที่พุ่งเข้ามาหา วิชาดังกล่าวไม่ต่างอะไรไปจากมายากล แต่มันก็มีประสิทธิภาพมากในการบดขยี้เจตจำนงในการต่อสู้ของศัตรูลง

แต่สถานการณ์ครั้งนี้แตกต่างกันเล็กน้อย ขณะที่นิ้วของเวตกำลังจะสัมผัสกับเอสเซนด์วิง ดาบสั้นสีเงินก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างและหยุดพลังของมันลง ทำให้เวตหยุดมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

สถานการณ์แปลกประหลาดนี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเวต เขาเบนสายตาจากร่างกายที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของโรเอล ไปยังดาบสั้นสีเงินด้วยดวงตาที่หรี่ลง

นี่มันดาบแห่งนักบุญ… ดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก!

ด้วยที่ตระกูลเซไซต์คือผู้สืบทอดสายเลือดแห่งทูตสวรรค์ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะมีความรู้เกี่ยวกับดาบแห่งนักบุญ 12 ปีกมากกว่าใคร ๆ และเนื่องจากพลังทางสายเลือดของพวกเขา ดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก จึงไม่สามารถทำร้ายพวกเขาได้ อันที่จริงแล้ว ดาบสั้นที่เหมือนกับขนนกเล่มนี้เคยถูกใช้เป็นของเล่นในวัยเด็กของเขาด้วยซ้ำ

เวตเข้าใจดีถึงความสำคัญของเอสเซนด์วิง เมื่อมันตกอยู่ในมือของคนนอก

“เจ้าเป็นใครกัน?”

เวตหันกลับมามองที่เจ้าของดาบ สายตาของเขาเฉียบคมและเคร่งขรึมกว่าก่อนหน้านี้มาก อีกฝ่ายเองก็เคร่งเครียดเกินกว่าจะพูดอะไรได้ แต่แล้วเมื่อองค์ชายหันมองไปทางด้านข้างของเด็กชาย และเห็นซากศพที่ถูกผ่าครึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้น

พลังเวทนี้…ระดับแก่นแท้ 4? เด็กชายคนนี้เป็นคนลงมือฆ่าเขาด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ?

รอยขมวดเล็กน้อยปรากฏบนหน้าผากของเวต หากการปรากฏขึ้นของเอสเซนด์วิงได้สร้างบรรยากาศแห่งความลึกลับเกี่ยวกับตัวตนของเด็กชายตรงหน้าเขาแล้วล่ะก็ การปรากฏตัวของศพผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายระดับแก่นแท้ 4 ก็ยิ่งทำให้มันลึกลับยิ่งขึ้นไปอีก

นี่ทำให้เวตรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของโรเอลได้อย่างชัดเจน การที่เด็กชายคนนี้ที่มีความแข็งแกร่งเพียงแค่ระดับแก่นแท้ 6 โดยที่ยังไม่ได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด สามารถเอาชนะผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้ 2 ระดับ…ถือเป็นความสำเร็จอันไม่น่าเชื่ออย่างแท้จริง มันเป็นความสำเร็จที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

หรือบางทีนี่อาจจะเป็นเพราะความสามารถของดาบสั้น? เวตสงสัย

ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เวตคิด โรเอลไม่ได้คิดจะหยุดเพียงเพราะว่าเขาล้มเหลวในการโจมตีด้วยเอสเซนด์วิง จิตใจของเขาปั่นป่วนพลางคิดหาวิธีที่จะหลอกล่อองค์ชายผู้นี้ให้ออกไปไกลจากโบสถ์ให้มากที่สุด

แม้ว่าโรเอลจะไม่แน่ใจว่าทำไมจู่ ๆ เวตถึงได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ แต่เด็กชายก็รู้ดีว่าเขาต้องขัดขวางทุกวิถีทางห้ามไม่ให้องค์ชายคนนี้พบกับนอร่า ทุกสิ่งที่เวตทำจนถึงตอนนี้ รวมถึงการยุยงให้เกิดสงครามกลางเมืองอันเลวร้าย ก็เพื่อทำให้เหลือเขาเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์เพียงคนเดียว ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เวตจะต้องทำเพื่อให้แผนการของเขาบรรลุผล

ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลยที่เวตจะปล่อยให้นอร่ารอดไปได้ โรเอลจะต้องล่อเวตออกไปจากที่นี่ให้ได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม แต่เขาควรจะทำอย่างไรดีละ ?

วิธีที่ง่ายที่สุดในการล่อเวต คือการหนีโต้ง ๆ ไปจากบริเวณนี้ ด้วยความคิดนั้นโรเอลก็หันไปมองเอสเซนด์วิงในมือ

ตอนนี้เขาได้ใช้ความสามารถ ‘นอกกรอบ’ ไปแล้วสองครั้งในวันนี้ ซึ่งหมายความว่าเขาเหลือการเคลื่อนย้ายทางไกลเพียงแค่ครั้งเดียวเป็นครั้งสุดท้าย แต่เนื่องจากระยะทางสูงสุดที่เขาสามารถเคลื่อนย้ายได้คือ 50 เมตร และหมอกของเขาวงกตนั้นได้ลดระดับลงมาแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากทำแบบนั้นโรเอลจะต้องถูกจับตัวได้ในทันทีแน่

ที่แย่ไปกว่านั้น ตอนนี้โรเอลถูกล้อมเอาไว้แล้ว ด้วยกองทหารทุกประเภทที่เดินทัพมาจากทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นกองทหารติดอาวุธ ผู้บัญชาการในชุดเกราะเงิน กองทหารนักธนูหุ้มเกราะเบา หรือกองทหารขนส่ง

พวกเขาคือกองทัพพันธมิตรของเวต

บันทึกในประวัติศาสตร์ระบุไว้ว่าส่วนใหญ่คนพวกนี้เป็นพวกลัทธิชั่วร้ายที่มีรูป​ลักษณ์ราวกับว่าหลุดมาจากส่วนลึกของขุมนรก ทว่าในความเป็นจริงแล้ว บันทึกเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก เห็นได้ชัดว่าทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและเต็มไปด้วยระเบียบวินัย นอกจากนี้พวกเขายังไม่ใช่พวกลัทธิชั่วร้ายอย่างที่ลือกัน แต่เป็นพวกลัทธินอกรีตทั่วไปเสียมากกว่า

อย่างไรก็ตาม โรเอลไม่มีอารมณ์ที่จะมาแก้ไขบันทึกประวัติศาสตร์ในตอนนี้ การปรากฏตัวของกองทัพพันธมิตรได้บดขยี้ประกายแสงแห่งความหวังสุดท้ายในใจของเขา แม้จะมีระยะเคลื่อนย้ายทางไกลถึง 50 เมตรของ ‘นอกกรอบ’ แต่ไม่ว่าเขาจะย้ายตัวเองไปที่ไหน เด็กชายก็จะโผล่ขึ้นในกองทัพทหารของศัตรู

“ดูจากเสื้อผ้าแล้ว เจ้าน่าจะมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูง น่าสนใจดีนี่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีขุนนางคนไหนได้รับสืบทอดเอสเซนด์วิง นอกจากนี้เอสเซนด์วิงในมือของเจ้ายังได้ตื่นขึ้นแล้วอีกต่างหาก”

เวตมองไปมาสลับระหว่างเอสเซนด์วิงและใบหน้าอันแข็งทื่อของโรเอล ในที่สุดองค์ชายก็พบว่าเขาไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นของตนได้อีกต่อไป

“ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับวิกตอเรียคืออะไร ?”

ขณะที่เวตกำลังถาม โรเอลก็สังเกตเห็นอัศวินผมสีทองคนหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหาพวกเขา อัศวินคนนั้นหยุดลงตรงหน้าเวตก่อนจะก้มลงโค้งคำนับแก่เขา

“ฝ่าบาท พวกเราได้ล้อมพื้นที่นี้เอาไว้แล้ว กองทัพของเราพร้อมเคลื่อนไหวทันทีที่ท่านออกคำสั่ง”

“บุกเข้าไปหาตัวเธอซะ”

“รับทราบขอรับ แล้วเด็กคนนี้…”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเขาหรอก ไม่จำเป็นต้องปลดอาวุธของเขาออกไปด้วยเช่นกัน เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้พวกเราได้อีกแล้ว หาคนมาดูแลเขาเถอะ”

เวตมองไปยังโรเอล ผู้กำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อวางท่าเข้มแข็ง แม้ว่าเขาใกล้จะสลบเต็มทน จากนั้นองค์ชายก็หัวเราะกับตัวเอง เวตตัดสินใจที่จะเก็บเด็กชายผู้น่าสนใจคนนี้เอาไว้ชั่วคราว แล้วค่อยถามเรื่องเกี่ยวกับเขาในภายหลัง

อย่างไรก็ตามอัศวินผมทองกลับระมัดระวังโรเอลเป็นพิเศษ เขาจ้องไปที่เด็กชายอย่างจริงจัง ราวกับกำลังพยายามประเมินว่าโรเอลนั้นเป็นภัยคุกคามต่อเวตหรือไม่

ซึ่งโรเอลเองก็เริ่มประเมินอัศวินคนนั้นด้วยเช่นกัน ทว่านั่นกลับทำให้เด็กชายต้องประหลาดใจ เพราะเขาได้เห็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นที่นี่ในยุคนี้

【ที่ปรึกษาขององค์ชายเวต : เฟลเดอร์ เอลริก (ไบรอัน เอลริก)】