บทที่ 83: มารับฉันด้วยสิ เอาฉันไปด้วย !

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 83: มารับฉันด้วยสิ เอาฉันไปด้วย !

ภัยพิบัติแห่งการนองเลือด

นี่เป็นคาถาเวทที่โรเอลซื้อมาจากร้านค้าเหรียญทองตอนที่มีส่วนลดพิเศษ ผลของมันค่อนข้างลึกลับโดยทำงานแบบสุ่ม จนถึงตอนนี้ คนเดียวที่คาถานี้ทำงานมีเพียงปีเตอร์ เคเตอร์ ซึ่งก็ทำให้เด็กชายได้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ว่าเขาตกเป็นเป้าหมายของลัทธิชั่วร้าย

แต่คาถาเวทดังกล่าวได้ทำงานขึ้นเป็นครั้งที่สองในวันนี้ มันแสดงให้โรเอลเห็นถึงชื่อสีแดงอ่อนปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของอัศวินผมทอง การที่มันมีสีแดงอ่อน หมายความว่าแม้อัศวินคนนี้จะมีเจตนาฆ่า แต่ก็ไม่ได้มุ่งเป้าหมายมาที่เขาเป็นหลัก

แต่ที่ทำให้โรเอลตกใจไม่ใช่สีของชื่อแต่อย่างใด กลับเป็นชื่อของอัศวินเสียมากกว่า

【ที่ปรึกษาขององค์ชายเวต : เฟลเดอร์ เอลริก (ไบรอัน เอลริก)】

ตอนแรกมันก็ไม่ได้ดูน่าแปลกใจเท่าไหร่ จนกระทั่งเมื่อโรเอลสังเกตเห็นชื่อที่เขียนอยู่ในวงเล็บ เขาก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป ราวกับว่าได้ถูกสายฟ้าฟาดเข้าเต็ม ๆ

การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของชื่อ ‘ไบรอัน เอลริก’ ทำให้สมองของโรเอลว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง ปฏิกิริยาแรกของเขาคือความสงสัย ว่าเหตุใดเคานต์ไบรอัน ถึงเข้ามาอยู่ในโลกอดีตสมัยที่คฤหาสน์เขาวงกตถูกเปิดใช้งานได้กัน

อย่างไรก็ตามโรเอลได้ปฏิเสธความเป็นไปได้นั้นไปในทันที มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ไบรอัน เอลริกจะอยู่ใกล้ ๆ คฤหาสน์เขาวงกตในตอนที่พวกเขาถูกส่งมาที่นี่ นอกจากนี้ สภาพของไบรอันเองก็ดูเข้ากับยุคสมัยนี้ได้สมบูรณ์มากเกินกว่าจะเป็นคนที่ข้ามเวลามาอีกด้วย

ท่าทีที่เขาจงรักภักดีต่อ เวต เซไซต์ และอำนาจที่เขามีในกองทหาร เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าชายคนนี้คือ เฟลเดอร์ เอลริก ที่อาศัยอยู่ในยุคนี้จริง ๆ

ผลของคาถาเวท ภัยพิบัติแห่งการนองเลือด นั้นไม่มีทางผิดพลาด แล้วทำไมชื่อของไบรอัน เอลริกจึงปรากฏขึ้นเหนือหัวเขาได้?

หลังจากครุ่นคิดอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความเป็นไปได้สุดท้ายที่แวบเข้ามาในหัวของโรเอลก็คือ เฟลเดอร์ เอลริกในยุคนี้ ในอนาคตจะกลายเป็น ไบรอัน เอลริกนั่นเอง!

บันทึกประวัติศาสตร์ได้ระบุเอาไว้ว่าผู้นำของตระกูลได้สละชีวิตของเขาหลังจากการพ่ายแพ้ของฝ่ายองค์ชายเวตในเหตุการณ์ การเดินขบวนแห่งความวุ่นวาย ตามประวัติศาสตร์ส่วนนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องเท็จ เนื่องจากตระกูลเซไซต์ได้ตรวจสอบความถูกต้องของข่าวนี้เป็นการส่วนตัว

เฟลเดอร์ เอลริก จะต้องพบวิธีการบางอย่างในการชุบชีวิตตัวเองขึ้นมา ทำให้เขาสามารถดำรงอยู่ในฐานะไบรอัน เอลริก หนึ่งศตวรรษต่อมาหลังจากนี้ในยุคของพระสังฆราช จอห์น​

ความลับอันน่าตกใจนี้ทำให้หัวใจของโรเอลเต้นระรัว เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังอัศวินผมสีทองอย่างจริงจัง​ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการกระตุ้นให้เฟลเดอร์เกลียดชังเขามากขึ้นไปอีก

“เจ้าหนู ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหนหรอกนะ แต่ตอนนี้เจ้ากำลังยืนอยู่เบื้องหน้าองค์ชายเวตผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าควรจะแสดงความเคารพต่อองค์ชายซะ”

หลังจากพูดข่มขู่โรเอล เฟลเดอร์ก็หันความสนใจไปทางอื่น ทำการออกคำสั่งให้กองทหารล้อมรอบโบสถ์เอาไว้ จากนั้นก็นำกองทหารแนวหน้าที่ประกอบไปด้วยทหารชั้นยอดเข้าไปในโบสถ์อย่างไม่เกรงกลัว

“อา ได้โปรด! อย่าฆ่าข้าเลย ข้าเป็นเพียงแค่นักพรตเท่านั้น…”

เสียงฝีเท้าของทหารที่เหยียบเบา ๆ บนพื้นไม้ของโบสถ์ พร้อมกับเสียงประตูที่ถูกถีบให้เปิดจนดังก้องไปทั่ว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างสะพรึงกลัวของเคราส์

หลังจากนั้นทหารคนหนึ่งก็รีบวิ่งออกจากโบสถ์แล้วอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น

“ฝ่าบาท พวกเราพบเธอแล้วขอรับ !”

รอยยิ้มอันชัดเจนปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์ชายเวต เมื่อได้ยินรายงานเขาก็รีบเดินตามทหารเข้าไปในโบสถ์ ตรงไปยังห้องที่นอร่านอนพักอยู่

เวตไม่ได้เหลือบมองไปยังเคราส์ผู้ถูกดาบจ่อคอตรึงไว้ตรงมุมห้องเลยแม้แต่น้อย องค์ชายเพียงเดินตรงไปยังร่างที่หลับใหลอยู่บนเตียง ในที่สุดความตึงเครียดตลอดช่วงสองสามวันที่ผ่านมาของเวตก็ได้จางหายไปจากร่างของเขา พร้อมกับเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ข้าชนะแล้ว!

ความสูญเสียครั้งใหญ่ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาของสงครามกลางเมืองไม่ได้เปล่าประโยชน์แต่อย่างใด ในที่สุดเวตก็ประสบความสำเร็จ ตราบใดที่เขาสามารถจัดการให้วิกตอเรียอยู่ภายใต้การดูแลของตัวเองได้ แผนการของเขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!

“ข้าไม่คิดเลยว่าพอนเต้จะทิ้งเจ้าแล้วหนีไปคนเดียว ข้าคิดว่าพวกเจ้าสองคน… เดี๋ยวนะ ไม่ นี่มันไม่ถูกต้อง!”

เมื่อได้เดินเข้าไปใกล้ ๆ กับ ‘วิกตอเรีย’ ที่นอนอยู่บนเตียง ดวงตาขององค์ชายเวตก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาสังเกตได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับบุคคลตรงหน้า

แม้ว่าวิกตอเรียจะมีร่างกายเหมือนเด็ก ไม่เคยที่จะเติบโตขึ้นเหมือนผู้ใหญ่ แต่มันก็ไม่มีทางเลยที่เธอจะดูเด็กถึงขนาดนี้ ราวกับว่าร่างกายของเธอได้ย้อนกลับไปสู่วัยเด็ก นอกจากนี้พลังสายเลือดของเธอเองก็…

เวตหลับตาลงก่อนจะพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังสายเลือดของเด็กสาวตรงหน้า ซึ่งผลลัพธ์ก็ทำให้ใบหน้าขององค์ชายตึงเครียดและสับสน แม้ว่าเด็กสาวคนนี้จะมีพลังสายเลือดแบบเดียวกันกับเขา แต่พลังสายเลือดของเธอกลับอยู่ในระดับทองแดงเท่านั้น!

เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทั้งเวตและวิกตอเรียต่างก็ได้บรรลุถึงระดับเงินแล้วเมื่อ 6 ปีก่อน! จะบอกว่าเป็นการถดถอยของพลังสายเลือดงั้นเหรอ? เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้ มันก็เหมือนกับที่มนุษย์ไม่สามารถแก่ก่อนวัยได้นั่นแหละ มันไม่มีทางเลยที่ระดับพลังสายเลือดของมนุษย์จะถดถอยลง!

หรือว่าวิกตอเรียจะสามารถย้อนเวลาของตัวเธอเองได้? ไม่มีทาง เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เพราะแม้แต่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1 ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกาลเวลาได้เลย เรื่องดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน

เมื่อกำจัดตัวแปรที่เป็นไปไม่ได้ต่าง ๆ ออกไป เวตก็ทำได้เพียงยอมรับความเป็นจริงตรงหน้า ว่าเด็กสาวที่อยู่เบื้องหลังสถานการณ์อันยุ่งเหยิงนี้นั้นไม่ใช่วิกตอเรีย เซไซต์!

“รีบพาเด็กชายที่อยู่ด้านนอกมาหาข้า เดี๋ยวนี้!”

ต่อหน้าความจริงอันน่าตกตะลึงนี้ ปฏิกิริยาแรกของเวตคือ สอบปากคำโรเอล แต่ก่อนที่ทหารของเขาจะได้เดินออกไปนำตัวโรเอลมา ตำราต่าง ๆ สำหรับเด็กในโบสถ์ก็ได้ปล่อยแสงสว่างวาบเจิดจ้าออกมา พร้อมกับหน้ากระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งออกมาจากหนังสือเหล่านั้นจนปกคลุมไปทั่วห้อง

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยกะทันหันนี้ทำให้ใบหน้าของเวตมืดมนลง

“ฮึ่ม!”

ปรากฏการณ์อันคุ้นเคยนี้ทำให้เวตต้องชักดาบของเขาออกมา ทว่าตรงกันข้ามกับที่องค์ชายคาดไว้ หน้ากระดาษเหล่านั้นไม่ได้พุ่งออกมาเพื่อโจมตีเวต แต่กลับพุ่งเข้าไปหาเด็กสาวผู้กำลังนอนหมดสติอยู่บนเตียงแทนเสียอย่างนั้น

ท่ามกลางพายุกระดาษ จู่ ๆ ชายผมดำก็ปรากฏตัวขึ้น คว้าร่างของเด็กสาวที่กำลังหมดสติไป ก่อนที่จะหันมาส่งรอยยิ้มไปทางเวต

“อรุณสวัสดิ์ยามเช้า องค์ชายเวต …ลาก่อน”

พอนเต้พูดขึ้นก่อนจะปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะอย่างซุกซน ร่างของเขาและนอร่ากระจัดกระจายหายไปตามหน้ากระดาษหนังสือนับไม่ถ้วน ทำให้ดาบของเวตผู้โกรธจัดแทงทะลุผ่านอากาศอันว่างเปล่าไปแทน จากนั้นองค์ชายก็ออกคำสั่งกับทหารของตน

“พวกมันน่าจะยังไปได้ไม่ไกล รีบกระจายกันตามหาพวกมันซะ!”

ทันทีที่เวตออกคำสั่ง เหล่าทหารก็รีบเดินทางออกจากบริเวณโบสถ์ ทำการตรวจค้นทั่วพื้นที่อย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว พายุกระดาษในห้องก็สงบลงอย่างรวดเร็ว หน้ากระดาษเหล่านั้นค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมาที่พื้น เผยให้เห็นเนื้อหาบนหน้ากระดาษ

「5 มีนาคม วันนี้มีแดดจ้า

วันนี้วิกตอเรียใส่ชุดชั้นในสีเหลือง」

ขณะที่กระดาษหน้าหนังสือปลิวว่อนพัดไปมาภายในห้องที่นอร่าเคยอยู่ ข้างนอกโบสถ์ก็มีสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเช่นกัน

ระหว่างที่โรเอลกำลังมองสำรวจไปรอบ ๆ จู่ ๆ กองทหารในเครื่องแบบมาตรฐานกองทัพองครักษ์ของจักรวรรดิเซนต์เมซิทก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ล้อมรอบพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนทำให้เขาต้องตกตะลึงไปด้วย

นอกจากโรเอลที่ตกใจจนแทบจะลืมหายใจ เฟลเดอร์เองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการปรากฏตัวของทหารเหล่านี้เป็นข่าวร้ายต่อฝ่ายขององค์ชายเวต การที่กองทหารเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ย่อมหมายความว่าเจ้าของเขาวงกตขนาดมหึมาแห่งนี้จะต้องร่ายคาถาเวทบางอย่างตรงพื้นที่บริเวณนี้แน่ ๆ

ซึ่งเจ้าของเขาวงกตขนาดใหญ่นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น… นอกเสียจากบรรพบุรุษผู้มีชื่อเสียงของโรเอล พอนเต้ แอสคาร์ดนั่นเอง!

ไชโย ในที่สุดก็มีคนมาช่วยแล้ว! ท่านบรรพบุรุษจงเจริญ!

โรเอลตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากเสียยิ่งกว่าใคร ๆ ซึ่งเหล่าทหารองครักษ์ของจักรวรรดิเซนต์เมซิทก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเช่นกัน ภายใต้ธงอันยิ่งใหญ่ของภาคีผู้พิทักษ์ปีกแห่งแสง หญิงสาวผมสีทองผู้สง่างามก็ได้ชักดาบของเธอชี้มายัง เฟลเดอร์ เอลริก

“โจมตีได้!”

เสียงอันไพเราะนั้นได้ออกคำสั่งแก่กองทหารองครักษ์ของจักรวรรดิเซนต์เมซิท

ฝ่ายกองกำลังขององค์หญิงวิกตอเรียต่างคำรามออกมาด้วยความดุดัน เหล่าอัศวินผู้แข็งแกร่งนำการโจมตีในครั้งนี้อย่างห้าวหาญ เข้าฟาดฟันต่อกรกับกองทัพขององค์ชายเวต โดยมีพลธนูคอยยิงสนับสนุนจากด้านหลัง

แม้ว่ากองทัพขององค์ชายเวตจะถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ไหลไปตามกระแสของสถานการณ์นี้ กองทหารขององค์ชายเวตต่างก็ฟื้นจากอาการตกใจอย่างรวดเร็ว ทำการจัดรูปขบวนรบใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีของเหล่าอัศวิน

ทว่าคนที่เสียเปรียบมากที่สุดในการปะทะครั้งนี้ก็คือโรเอล

“เฮ้ย เฮ้ย ฉันยังอยู่ตรงนี้นะ!”

เมื่อมองขึ้นไปที่ลูกศรที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าราวกับห่าฝน ใบหน้าของโรเอลก็มืดลงด้วยความตื่นกลัว แม้ว่าการปรากฏตัวของกองทหารฝั่งวิกตอเรียจะทำให้เขามีความหวัง แต่มันก็ทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน

ก่อนที่เด็กชายจะคิดเกี่ยวกับการหลบหนีออกจากการจับกุมของกองทหารฝั่งองค์ชายเวต ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาทางเอาตัวรอดจากฝูง​ลูกธนูนี่ให้ได้เสียก่อน!

โรเอลไม่จำเป็นจะต้องคิดหาเหตุผลเลยว่าทำไมเวตและวิกตอเรียถึงมาปรากฏตัวในที่เดียวกันแบบนี้ เนื่องจากโบสถ์แห่งนี้ไม่ใช่จุดยุทธศาสตร์ ดังนั้นตัวแปรเดียวที่เป็นไปได้ก็คือนอร่า

พวกเขาทั้งคู่น่าจะมีอุปกรณ์เวท หรือคาถาบางอย่างที่ช่วยให้พวกเขาสามารถตรวจจับพลังของสายเลือดของราชวงศ์ได้

ความคิดนี้ทำให้เด็กชายถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะการที่วิกตอเรียปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ย่อมหมายความว่าเธอมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปกป้องนอร่า

ซึ่งหมายความว่าสิ่งต่าง ๆ จะไม่เป็นไปตามที่เวตตั้งใจไว้ ความแข็งแกร่งของวิกตอเรียและพอนเต้นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าแผนการใด ๆ ที่โรเอลคิดเอาไว้เพื่อช่วยนอร่า

จริง ๆ แล้วมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เวตจะฆ่านอร่าในทันที เนื่องจากตระกูลเซไซต์นั้นต้องทนทุกข์ทรมานจากการขาดทายาท ดังนั้นเขาน่าจะพยายามหลีกเลี่ยงการฆ่าสมาชิกในตระกูลของตน เว้นแต่สถานการณ์จะบีบบังคับ

นอกจากนี้ นอร่านั้นถือเป็นตัวแปรที่เวตคาดไม่ถึง เขาอาจจะรอให้เธอตื่นขึ้นมาอธิบายสถานการณ์ต่าง ๆ ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะปลิดชีพเธอไหมอีกที

คนที่ตกอยู่ในอันตรายที่สุดจึงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโรเอล

เขาเกือบจะถูกฆ่าด้วยการโจมตีของพวกเดียวกันแล้วด้วยซ้ำ นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของโรเอลในการต่อสู้ขนาดใหญ่ท่ามกลางเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ

ไม่รู้ว่าเพราะพวกเขาอยู่กลางเมือง หรือว่ามันใช้พลังเวทมากเกินไป ถึงไม่มีฝ่ายใดใช้คาถาเวทของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดออกมาเลย ไม่มีลูกไฟหรือสิ่งที่คล้ายคลึงกันลอยไปมา

แต่ถึงแม้จะไม่มีคาถาเวทอลังการพวกนั้น ภัยคุกคามที่เด็กชายต้องเผชิญกลับอันตรายเสียยิ่งกว่า

ลูกธนูหนึ่งดอกพุ่งไปยังพื้นว่างเปล่าห่างจากโรเอลเพียงห้าเมตร จากนั้นพลังเวทที่ปลายธนูก็ระเบิดออกมา ส่งผลให้ถนนที่ปูด้วยหินแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับคลื่นกระแทกอันทรงพลังที่เกิดจากแรงระเบิดสั่นสะเทือน จนผลักโรเอลลงไปที่พื้น

“โอ้พระเจ้า… นั่นมันลูกศรจริง ๆ เรอะ!! ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครใช้ลูกไฟหรือคาถาเวท บ้าที่สุด ลูกธนู​พวกนี้ทั้งเร็วและมีพลังทำลายล้างมากกว่าลูกไฟอีก!”

โรเอลจับจี้สีม่วงที่คอเพื่อเรียกเกราะแสงบาง ๆ ออกมาล้อมรอบตัวเขาในทันที โชคดีที่คุณภาพของอุปกรณ์เวทที่คาร์เตอร์ให้มานั้นเชื่อถือได้ ไม่อย่างนั้นห่าฝนลูกศรคงจะคร่าชีวิตของเขาไปแล้ว

เสียงกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานดังไปทั่วสนามรบ กองทัพขององค์ชายเวตได้รับความสูญเสียอย่างหนักจากการโจมตีอย่างดุเดือดของกองทัพองค์หญิงวิกตอเรีย

เด็กชายมองไปยังทหารห้านายที่ได้รับมอบหมายให้คอยดูแลเขา สองในห้านั้นได้เสียชีวิตลงไปแล้ว เหลือเพียงอีกสามที่พยายามจะช่วยชีวิตสหายของพวกเขา และดึงอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครสนใจโรเอลแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ที่ชีวิตของพวกเขาทุกคนตกอยู่ในอันตรายย่อมไม่มีใครมีเวลามาสนใจนักโทษเพียงคนเดียว

ด้วยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ในที่สุดโรเอลก็มีอิสระที่จะหลบหนี เขาเตรียมตัวจนพร้อมที่จะหนีไปพร้อมกับฝ่ายขององค์หญิงวิกตอเรีย แต่ในวินาทีต่อมา เด็กชายก็สังเกตเห็นชายผมดำลอยอยู่เหนืออากาศพร้อมกับเด็กสาวผมสีทองในอ้อมแขนของเขา

ทันใดนั้นความคิดเพียงอย่างเดียวก็ปรากฏขึ้นในใจของโรเอล

มารับฉันด้วยสิ เอาฉันไปด้วย!!!