ตอนที่ 182 คนงามที่รอคอย

พันธกานต์ปราณอัคคี

ไม่อาจทำได้ มิใช่ไม่ยินยอม มั่วชิงเฉินจับความแตกต่างในนั้นได้อย่างเฉียบขาด ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามอีกครั้งว่า “พี่สิบสี่ เหตุใดจึงไม่อาจทำได้?”

 

 

มั่วหนิงโหรวไม่พูด ค่อยๆ หลุบหน้าลงไป เผยให้เห็นคอระหง ราวกับแตะเบาๆ ก็สามารถหักได้อย่างไรอย่างนั้น

 

 

“เป็นเพราะเยี่ยนเยี่ยนใช่หรือไม่? หรือว่าห่วงว่าข้าพาพวกท่านไปจะมีอันตราย?” มั่วชิงเฉินถามลองเชิงดู

 

 

มั่วหนิงโหรวกัดริมฝีปาก ไม่ออกเสียง

 

 

มั่วชิงเฉินกุมมือของมั่วหนิงโหรวไว้อีกครั้ง “พี่สิบสี่ บัดนี้ชิงเฉินอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง หลังจากเข้าพรรคเหยากวงได้ถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณรับไว้เป็นศิษย์ หากพาท่านและเยี่ยนเยี่ยนไปจากตระกูลหวัง อย่างไรก็มั่นใจว่าสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่มีปัญหา ดังนั้นด้านนี้ท่านไม่ต้องกังวล ส่วนเยี่ยนเยี่ยน ท่านไม่อยากให้นางต้องแยกจากบิดาบังเกิดเกล้าใช่หรือไม่?”

 

 

มั่วหนิงโหรวมองดูมั่วชิงเฉิน ในที่สุดก็เปิดปากเบาๆ ว่า “น้องสิบหก เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้แล้ว หนิงโหรวใช้ชีวิตในตระกูลหวังมายี่สิบกว่าปี ไม่คิดจะจากไปตั้งนานแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินจ้องใบหน้าที่หมองหม่นของมั่วหนิงโหรวเขม็ง มองลึกเข้าไปในดวงตานาง “ข้าไม่เชื่อ พี่สิบสี่ ท่านไม่เคยคิดว่าจะมีสักวันที่จะได้พบกันใหม่กับข้า กับพี่เก้า พี่สิบ ยังมีหู่โถวอีกจริงหรือ? ไม่เคยคิดว่าพวกเราจะ…กลับบ้านไปดูด้วยกันเช่นนั้นหรือ?”

 

 

พูดถึงตรงนี้ มั่วชิงเฉินพยายามกะพริบตา ไม่ให้น้ำตาตกลงมา

 

 

มั่วหนิงโหรวกลับทนไม่ไหวอีกแล้ว ปิดหน้าร้องไห้ขึ้นมา

 

 

สถานที่ที่คะนึงหานั้น นางจะไม่อยากกลับไปดูได้อย่างไร?

 

 

“น้องสิบหก เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เอาเป็นว่าข้าจะไม่ไปจากตระกูลหวัง” มั่วหนิงโหรวหยุดสะอื้น แล้วพูดอย่างแน่วแน่

 

 

มั่วชิงเฉินถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน “พี่สิบสี่ ก่อนที่ร่างกายท่านจะดีขึ้น ข้าจะอยู่ที่ตระกูลหวังตลอด ช่วงระยะนี้ท่านคิดดูดีๆ ค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย ท่านต้องพักผ่อนให้มาก ชิงเฉินกลับก่อนแล้ว รอพรุ่งนี้ค่อยมาดูท่านอีกที”

 

 

“น้องสิบหก เจ้า เจ้าไปจากตระกูลหวังเร็วหน่อยดีกว่า” เสียงอันเศร้าโศกของมั่วหนิงโหรวดังมาจากด้านหลัง

 

 

มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง หันหลังไปทันที จ้องมั่วหนิงโหรวว่า “พี่สิบสี่ บอกชิงเฉินได้ไหม ท่าน…มีใจต่อคุณชายสี่หรือไม่?”

 

 

มั่วหนิงโหรวก้มหน้าลงครึ่งหนึ่ง เนิ่นนานถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “อย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดาของเยี่ยนเยี่ยน…”

 

 

“ชิงเฉินเข้าใจแล้ว” มั่วชิงเฉินเอ่ยต่ำๆ ประโยคหนึ่งแล้วก็เดินออกไป

 

 

มั่วหนิงโหรวมองห้องที่วังเวงอย่างเหม่อลอย แล้วฟุบลงบนเตียงสะอื้นขึ้นมาอย่างไม่มีเสียง

 

 

“คุณหนู คุณหนู ท่านระวังหน่อยเจ้าค่ะ” สาวใช้ใส่ชุดแดงทับทิมคนหนึ่งตะโกน

 

 

“พี่ลี่ว์เอ้อ ดึงมาทางนี้ ดึงมาทางนี้ ว้าย บินขึ้นมาแล้ว!” เยี่ยนเยี่ยนยืนชิดสาวใช้ที่ใส่ชุดกระโปรงเขียว แหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วตบมือยิ้ม

 

 

ไห่อิงและไห่เอี้ยนสองพี่สองยืนอยู่ข้างๆ มองดูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

 

มั่วชิงเฉินเดินไปถึงข้างทะเลสาบ ภาพที่เห็นก็คือเช่นนี้

 

 

“แม่นางมั่ว” สาวใช้ฝาแฝดเห็นมั่วชิงเฉินก่อนคนอื่น จึงย่อตัวคำนับ

 

 

เยี่ยนเยี่ยนหันหน้ามา เห็นเป็นมั่วชิงเฉินจึงวิ่งมาอย่างร่าเริง ลากมือมั่วชิงเฉินว่า “ท่านน้า”

 

 

มั่วชิงเฉินเดาว่าหากคุณชายสี่คิดจะลงมือ น่าจะเลือกยามที่นางกำลังจะจากไป จึงไม่อยากลากเยี่ยนเยี่ยนเข้ามาพัวพันด้วย จึงว่า “เยี่ยนเยี่ยน น้ายังมีธุระต้องไปก่อนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเจ้าอีกดีหรือไม่?”

 

 

เยี่ยนเยี่ยนอาลัยอาวรณ์ว่า “ท่านน้า ท่านยังไม่ได้เล่นกับเยี่ยนเยี่ยนเลยนะเจ้าคะ เยี่ยนเยี่ยนอุตส่าห์ขอร้องให้พี่สาวทำว่าว” พูดพลางชี้ไปที่สาวใช้ที่ใส่ชุดสีทับทิม

 

 

“เช่นนี้หรือ เช่นนั้นพรุ่งนี้น้าเล่นว่าวเป็นเพื่อนเยี่ยนเยี่ยน น้าปล่อยว่าวได้สูงมากเลยนะ” มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองสาวใช้กระโปรงแดงปราดหนึ่ง

 

 

เยี่ยนเยี่ยนถึงปล่อยมั่วชิงเฉินอย่างอาลัยอาวรณ์

 

 

มั่วชิงเฉินส่งสายตาให้สาวใช้ฝาแฝด แล้วเดินออกไปนอกลานบ้าน

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินเดินไปไกล สาวใช้กระโปรงแดงยิ้มมองพวกคนที่ปล่อยว่าวอยู่ นิ้วมือยื่นเข้าไปในถุงหอมที่เอวแตะผงสีชมพูเล็กน้อย จากนั้นดีดเบาๆ ผงสีชมพูก็กระจายออกตามลม

 

 

ลึกเข้าไปในสวนปี้ซิ่วมีหอหอหนึ่ง คนสองคนกำลังลิ้มลองน้ำชาอยู่ที่โถงเล็กในหอ

 

 

“พี่สี่ แม่นางมั่วอยู่นานมากเลยนะ แหะๆ รอจนร้อนใจแล้วล่ะสิ?” คุณชายสิบเจ็ดยกจอกขึ้น ยิ้มอย่างสัปดนเล็กน้อย

 

 

คุณชายสี่สีหน้านิ่งเรียบ เหลือบมองคุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่ง กำลังจะพูดเครื่องประดับรูปหัวใจที่ห้อยอยู่ที่เอวก็ส่งกระแสความร้อนมาสายหนึ่ง

 

 

เครื่องประดับรูปหัวใจนั่นเหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยก เป็นประกายกลับไม่กระจ่างใส ดูไม่ออกว่าเป็นวัสดุอันใดกันแน่ คุณชายสี่ยื่นมือดึงออกมาวางไว้ข้างริมฝีปากเป่าเบาๆ ก็เปล่งเสียงอันไพเราะออกมา

 

 

“พี่สี่ ข้าก็บอกแล้วเหยื่ออะไรก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือท่าน แหะๆ วันนี้แม่นางมั่วมาสวนปี้ซิ่วเอง แล้วก็เดินไปถึงเรือนเถาหยวนเอง มีใครไม่รู้บ้างว่าปกติท่านล้วนพำนักที่เรือนเถาหยวน ทีนี้ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนอื่นก็ได้แต่นึกว่านางเสนอตัวถึงอ้อมกอดของท่านแล้ว” สีหน้าคุณชายสิบเจ็ดยังตื่นเต้นกว่าคุณชายสี่เสียอีก

 

 

คุณชายสี่เหลือบมองคุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่ง “เจ้าพูดมากจริง”

 

 

คุณชายสิบเจ็ดไม่แยแสว่า “แม่นางมั่วนึกว่าตนมาจากสำนักเลื่องชื่อ ท่านหัวหน้าตระกูลให้เกียรตินาง พวกเราก็ทำอะไรนางไม่ได้แล้ว แหะๆ รอนางมาถึงนี่สำเร็จเรื่องดีงามกับพี่สี่ ท่านหัวหน้าตระกูลต้องเห็นดีเห็นงามกับเรื่องบำเพ็ญเพียรคู่ของพวกท่านเป็นแน่ ต่อให้เป็นอาจารย์ในสำนักนางก็ได้แต่ยอมรับแล้ว”

 

 

หญิงสาวคนหนึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีไปที่พำนักของผู้ชาย หากเกิดอะไรขึ้นจริง คนอื่นมองเรื่องนี้เช่นไรคิดดูก็รู้ ที่คุณชายสี่วางแผนไว้ก็คือเรื่องนี้ กลับถลึงตาใส่คุณชายสิบเจ็ดปราดหนึ่งว่า “น้องสิบเจ็ด เจ้าควรไปแล้วใช่หรือไม่?”

 

 

คุณชายสิบเจ็ดหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ ใช่ น้องไม่รบกวนเรื่องดีของพี่สี่แล้ว พี่สี่ สาวใช้ฝาแฝดคู่นั้นยังไม่นับว่าเป็นสาวใช้อย่างเป็นทางการของหอว่างไห่ ท่านว่าน้องสามารถ…”

 

 

“อย่าพูดมาก ยังไม่รีบไปอีก” คุณชายสี่โบกแขนเสื้อ

 

 

คุณชายสิบเจ็ดที่รับทราบหัวเราะร่า แล้วก็ปีนหน้าต่างออกไปโดยตรง

 

 

อีกด้านหนึ่งมั่วชิงเฉินกำลังมุ่งหน้าเดินออกไป ทันใดนั้นฝีเท้าหยุดกึก จากนั้นเดินไปอีกทิศทางหนึ่งด้วยสองตาเหม่อลอย

 

 

“แม่นางมั่ว?” สาวใช้ฝาแฝดเรียกอย่างสงสัยเสียงหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินถึงลืมตาขึ้น รีบสั่งว่า “พวกเจ้ากลับหอว่างไห่ก่อน” พูดพลางเดินไปตามทิศทางนั้นต่อ

 

 

นางเดินได้ระยะหนึ่งทันใดนั้นพบว่านี่คือทิศทางที่ไปสู่ป่าท้อ ความคิดที่กระจ่างเข้าใจเรื่องนี้ขึ้นมาในพริบตา แอบว่าคุณชายสี่ช่างวางแผนได้อำมหิตนัก

 

 

เมื่อครู่หมอกควันสีชมพูบริเวณหัวใจนางจู่ๆ ก็กำเริบ มัวเมาสติสัมปชัญญะในพริบตา มีพลังมารที่มองไม่เห็นชนิดหนึ่งลวงนางให้เดินไปทางทิศทางนี้ ยังดีที่หมอกควันนั้นเมื่อกระจายไปถึงขอบข่ายหนึ่งก็ถูกเพลิงแก้วใจกระจ่างเผาจนหดเป็นก้อน ไม่กล้าขยับส่งเดชอีก

 

 

“อู๋เย่ว์ ช่วยอะไรข้าหน่อย ให้จิตตระหนักข้าสิงร่างหน่อย” มั่วชิงเฉินเรียกอีกาไฟออกมา

 

 

อีกาไฟรีบยื่นปีกสองข้างกอดอกไว้ทันที เอ่ยอย่างระแวงว่า “เจ้า เจ้าจะทำอะไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินจำใจ นี่ก็คือสาเหตุที่ผู้บำเพ็ญเพียรไม่ยอมเซ็นพันธสัญญาเสมอภาคกับอสูรวิญญาณ หากเป็นพันธสัญญานายบ่าว นางไม่จำเป็นต้องปรึกษาก็สามารถให้อสูรวิญญาณทำเรื่องอะไรก็ได้ ส่วนพันธสัญญาเสมอภาคกลับจำเป็นต้องขอความยินยอมจากมัน

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟันว่า “ขอร้อง ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก เพียงแต่อยากยืมตาของเจ้าดูว่าหมอกควันนั่นจะลวงข้าไปที่ใดกันแน่ ถึงที่นั่นแล้ว จิตตระหนักของข้าก็จะถอยออกมา”

 

 

“เอาเถอะ” อีกาไฟเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นยื่นปีกออกมาทำท่าว่า “สุราทิพย์สองขวด”

 

 

มั่วชิงเฉินรับปากเต็มคำ แยกจิตตระหนักสายหนึ่งออกมาเข้าไปในจิตอีกาไฟ จากนั้นเป็นฝ่ายกระตุ้นหมอกควันเอง อีกาไฟก็บินไปตามการชี้นำ

 

 

ในเรือนเถาหยวน คุณชายสี่ยกน้ำชาที่เย็นชืดหมดแล้ว มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นระยะ มีสีหน้าตื่นเต้นอันเกิดจากความร้อนรนอีกทั้งคาดหวัง

 

 

ทันใดนั้นรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณสายหนึ่ง คุณชายสี่ลุกขึ้นทันที กลับเห็นอีกาที่ดำจนเป็นเงาตัวหนึ่งบินเข้ามาทางหน้าต่างกับตา ‘ตึง’ เสียงหนึ่งร่อนลงบนโต๊ะน้ำชา ขาเตะจอกน้ำชาบินออกไปพอดี ทันใดนั้นน้ำชากระเซ็นไปทั่ว จอกน้ำชากลิ้งตกบนพื้นดังเคร้งๆ

 

 

คุณชายสี่ชี้อีกาไฟเหมือนเห็นผี ร้องเสียงสั่นว่า “เหตุใด เหตุใดถึงเป็นเจ้า?”

 

 

อีกาไฟที่ถอดจิตตระหนักของมั่วชิงเฉินทิ้งกลับมามีสติตั้งนานแล้ว มันที่มีความภูมิใจในตนเองสูงมากได้ยินคำพูดนี้ไม่พอใจขึ้นมาทันที “เป็นข้าแล้วเป็นอย่างไร ไม่ใช่เจ้าเชิญท่านย่ามาหรอกหรือ? หา เจ้าคิดจะทำอะไรหา?”

 

 

พูดพลางดูเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงใช้ปีกสองข้างกอดไว้ที่หน้าอกทันที

 

 

การกระทำนี้ทำให้คุณชายสี่โมโหจนเดือดปุดๆ ทันที สีหน้าดำกว่าขนอีกาเสียอีก

 

 

“ข้าจะเชือดเจ้า เจ้าเดรัจฉานขนแบน!” คุณชายสี่ที่กำลังโมโหไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ชักดาบวงพระจันทร์ออกมาฟันไปที่อีกาไฟ

 

 

อีกาไฟบิน ‘ฟิ้ว’ ออกจากหน้าต่าง พลางบินพลางร้องว่า “ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ฆ่าคนแล้ว!”

 

 

อีกาไฟและคุณชายสี่คนหนึ่งหนีคนหนึ่งไล่ ค่อยๆ บินออกจากสวนปี้ซิ่ว

 

 

คุณชายสี่ที่ความโมโหบดบังจิตใจไม่ทันได้สนใจพวกนี้ คิดเพียงแต่จะเชือดอีกาไฟระบายอารมณ์ เห็นมันจู่ๆ หยุดอยู่กลางอากาศ ดาบวงพระจันทร์ในมือบินออกไปทันที วาดเป็นจันทร์เสี้ยวออกมากลางอากาศ

 

 

ศาลาคลายร้อนหลังหนึ่งอยู่ไม่ห่างจากนอกสวนปี้ซิ่วนัก มั่วชิงเฉินส่งยันต์ส่งสารเชิญคุณชายหกและหลี่จื้อหย่วนมาที่นี่นานแล้ว ยามนี้ทั้งสามคนกำลังนั่งเล่นอยู่ในศาลาคลายร้อน

 

 

“ว้าย เจ้านาย เจ้าจะเห็นคนกำลังจะตายไม่ช่วยไม่ได้นะ!” ตาขาวคู่หนึ่งของอีกาไฟมองมั่วชิงเฉินที่ดื่มชาอย่างไม่รีบร้อนกรีดร้องว่า

 

 

หลี่จื้อหย่วนและคุณชายหกประสานสายตากันปราดหนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเห็นมั่วชิงเฉินลุกขึ้นโดยพลัน สะบัดมือโยนก้อนอิฐเป็นประกายทองแวววับก้อนหนึ่งออกไป ก้อนอิฐพร้อมด้วยพลังอันมหาศาลชนไปที่ดาบวงพระจันทร์ ยามที่กระทบกันเกิดเสียงเคร้งเสียงหนึ่ง ดาบวงพระจันทร์กลับสู่มือคุณชายสี่

 

 

คุณชายสี่เห็นมั่วชิงเฉินก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเรื่องแดงแล้ว นึกถึงว่าต่อจากนี้มั่วชิงเฉินระแวดระวังแล้วหรือไปจากตระกูลหวังทันที แผนที่เขาวางไว้ทั้งหมดจะต้องเสียเปล่าหมด จึงกัดฟันตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน

 

 

เรื่องมาถึงขั้นนี้ เล่นไม้แข็งให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้วกัน ขอเพียงข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก นางผู้หญิงตัวคนเดียวจะทำอะไรได้!

 

 

คุณชายสี่ที่ลุ่มหลงจนเสียสติกระทั่งเพิกเฉยต่อพวกหลี่จื้อหย่วนสองคนในศาลาคลายร้อน ในสายตามีเพียงมั่วชิงเฉินที่ยืนอยู่ตรงข้าม

 

 

“แม่นางมั่ว ข้าขอเตือนเจ้าให้ยอมข้าเสียดีกว่า มิเช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าทำลายบุปผาอย่างอำมหิตแล้วกัน” คุณชายสี่เอ่ยด้วยเสียงอันมืดมน

 

 

หลี่จื้อหย่วนและคุณชายหกกำลังจะยืนขึ้นมาเข้าไปช่วย ก็ได้ยินมั่วชิงเฉินส่งเสียงทางจิตว่า “พวกเจ้าไม่ต้องขยับ”

 

 

จากนั้นนางเงยคางขึ้น มองคุณชายสี่ด้วยหางตาว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ลองเข้ามาดู วันนี้ไม่อัดเจ้าจนฟันร่วงเต็มพื้น ข้าก็ไม่ชื่อมั่วชิงเฉิน!”

 

 

คุณชายสี่ที่ถูกท้าทายอีกครั้งไฟในทรวงพลุ่งพล่าน โบกสะบัดดาบวงพระจันทร์ปะทะกับมั่วชิงเฉินขึ้นมา

 

 

“คุณชายหก คุณชายสี่พลังความสามารถเป็นเช่นไร แม่นางมั่วรับมือเขาได้หรือไม่?” หลี่จื้อหย่วนตาไม่ออกห่างจากการสู้ ถามอย่างร้อนรนเล็กน้อย

 

 

คุณชายหกลังเลว่า “ข้าก็พูดไม่ถูก หวังสี่เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางมาหลายปี พลังความสามารถนับว่าเป็นที่หนึ่งที่สองของรุ่นในตระกูลหวังเรา ส่วนแม่นางมั่วก็ไม่ใช่คนทำสิ่งใดโดยไร้จุดหมาย”

 

 

ทั้งสองคนกำลังพูดกันอยู่ทันใดนั้นก็ได้ยินมั่วชิงเฉินตะโกนเบาๆ เสียงหนึ่ง หลี่จื้อหย่วนพูดว่า “ดูเร็ว!”