ตอนที่ 183 สถานการณ์อันโกลาหล

พันธกานต์ปราณอัคคี

คุณชายหกมองไป เห็นเพียงมั่วชิงเฉินสองมือสิบนิ้วกางออกกว้าง ปล่อยเถาวัลย์ขนาดเท่านิ้วมือนับถ้วนออกจากหว่างนิ้ว เถาวัลย์เหล่านี้บินไปทางคุณชายสี่ด้วยความเร็วยิ่ง บิดขยับพันเกี่ยวกันอยู่กลางอากาศพริบตาเดียวก็ทอเป็นแหใหญ่ปากหนึ่ง คุณชายสี่รีบถอยหลังไปกลับหลบไม่พ้น ถูกแหใหญ่คลุมอยู่ข้างใน

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มเยาะเสียงหนึ่งสะบัดข้อมือ แหใหญ่ห่อคุณชายสี่ไว้แล้วลอยขึ้นฟ้า

 

 

เพิกเฉยต่อการดิ้นรนของคุณชายสี่ มั่วชิงเฉินมือออกแรงยกแหใหญ่ขึ้นมาจากนั้นโยนลงพื้นไป แล้วก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง คุณชายสี่เอาหน้าลงพื้น ปากกระแทกกับก้อนหินเล็กก้อนหนึ่งเข้าพอดี ฟันหน้าบินออกไปสองซี่

 

 

มั่วชิงเฉินสะบัดข้อมือ โยนเถาวัลย์ในมือไปบนง่ามไม้บนต้นไม้ใหญ่ข้างๆ ต้นหนึ่ง คุณชายสี่ถูกห่ออยู่ในแหใหญ่ แกว่งไปไกวมาตามแห คนกลับไม่ออกเสียงสักแอะแล้ว

 

 

หลี่จื้อหย่วนและคุณชายหกตกตะลึงยกใหญ่ พวกเขาเดาได้ว่ามั่วชิงเฉินที่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากทั้งสองคนน่าจะมั่นใจในการรับมือคุณชายสี่อยู่หลายส่วน กลับไม่คิดว่าในเวลาสั้นเพียงนี้การต่อสู้ก็จบเสียแล้ว คุณชายสี่ยังแพ้อย่างอนาถเช่นนี้อีก

 

 

สองคนรีบรุดไป

 

 

คุณชายหกมองดูคุณชายสี่ที่ไม่ขยับเขยื้อน ตกใจจนเหงื่อเย็นโทรมกาย เอ่ยด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า “แม่นางมั่ว หวังสี่เขาคงไม่…”

 

 

เขาไม่ได้เป็นห่วงความเป็นตายของหวังสี่หรอกนะ หากแต่หวังสี่เกิดถูกมั่วชิงเฉินตีตายขึ้นมาจริงๆ แล้ว อย่าพูดถึงท่านเทียดที่ลำเอียงรักเขาเสมอมาท่านนั้น ต่อให้เป็นท่านหัวหน้าตระกูลก็ไม่อาจละเว้นมั่วชิงเฉินง่ายๆ แล้ว

 

 

อย่างไรเสียงนี่ก็อยู่ในตระกูลหวัง ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากต่างถิ่นคนหนึ่งฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานในตระกูล ท่านหัวหน้าตระกูลหากเพิกเฉยไม่สนใจ จะไม่อาจปลอมประโลมคนในตระกูลได้

 

 

พูดจากอีกแง่หนึ่ง การกระทำครั้งนี้ของมั่วชิงเฉินก็เป็นการตบหน้าท่านหัวหน้าตระกูลอย่างแรง ต่อให้นางมีภูมิหลังเช่นไร ท่านหัวหน้าตระกูลก็ไม่ละเว้นง่ายๆ ศักดิ์ศรีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจะปล่อยให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ มาท้าทายได้เช่นไร!

 

 

“เจ้าวางใจ เขาไม่ตายหรอก” มั่วชิงเฉินสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ส่ายศีรษะว่า

 

 

คุณชายหกโล่งใจอย่างชัดเจน ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นก็พูดง่ายแล้ว

 

 

ที่หลี่จื้อหย่วนถามกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง “แม่นางมั่ว เมื่อครู่แหใหญ่ที่เจ้าใช้ใช่อาวุธเวทหรือไม่ ช่างร้ายกาจจริงๆ เลย เพียงแต่ไม่ว่าข้าจะดูอย่างไรก็ดูระดับชั้นของมันไม่ออก?”

 

 

เห็นท่าทางดีอกดีใจของหลี่จื้อหย่วน บนหน้าของมั่วชิงเฉินถึงปรากฏความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย “นั่นมิใช่อาวุธเวท หากแต่เป็นคาถา”

 

 

หลี่จื้อหย่วนเบิกตาสีดำบริสุทธิ์โพล่งทันที “คาถา? ระดับสร้างรากฐานไม่คิดเลยว่าจะมีคาถาที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ข้าว่าไม่ด้อยกว่าอาวุธเวทระดับสูงแม้แต่น้อยนะ!”

 

 

มั่วชิงเฉินเหล่คุณชายสี่ที่หมดสติอยู่ในแหใหญ่ปราดหนึ่ง ทันใดนั้นในใจรู้สึกสะใจมาก จึงยิ้มนิ่งเรียบต่อหลี่จื้อหย่วนว่า “ข้าบำเพ็ญวิชายุทธ์ธาตุไม้เป็นหลัก มีคาถาติดมาด้วย”

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูแล้ววิชายุทธ์ที่แม่นางมั่วบำเพ็ญเป็นหลักต้องไม่ใช่ของธรรมดาเป็นแน่” หลี่จื้อหย่วนชื่นชมจากใจ

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม กระบวนท่าที่รับมือคุณชายสี่เมื่อครู่เรียกว่าแหฟ้าตาข่ายดิน เป็นคาถาหนึ่งที่ติดมากับเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่จริงๆ ในเจ็ดปีนั้นที่นางฝึกฝนร่างกายสร้างรากฐานให้มั่นคงอยู่ที่เขาชิงมู่ เพราะต้องชะลอความเร็วในการบำเพ็ญเพียร จึงใช้เวลาที่ว่างอยู่ทั้งหมดไปกับการศึกษาด้านคาถา

 

 

กระบวนท่าแหฟ้าตาข่ายดินนี้ แต่เดิมมาจากการแปลงพลังวิญญาณ พลานุภาพแม้ไม่น้อยทว่าพลังวิญญาณที่ต้องสูญเสียกลับมากนัก ต่อให้กักคนไว้ได้ก็ไม่อาจรักษาไว้ได้นานนัก

 

 

มั่วชิงเฉินใช้เถาวัลย์แทน ยามเดียวกันเถาวัลย์ที่ทอเป็นแหฟ้าตาข่ายดินมีสองชนิด ชนิดหนึ่งคือเถาวัลย์สีเหลืองอ่อนที่ความเหนียวสุดยอด ไม่กลัวไฟเผาดาบฟัน อีกชนิดหนึ่งคือเถาวัลย์สีเขียวที่สามารถพันธนาการพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรได้

 

 

เถาวัลย์สองชนิดบวกกับพลังวิญญาณของตนแปลงเป็นแหฟ้าตาข่ายดิน พลานุภาพย่อมสูงขึ้นไม่เพียงแค่ระดับเดียว ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่กักศัตรูไว้แล้ว ต่อให้สลายพลังวิญญาณของตนไป ตาข่ายที่ทอจากเถาวัลย์ยังอยู่ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ถูกพลังวิญญาณพันธนาการไว้ดิ้นไม่หลุดโดยสิ้นเชิง จึงได้แต่อยู่ในตาข่ายอย่างว่าง่ายเหมือนสัตว์ที่ถูกมัดไว้

 

 

ในยามนี้เอง จู่ๆ ก็เห็นเยี่ยนเยี่ยนวิ่งออกมาจากสวนปี้ซิ่วด้วยน้ำตานองหน้า มองไปทั่วอย่างทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินจึงถลาเข้ามาเหมือนเห็นคนช่วยชีวิต

 

 

มั่วชิงเฉินใจตกไปอยู่ตาตุ่ม ใช้เคลื่อนเงาเลือนรางเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงข้างกายเยี่ยนเยี่ยน “เยี่ยนเยี่ยน เป็นอันใด?”

 

 

เยี่ยนเยี่ยนพักหายใจอึดหนึ่ง “ท่านน้า เยี่ยนเยี่ยนเห็น เห็นท่านอาสิบเจ็ดจับพี่ไห่เอี้ยน จากนั้นพี่ไห่อิงก็กระโดดลงไปในทะเลสาบ!”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสามคนฟังแล้วหน้าถอดสี ก้าวขึ้นอาวุธเวทรีบรุดไปสวนปี้ซิ่ว

 

 

ในสวนปี้ซิ่วมีทะเลสาบสองแห่ง อันเล็กอยู่ลานบ้านด้านหลัง อันใหญ่อยู่ห่างจากทางเข้าไม่ไกลนัก มั่วชิงเฉินส่งจิตตระหนักออกไปพบว่าใกล้ๆ นี้มีพลังวิญญาณเคลื่อนไหวอยู่สายหนึ่ง จึงรีบรุดไปทางนั้น

 

 

เมื่อสามคนไปถึงที่นั่น ก็เห็นหลังภูเขาจำลองข้างทะเลสาบ คุณชายสิบเจ็ดทับอยู่บนร่างหญิงสาวนางหนึ่ง หญิงสาวคนนั้นไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาที่เบิกกว้างเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

 

 

ในทะเลสาบ มีหญิงสาวคนหนึ่งลอยตุ๊บป่องอยู่เช่นกัน

 

 

มั่วชิงเฉินบังคับกระบี่บินร่อนลงบนผิวทะเลสาบ ดึงหญิงสาวขึ้นมา ส่วนยามนี้ คุณชายสิบเจ็ดถูกหลี่จื้อหย่วนเตะกระเด็นไป เสื้อคลุมตัวหลวมของบัณฑิตตัวหนึ่งคลุมอยู่บนร่างหญิงสาว

 

 

มั่วชิงเฉินวางไห่อิงไว้บนพื้น ใช้มือกดส่วนหน้าอกรีบปฐมพยาบาล ขณะเดียวกันก็ยัดยาลูกกลอนย้อนอายุเข้าปากนาง ใช้พลังวิญญาณของตนนำทางโอสถให้กระจายออกในร่างกาย

 

 

เพียงครู่เดียว ไห่อิง ‘อ๊อก’ เสียงหนึ่งอาเจียนของดำปิ๊ดปี๋กองหนึ่งออกมา ลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่งทันที เห็นไห่เอี้ยนที่นอนอยู่บนพื้นจึงถลาเข้าไปทันที ร้องไห้ตะโกนว่า “ไห่เอี้ยน ไห่เอี้ยน…”

 

 

ไห่เอี้ยนเบิกตาโพลงไม่ขยับเขยื้อน ก็เหมือนตุ๊กตาไม้ที่สูญเสียชีวิตชีวา

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปที่คุณชายหลี่

 

 

คุณชายหลี่ส่ายหน้าว่า “คนไม่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่…”

 

 

กวาดเศษเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกระจัดกระจายตามพื้นปราดหนึ่ง มั่วชิงเฉินหน้าดุจน้ำแข็ง มองไปที่คุณชายสิบเจ็ดอย่างเย็นเฉียบ

 

 

คุณชายสิบเจ็ดที่ถูกเตะไปทีหนึ่งในสถานการณ์เช่นนั้นตกใจเกินขนาด เหลอหลาอยู่ครึ่งค่อนวันถึงรู้จักใส่เสื้อผ้า คลานขึ้นมาอย่างทุลักทุเลก็จะวิ่งไปข้างนอก

 

 

“เจ้าสารเลว หยุดเดี๋ยวนี้!” มั่วชิงเฉินดึงก้อนอิฐออกมากำลังจะโยนออกไป กลับถูกหลี่จื้อหย่วนรั้งไว้ว่า “แม่นางมั่ว ข้าเอง!”

 

 

เห็นเพียงหลี่จื้อหย่วนอัญเชิญพู่กันยักษ์ขนหมาป่า วาดคำว่า ‘กัก’ กลางอากาศ จากนั้นตะโกนว่า “ไป!”

 

 

อักษร ‘กัก’ ที่ประกายแสงวิญญาณแวววับนั่นก็เหมือนมีตาก็ไม่ปานไล่ตามคุณชายสิบเจ็ดไป ไปถึงหน้าเขาจู่ๆ ก็ปล่อยแสงสีเรืองรอง อักษร ‘กัก’ ที่ใหญ่ขึ้นไม่รู้กี่เท่าก็คลุมคุณชายสิบเจ็ดที่ลนลานทำอะไรไม่ถูกไว้ข้างในเหมือนกรงขัง

 

 

จากนั้นหลี่จื้อหย่วนตวัดเสื้อคลุมขึ้น วิ่งเข้าไปในสองสามก้าว ยกหมัดขึ้นซัดใส่หน้าคุณชายสิบเจ็ดขึ้นมา

 

 

“คุณชายหก เจ้ายังมัวบื้อทำอะไร!” หลี่จื้อหย่วนตะโกน

 

 

คุณชายหกได้สติกลับมาจากเรื่องที่ไม่คาดคิดอย่างต่อเนื่องนี้ ไม่คิดมากก็เข้าไปสมทบ เข้าร่วมแถวการอัดคุณชายสิบเจ็ด

 

 

“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงอันมีพลานุภาพลอยมา จากนั้นตามมาด้วยแรงกดดันอย่างรุนแรง

 

 

พวกมั่วชิงเฉินหยุดชะงัก แม้แต่ไห่อิงที่กอดไห่เอี้ยนร้องไห้ระงมก็หยุดร้อง

 

 

คนที่มาลักษณะวัยกลางคน หน้าตาหล่อเหลา เพียงแต่ตาเหยี่ยวคู่หนึ่งเพิ่มความเฉียบขาดให้บุคลิกของคนคนนั้นขึ้นหลายส่วน

 

 

“ท่าน…ท่านผู้เฒ่าสาม!” คุณชายหกสีหน้าซีดเซียวทันที

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าท่านผู้เฒ่าสามกวาดมองคุณชายหกปราดหนึ่ง ฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง จากนั้นตาคมเหมือนดาบมองปาดไปที่มั่วชิงเฉิน “ใครเป็นคนทำหวังสี่บาดเจ็บ?”

 

 

“ข้าเอง” มั่วชิงเฉินพูดอย่างใจเย็น

 

 

“คือเจ้า!” ผู้เฒ่าสามปล่อยพลังออกมา พลานุภาพที่แข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกดมาที่มั่วชิงเฉินอย่างไม่ไว้ไมตรี

 

 

มั่วชิงเฉินยืดหลังตรง ฟันหน้ากัดจนริมฝีปากล่างเลือดออก ต้านไว้สุดชีวิต

 

 

“ดี ดี ดี เป็นเด็กสาวที่ใจกล้ามาก มิน่ากล้ามาโอหังในตระกูลหวังข้า!” ผู้เฒ่าสามพูด ‘ดี’ ติดๆ กันหลายคำ ทันใดนั้นในมือปรากฏสมบัติวิเศษลักษณะเหมือนเปลือกหอยอันหนึ่งออกมา

 

 

ผู้เฒ่าสามจีบเคล็ดวิชานิ้ว เปลือกหอยอ้าออกในพริบตา ไข่มุกสุกใสบินออกมาหลายเม็ด จู่โจมมาที่มั่วชิงเฉิน

 

 

“แม่นางมั่ว รีบหลบเร็ว!” คุณชายหกตะโกนเสียงหลง

 

 

มั่วชิงเฉินอัญเชิญชามใหญ่ขวางไว้ข้างหน้า ขณะเดียวกันร่างกายก็ถอยไปข้างหลัง

 

 

พู่กันยักษ์ของหลี่จื้อหย่วนเขียน ‘ต้าน’ ออกมาคำหนึ่ง ขวางไว้หน้าชามใหญ่

 

 

แล้วก็เห็นอักษร ‘ต้าน’ คำนั้นสลายหายไปในพริบตา ตามด้วยชามใหญ่ดัง ‘ปุกๆ’ หลายเสียง ไม่คิดเลยว่าจะถูกไข่มุกยิงทะลุเป็นรูหลายรู!

 

 

มั่วชิงเฉินที่ใช้พลังวิญญาณควบคุมชามใหญ่กระอักเลือดออกมาทันที ต้องแข็งใจประคองไว้ถึงไม่ได้ล้มลง หลี่จื้อหย่วนดีกว่าเล็กน้อย สีหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษเช่นกัน

 

 

เป็นครั้งแรกที่มั่วชิงเฉินประมือกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ถึงรับรู้ได้ถึงความสยองของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณอย่างลึกซึ้ง อย่าว่าแต่ตนที่อยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลาง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ก็ไม่มีกำลังต้านทานโดยสิ้นเชิงเช่นกัน

 

 

ผู้เฒ่าสามยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง แตะด้วยปลายนิ้วเปลือกหอยในมือก็หมุนอย่างเร่งรีบขึ้นมา ในยามนี้เองได้ยินเสียงตะโกนเสียงหนึ่ง “ท่านผู้เฒ่าสาม รีบหยุดมือ!”

 

 

เงาร่างสองสายเร่งมาพร้อมกัน ขัดขวางการโจมตีของผู้เฒ่าสาม

 

 

มั่วชิงเฉินแอบโล่งใจ ที่นางรอก็คือเวลานี้นี่แหละ ขอเพียงหัวหน้าตระกูลหวังมาแล้ว ก็จัดการง่ายแล้ว

 

 

“ท่านผู้เฒ่าสาม เหตุใดท่านถึงสู้กับเด็กขึ้นมาแล้วล่ะ?” หัวหน้าตระกูลหวังขมวดคิ้วถาม

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรวัยกลางคนอีกคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนบัณฑิต โบกพัดยิ้มให้ผู้เฒ่าสาม “ท่านผู้เฒ่าสามน่าเกรงขามยิ่งนัก” พูดจบก็เดินไปถึงหน้าหลี่จื้อหย่วนในไม่กี่ก้าว ไถ่ถามลูกศิษย์ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปที่หลี่จื้อหย่วน หลี่จื้อหย่วนยิ้มพลางขยิบตา นางเข้าใจทันทีว่าเหตุใดหลี่จื้อหย่วนถึงเข้าร่วมวงสู้กันอย่างแทบทนไม่ไหวแล้ว ในใจอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

“ท่านหัวหน้าตระกูล นางหนูคนนี้ตีหวังสี่จนสลบไม่ฟื้น หรือว่าจะปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจในตระกูลหวังของเราหรืออย่างไร?” ผู้เฒ่าสามหรี่ตาเหยี่ยว ดูแล้วน่าตกใจอยู่บ้าง

 

 

“สลบไม่ฟื้น? แม่นางมั่ว บอกหน่อยได้หรือไม่ว่านี่เกิดอะไรกันขึ้น?” หัวหน้าตระกูลหวังมองมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินเล่าเรื่องราวคร่าวๆ รอบหนึ่ง เมื่อนางเล่าถึงนางถูกพลังเร้นลับลากมาถึงป่าดอกท้อนั้น หัวหน้าตระกูลหวังหน้าถอดสี ไม่รู้ส่งเสียงทางจิตอะไรกับผู้เฒ่าสาม ผ่านไปชั่วครู่ถึงว่า “ต่อให้เป็นเช่นนี้ แม่นางมั่วเจ้าก็ไม่ควรลงมือหนักเช่นนี้”

 

 

มั่วชิงเฉินยักคิ้ว “ความหมายของท่านหัวหน้าตระกูลหวังคือ คุณชายสี่ทำเช่นนี้ต่อข้าไม่เป็นไร ข้าอัดฟันหน้าเขาร่วงสองซี่ก็ควรได้รับการลงโทษแล้ว?”

 

 

“แม่นางมั่ว ท่านผู้เฒ่าสามตรวจสอบสภาพของหวังสี่แล้ว บัดนี้เขาสลบไม่ฟื้น ใช้พลังวิญญาณแตะจิตก็ไม่อาจฟื้นมาได้!” หัวหน้าตระกูลหวังเอ่ย

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า “เป็นไปได้อย่างไร!”

 

 

เคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือสามารถควบคุมพลังวิญญาณอย่างละเอียดลออ เมื่อครู่นางสั่งสอนคุณชายสี่ย่อมรู้หนักเบา เพียงแต่ถอนฟันหน้าเขาสองซี่ให้เขาอับอายขายหน้าเท่านั้น

 

 

“เจ้าตามข้ามา!” ผู้เฒ่าสามจับข้อมือของมั่วชิงเฉินอย่างไม่เกรงใจมาถึงศาลาคลายร้อนนอกสวนปี้ซิ่วดั่งลมพัด คุณชายสี่ถูกเขาช่วยลงมาวางไว้ตรงนี้แล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูผู้คนที่รุดมาปราดหนึ่ง เดินไปถึงข้างกายคุณชายสี่แตะข้อมือตรวจดู เนิ่นนานถึงเอ่ยอย่างสงสัยว่า “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”