ตอนที่ 181 สภาพของมั่วหนิงโหรว

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วหนิงโหรวเบิกตาโพล่งทันที จ้องมั่วชิงเฉินเขม็ง สาวน้อยที่สะสวยตรงหน้าทำให้นางมองไม่เห็นเงาที่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง พูดด้วยเสียงสั่นเทาว่า “เจ้า…เจ้าคือใคร?”

 

 

มั่วชิงเฉินโบกมือ แสงวิญญาณแวบขึ้น กั้นเขตอาคมกันเสียงขึ้นอันหนึ่ง ถึงเอ่ยช้าๆ ว่า “พี่สิบสี่ ข้าคือชิงเฉินนะ!”

 

 

มั่วหนิงโหรวตัวสั่นในบัดดล เพิ่งหลุดคำว่า ‘เจ้า’ ได้คำเดียว ก็หงายหลังล้มไป

 

 

มั่วชิงเฉินตาไวมือเร็วพยุงมั่วหนิงโหรวไว้ ให้นอนลงบนเตียง ปลายนิ้วแตะตรวจบนข้อมือผอมบางของนาง

 

 

ตามพลังวิญญาณที่ส่งเข้าไป คิ้วมั่วชิงเฉินยิ่งขมวดยิ่งแน่น ยามที่นางเพิ่งเห็นมั่วหนิงโหรว ก็รู้ว่าสภาพการณ์เกรงจะไม่ค่อยดี ทว่าไม่คิดว่าร่างกายของนางจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้

 

 

ชีพจรในร่างของมั่วหนิงโหรว อวัยวะภายในต่างๆ ไม่ได้รับความเสียหาย ทว่าเห็นชัดว่าถูกดึงไปใช้มากเกินไป ปราณหยินในร่างกายเกือบจะเหือดแห้ง

 

 

ปราณหยินนี้เหมือนดังปราณหยาง แปลงจากแก่นแท้ที่มีมาแต่กำเนิดเป็นปราณที่ มีหน้าที่คอยหล่อเลี้ยงชีพจร อวัยวะในร่างกายคนให้ชุ่มชื้น ไม่ว่าชายหญิง ก็ขาดมันไม่ได้

 

 

ปราณหยางในร่างของผู้บำเพ็ญเพียรชายสมบูรณ์ ปราณหยินในร่างผู้บำเพ็ญเพียรหญิงสมบูรณ์ รักษาปราณทั้งสองในร่างอย่างสมดุลให้ค่อยๆ เติมใหญ่ จึงจะสอดคล้องกับทางแห่งการบำเพ็ญเพียรคู่ของผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า มิเช่นนั้นตามการสูงขึ้นของตบะผู้บำเพ็ญเพียรดวงจิตอุดมสมบูรณ์ขึ้น ร่างกายกลับไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงการฝึกฝนหยุดชะงักไม่ก้าวหน้า เช่นนั้นต้องมีสักวันที่รับความแข็งแกร่งของดวงจิตไม่ไหวร่างเนื้อแตกสลาย

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรปกติ ปราณวิญญาณในฟ้าดินที่ดูดซับไปส่วนใหญ่แปลงเป็นพลังวิญญาณในร่างกายเพิ่มตบะให้สูงขึ้น ยังสามารถแบ่งส่วนน้อยใช้ในการหล่อเลี้ยงร่างกายอีก ชดเชยความเสียหายที่นำมาให้ร่างกายอันเกิดจากในร่างกายหยางสมบูรณ์หยินอ่อนแอหรือหยินสมบูรณ์หยางอ่อนแอ

 

 

ส่วนคู่ในการบำเพ็ญเพียรคู่กลับสามารถส่งผ่านหยินหยางให้กัน รักษาสมดุลหยินหยางในร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้ปราณวิญญาณในฟ้าดินที่พวกเขาดูดซับก็จะสามารถนำมาใช้ในการเพิ่มตบะได้ทั้งหมด นี่จึงเป็นสาเหตุที่คนที่บำเพ็ญเพียรคู่ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรเร็วว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป

 

 

การบำเพ็ญเพียรคู่เป็นวิธีให้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรหรือสำนักล้วนหวังจะให้เกิดขึ้น ทว่าการเอาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในนั้นทำเป็นหรูติ่ง เช่นนั้นก็คือการกระทำที่ชั่วช้าล้วนๆ แล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชายคนหนึ่งเห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเป็นหรูติ่ง เช่นนั้นเขาก็จะได้แต่เด็ดเก็บปราณหยินโดยไม่สนใจสิ่งใด ปราณหยางไม่เสียหายแม้ครึ่งส่วน ตบะย่อมเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นธรรมดา ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ถูกเด็ดเก็บ กลับเพราะไม่ได้ปราณหยาง ปราณหยินก็สูญเสียเกินขนาดอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่พูดถึงว่าตบะยากจะรุดหน้า นานวันเข้าร่างกายก็จะค่อยๆ ถูกคว้านจนโล่ง สุดท้ายก็คือน้ำมันแห้งตะเกียงมอด ดอกไม้โรยราหยกงามแตกหัก!

 

 

น่าสงสารพี่สิบสี่มีรากวิญญาณสามธาตุ รากฐานมั่นคง บัดนี้กลับอยู่เพียงระดับหลอมลมปราณขั้นเก้า นี่ก็ช่างเถอะ ร่างกายของนางในยามนี้กลับยากจะลากให้ผ่านปีนี้เสียแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าเย็นเป็นน้ำแข็ง ในใจยิ่งเกลียดคุณชายสี่สุภาพบุรุษจอมปลอมผู้นั้นขึ้นอีกสามส่วน

 

 

ต้องรู้ว่าคนตระกูลมั่ว นอกจากท่านอาสิบสี่ที่วันนั้นไม่ได้ปรากฏตัว มั่วเฟยเยียนที่ถูกเซียนเฮ่าเย่ว์พาไป ก็เหลือหู่โถวและมั่วหร่านอีที่ไม่รู้ถูกเคลื่อนย้ายไปไหนไม่รู้เป็นตาย

 

 

มั่วหนิงโหรวที่โชคดีรอดชีวิตจึงเป็นญาติเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ในยามนี้ของมั่วชิงเฉิน ทว่านางกลับถูกคุณชายสี่ทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้!

 

 

โบราณว่าไว้อยู่ภายใต้ชายคาคนอื่นไม่อาจไม่ก้มศีรษะ ได้ยินมั่วหนิงโหรวกลายมาเป็นอนุของคุณชายสี่ มั่วชิงเฉินแม้จะโมโห ทว่าอย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของตระกูลหวัง มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่าน อีกทั้งคุณชายสี่ก็เป็นบิดาของบุตรสาวพี่สิบสี่อีก หากเขามีใจทะนุถนอมมั่วหนิงโหรวสักนิด นางก็ไม่อยากสืบสาวราวเรื่องเกินไป

 

 

ที่มุ่งมั่นจะพบมั่วหนิงโหรวให้ได้ ก็เพื่ออยากฟังความเห็นของนาง หากนางไม่มีใจให้คุณชายสี่ ยินยอมพาบุตรสาวตามตนจากไป ตนจะพยายามทุกวิถีทางพาพวกนางแม่ลูกสองคนไปจากที่นี่ให้ได้ หากนางไม่ยอมให้บุตรสาวและบิดาต้องจากกัน กระทั่งมีใจให้คุณชายสี่ เช่นนั้นนางก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถทำให้พวกนางแม่ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่พูดถึงอย่างอื่น อย่างน้อยโอสถสร้างรากฐานตนสามารถแอบทิ้งไว้ให้มั่วหนิงโหรวสักหลายเม็ดได้

 

 

มั่วชิงเฉินเชื่อมาตลอดว่า ความช่วยเหลือจากภายนอกเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว มีเพียงเพิ่มพลังความสามารถของตนเอง ถึงจะเป็นหนทางปกป้องตนเองจากรากฐาน ลองคิดดูหากมั่วหนิงโหรวเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ตระกูลหวังต้องไม่ปฏิบัติกับนางเช่นนี้เป็นแน่

 

 

ทว่าบัดนี้ มั่วชิงเฉินเปลี่ยนใจแล้ว นางไม่ยอมปล่อยคุณชายสี่ให้ลอยนวลเช่นนี้แน่ ต่อให้เขามีเทียดระดับก่อแก่นปราณคอยหนุนหลังก็เถอะ!

 

 

เมื่อตัดสินใจแล้ว มั่วชิงเฉินกลับผ่อนคลายใจเย็นลง ด้านหนึ่งใช้พลังวิญญาณเวียนว่ายอยู่ในร่างมั่วหนิงโหรว ด้านหนึ่งคิดหาวิธีช่วยมั่วหนิงโหรว

 

 

มั่วหนิงโหรวถูกเด็ดเก็บเกินขนาดทำให้ร่างกายเสียหาย ส่วนยาลูกกลอนย้อนอายุที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณกินกลับมีไว้ปลอบประโลมพลังวิญญาณฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายใน เห็นชัดว่าใช้ไม่ได้

 

 

จากนั้นก็คิดถึงโอสถที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณกินได้อีกหลายชนิด ล้วนไม่เหมาะกับสถานการณ์นางในขณะนี้

 

 

มั่วชิงเฉินกลัดกลุ้มเล็กน้อย ขมวดคิ้วครุ่นคิด ทันใดนั้นข้างหน้าก็สว่างขึ้น เหตุใดนางจึงลืมได้ กำลังวังชามีมาแต่กำเนิด กลับต้องพึ่งวัตถุที่รับเข้าไปหลังจากนั้นชดเชยและฟูมฟักไม่ให้ขาด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการสภาพร่างกายของมั่วหนิงโหรวก็คือ…รักษาโดยอาหาร!

 

 

แน่นอนการรักษาโดยอาหารนี้ไม่ใช่การรักษาโดยอาหารของโลกฆราวาสหรอกนะ หากแต่เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบเป็นผลไม้ทิพย์ ธัญพืชวิญญาณที่อยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร

 

 

มั่วหนิงโหรวเดิมทีปราณหยางก็ไม่พออยู่แล้ว ปราณหยินยิ่งใกล้จะแห้งเหือด สิ่งที่เหมาะสมที่สุดในการบำรุงคือของที่มีความเป็นกลาง

 

 

มั่วชิงเฉินนึกถึงในสวนสมุนไพรพกพาของตน สิ่งที่เหมาะสมที่สุดก็คือหวงฝูหลิงและเม็ดบัวหิมะที่เกิดจากบัวหิมะพันปีแล้ว

 

 

เพียงแต่ของสองสิ่งนี้หากใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานสามารถค่อยๆ บำรุงร่างกาย กลับยากจะยื้อชีวิตของมั่วหนิงโหรวไว้ได้ เพราะว่านางเสียหายเกินขนาด ต้องการสิ่งที่ทั้งอ่อนโยนและมีฤทธิ์ทางวิญญาณที่แข็งแกร่งพอจะหยุดการร่วงโรยของร่างกาย

 

 

มั่วชิงเฉินจึงนึกถึงน้ำผึ้งวิญญาณที่นางได้มาใหม่ น้ำผึ้งดอกท้อที่ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตบ่มออกมาเป็นไปได้มากว่าจะมีฤทธิ์วิเศษเช่นนี้!

 

 

นึกถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินตัดสินใจรอมั่วหนิงโหรวฟื้นแล้วก็ให้นางลองเสียหน่อย หากได้ผลจริง ต้นท้อสุดที่รักของคุณชายสี่ในสวนปี้ซิ่วนางก็ไม่เกรงใจแล้ว

 

 

ในยามนี้เอง มั่วหนิงโหรวค่อยๆ ลืมตาขึ้น ขนตาสั่นเบาๆ มองมั่วชิงเฉินอย่างเหม่อลอยว่า “เจ้า เจ้าคือชิงเฉินจริงหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินรีบกุมมือนางไว้ว่า “พี่สิบสี่ ข้าคือชิงเฉินอย่างไรเล่า สิบหกมั่วชิงเฉิน!”

 

 

“ทว่าเจ้า ลักษณะของเจ้า…” อาจเพราะยิ่งเป็นเรื่องดีงามก็ยิ่งไม่กล้าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง มั่วหนิงโหรวยังคงลังเล กลัวว่าทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเรื่องมดเท็จ

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือออกมา ค่อยๆ ปัดผมข้างหน้าออก ใช้ที่หนีบผมดอกไห่ถังอันเล็กๆ หนีบไว้หลังหู โฉมหน้าก็เปิดเผยออกมา

 

 

มั่วหนิงโหรวดูจนตกตะลึง เนิ่นนานถึงสะอื้นพลางพูดออกมาประโยคหนึ่ง “น้องสิบหก เป็นเจ้าจริงๆ หนิงโหรวรู้อยู่แล้ว…รู้อยู่แล้วว่าเจ้าโตแล้วจะต้องหน้าตาเช่นนี้แน่ หึๆ เจ้ารู้ไหม ปีนั้นพี่แปดเคยแอบวาดรูปหนึ่ง ในภาพมีหญิงสาวงามเลิศเฉิดฉายนอนอยู่ใต้ต้นท้อมือถือขวดสุรา ท่าทางดื่มอย่างเต็มที่ หนิงโหรวบังเอิญเห็นเข้าถามเขาว่านี่คือผู้ใด เขาจึงบอกข้าว่า รอน้องสิบหกโตขึ้นต้องหน้าตาเช่นนี้เป็นแน่ เขายังบอกว่า รอถึงเวลาเฉินเฉียวเฉินเม่ยอะไรของตระกูลเฉินก็เทียบเจ้าไม่ติดแม้หนึ่งในหมื่น ใครมาสู่ขอเจ้า เขาจะอัดพวกเด็กหนุ่มคางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้าพวกนั้นกลับไปจนหมด…”

 

 

มั่วหนิงโหรวทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ พูดจาสะเปะสะปะไปเรื่อย มั่วชิงเฉินฟังแล้วกลับน้ำตาไหลออกมา

 

 

มั่วหนิงโหรวยื่นมือที่เ**่ยวแห้งเช็ดน้ำตาให้มั่วชิงเฉินอย่างอ่อนโยน ทำอะไรไม่ถูกว่า “น้องสิบหก เจ้าอย่าร้องไห้ ตั้งแต่เด็กเจ้าก็เข้มแข็งกว่าหนิงโหรว หนิงโหรวไม่เคยเห็นเจ้าน้ำตาตกมาก่อน…แค่กๆ” พูดถึงตรงนี้ก็ไอขึ้นมาอีก สีหน้ากลับปีติบริสุทธิ์ดั่งสาวน้อย

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นแล้วในใจยิ่งทุกข์ทนยิ่งขึ้น กลับไม่กล้าให้นางต้องเสียใจมากขึ้นอีก จึงล้วงขวดกระเบื้องขาวกะทัดรัดที่ใส่น้ำผึ้งวิญญาณออกมาว่า “พี่สิบสี่ ท่านอย่าเพิ่งพูดเลย ลองกินน้ำผึ้งวิญญาณนี่ก่อน”

 

 

มั่วหนิงโหรวรับขวดกระเบื้องขาวมา ยิ้มแผ่วเบาว่า “น้องสิบหก ข้าสบายดี” พูดพลางกลับกินน้ำผึ้งวิญญาณลงไปอย่างเชื่อฟัง

 

 

มั่วชิงเฉินไม่สนใจว่ามั่วหนิงโหรวจะพูดอะไร แตะปลายนิ้วลงบนข้อมือนางโดยตรงส่งพลังวิญญาณออกไปรับรู้อย่างตั้งใจ รู้สึกว่าหลังจากน้ำผึ้งวิญญาณถูกดูดซึมเข้าไปแล้วก็เริ่มหล่อเลี้ยงกำลังวังชาในกายตามคาด

 

 

ใจของมั่วชิงเฉินถึงนับว่าสงบลงมาบ้าง ถึงถามว่า “พี่สิบสี่ เล่าเรื่องที่ท่านประสบมาในหลายปีนี้ให้ชิงเฉินฟังหน่อยได้หรือไม่?”

 

 

มั่วหนิงโหรวรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเล็กน้อย สายตามองออกไปที่ผิวทะเลสาบที่คลื่นมรกตกระเพื่อมเป็นวงนอกหน้าต่าง ค่อยๆ เล่าขึ้นมา

 

 

เป็นดั่งที่มั่วชิงเฉินคาดไว้ ปีนั้นมั่วหนิงโหรวถูกพ่อแม่ปกป้องไว้ใต้ร่าง รักษาชีวิตไว้ได้ ยามที่คนชุดแดงคนนั้นกำลังเตรียมใช้จิตตระหนักค้นหาผู้รอดชีวิต ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรีบร้อนพาคนจากไป นางถึงโชคดีรอดพ้นเคราะห์กรรมมาได้

 

 

มั่วหนิงโหรวที่รอดมาได้ราวกับรู้เรื่องขึ้นมาในทันที นางไม่กล้าไปพึ่งพาอีกสองตระกูลในเมืองลั่วหยาง ในจิตใจอ่อนเยาว์ของนาง ตระกูลฮวาที่มาสู่ขอท่านอาสิบสามสามารถเปิดฉากฆ่าล้างตระกูลมั่วได้ สองตระกูลที่เหลือยังมีอะไรที่ทำไม่ได้อีกล่ะ?

 

 

ก็เป็นเช่นนี้ นางออกจากเมืองลั่วหยางอย่างระมัดระวัง ออกสู่โลกภายนอกอย่างเลื่อนลอยทำอะไรไม่ถูก

 

 

เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ใดๆ อยู่ข้างนอกเพียงลำพัง พบเจอเรื่องอะไรได้บ้างคิดดูก็รู้ ร่อนเร่อยู่ครึ่งปีนางก็พบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนนั้นบอกจะหาเด็กที่รากวิญญาณไม่เลวจำนวนหนึ่งพากลับสำนักเป็นศิษย์ มั่วหนิงโหรวหลงเชื่อ และแม่นางน้อยอีกมากมายข้ามมาทางทิศตะวันออกตามผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้น ไม่รู้วันเวลาผ่านไปนานเท่าไร ก็มาถึงที่นี่ หลังจากนั้นเนิ่นนานนางถึงรู้ว่าที่นี่เรียกว่าทะเลขนาบใจ เป็นสถานที่ที่ห่างจากดินแดนเทียนหยวนไกลนับหมื่นลี้

 

 

“น้องสิบหก หนิงโหรวไม่คิดว่ายังสามารถพบเจ้าที่นี่ได้ บัดนี้ต่อให้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว” มั่วหนิงโหรวจับมือของมั่วชิงเฉินไว้ น้ำตาใสหยดลงมา

 

 

อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คนหนึ่งสิบนิ้วเรียวยาวดุจต้นเทียน อีกคนหนึ่งกลับเ**่ยวแห้งดุจขาไก่ การเปรียบเทียบที่ชัดเจนเช่นนี้ทำให้มั่วชิงเฉินรู้สึกเสียใจ กลับกุมมือของมั่วหนิงโหรวไว้ว่า “พี่สิบสี่ ท่านจะไม่ตาย”

 

 

“ข้า…”

 

 

มั่วหนิงโหรวกำลังจะเปิดปาก ก็ถูกมั่วชิงเฉินพูดขัด “พี่สิบสี่ ข้าขอพูดอีกครั้ง มีชิงเฉินอยู่ จะไม่ปล่อยให้ท่านตาย อย่าลืมว่าท่านยังมีเยี่ยนเยี่ยน”

 

 

คำพูดมั่นใจหนักแน่นของมั่วชิงเฉินและความเข้มแข็งของความเป็นแม่ตามธรรมชาติของนิสัยหญิงสาวทำให้นัยน์ตาของมั่วหนิงโหรวมีประกายแสงแวบขึ้นมาสายหนึ่งทันที นางยิ้มแผ่วเบาว่า “น้องสิบหก เจ้ามักแข็งแกร่งกว่าข้า หนิงโหรวเชื่อเจ้า”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่อยากถามอีกแล้วว่ามั่วหนิงโหรวมาถึงตระกูลหวังแล้วเหตุใดจึงกลายเป็นอนุของคุณชายสี่ นั่นเป็นเพียงการเปิดบาดแผลของนางอีกครั้งเท่านั้น ที่นางอยากรู้คือบัดนี้มั่วหนิงโหรวคิดจะทำเช่นไรต่อไป

 

 

“พี่สิบสี่ บัดนี้ท่านคิดจะทำเช่นไรต่อไป ยินยอมไปจากตระกูลหวังพร้อมชิงเฉินหรือไม่?” มั่วชิงเฉินถามโดยตรง

 

 

นางจำเป็นต้องเข้าใจความคิดจากใจจริงของมั่วหนิงโหรว ไม่ว่ามั่วหนิงโหรวในสายตาคนอื่นจะมีชีวิตอนาถเพียงใด นางก็ไม่คิดจะเจ้ากี้เจ้าการวางแผนการทุกอย่างแทนมั่วหนิงโหรว

 

 

มั่วชิงเฉินคิดเสมอมา คนคนหนึ่งไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนคนอื่น ต่อให้ทำในนามว่าทำเพื่อคนคนนั้นก็ตาม

 

 

มั่วหนิงโหรวฟังคำพูดของมั่วชิงเฉินแล้ว สีหน้าเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ในที่สุดก็ขยับปากเอ่ยว่า “น้องสิบหก ข้าไม่อาจทำได้”