รอจนอวี้หย่วนกับอวี้เหวินที่รอส่งคนของสกุลเซียงตามมาถึง เผยเยี่ยนก็กลับไปแล้ว อวี้ป๋อกำลังชักชวนพวกนายท่านอู๋ เหล่าคหบดีและพวกเถ้าแก่ไปดื่มฉลองวันเปิดร้านที่หอสุรา พอเห็นอวี้เหวินกับอวี้หย่วนในสายตา อวี้ป๋อพลันหุบยิ้มไม่อยู่แล้วลากน้องชายที่กำลังจะเข้าไปทักทายนายท่านอู๋ออกมาอีกทาง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “อาถังของเจ้ายอดเยี่ยมเป็นที่สุด วันนี้ที่นายท่ามสามมาร่วมงาน หากไม่ได้นางคงต้องเกิดเรื่องแน่ๆ”

พอได้ฟังก็คล้ายว่าอวี้ถังสร้างคุณงามความดีบางอย่างเอาไว้

อวี้เหวินหัวเราะขึ้นมาทันที ถามด้วยความสนใจว่า “ท่านเล่ามาเร็วเข้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง?”

อวี้ป๋อเล่าเรื่องที่อวี้ถังเป็นคนดูแลรับรองเผยเยี่ยน เรื่องที่นางสั่งอาหารมังสวิรัติหนึ่งโต๊ะไปส่งที่จวนสกุลเผยอย่างใส่ใจให้อวี้เหวินฟัง สุดท้ายยังเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เหตุใดตอนนั้นข้าจึงคิดไม่ถึงนะ สิ่งที่อวี้ถังส่งไปนั้นยังเป็นอาหารมังสวิรัติจากวัดเจาหมิงอีกต่างหาก!”

จากวัดเจาหมิงถึงเมืองหลินอันต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวันได้ หากเป็นคนทั่วๆ ไปพวกเขาคงไม่ยอมมาส่งแน่ แต่ครั้งนี้ได้รับใบสั่งอาหารจากสกุลอวี้ และเพราะสกุลอวี้ต้องการส่งอาหารมังสวิรัติให้สกุลเผย เรื่องต้อนรับขับสู้ที่ครึกโครมเช่นนี้ ไม่ต้องรอถึงวันรุ่งขึ้น ทุกคนก็จะรู้กันทั่วแล้วว่า เผยเยี่ยนมาแสดงความยินดีกับการเปิดร้านใหม่ของสกุลอวี้ด้วยตนเอง เพื่อที่จะขอบคุณเผยเยี่ยน สกุลอวี้ถึงกับสั่งอาหารมังสวิรัติไปส่งให้จวนสกุลเผยเป็นพิเศษ

อวี้เหวินสีหน้าแช่มชื่น รู้สึกเสียดายที่บุตรสาวของตนเองเป็นสตรี ไม่เช่นนั้นต้องมีอนาคตไกลกว่าอวี้หย่วนเป็นแน่ แต่ความคิดนี้เขาพูดออกไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเหมือนจะบอกว่าพี่ชายของเขาไม่ได้สั่งสอนบุตรชายให้ดี เขาจึงได้แต่ลำพองใจเงียบๆ ปากก็เอ่ยถ่อมตัวว่า “หามิได้ หามิได้ ล้วนเป็นท่านพี่กับอาหย่วนที่สั่งสอนนาง ไม่อย่างนั้นแม่นางน้อยเช่นนาง ใครจะเชื่อคำนางกันเล่า!”

อวี้ป๋อกลับไม่ได้คิดมากเพียงนั้น เมื่อน้องชายถ่อมตัว เขาก็ต้องกล่าววาจาเกรงใจหลายประโยค สองพี่น้องต่างผลัดคำนับให้กันสลับกันคุยโว พอเห็นว่าแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีเดินตามซย่าผิงกุ้ยไปที่หอสุราหมดแล้ว ถึงได้พักบทสนทนาไว้เท่านั้น ก่อนพากันไปต้อนรับแขกต่อ

อวี้หย่วนนั้นเดินตามหลังบิดากับท่านอาอยู่เงียบๆ นึกถึงคำที่คนสกุลเซียงทิ้งเอาไว้

วันแต่งงานของเขากับแม่นางเซียงถูกกำหนดไว้แล้ว ฟังจากที่สกุลเซียงพูด บัดนี้คนฟู่หยางต่างลือกันว่านายหญิงเซียงข่มเหงลูกเลี้ยง นายหญิงเซียงจึงบันดาลโทสะ แต่ท่านแม่เฒ่าเซียงทางนั้น คิดว่างานแต่งจะต้องจัดให้ใหญ่โต ให้ทุกคนเห็นว่าสกุลเซียงให้ความสำคัญกับแม่นางเซียงผู้นี้ สกุลอวี้เป็นเพียงสกุลเล็กๆ พวกเนื้อเป็ดไก่ปลาต่างๆ ที่งานแต่งต้องใช้ ล้วนมีพวกเขาสกุลเซียงเป็นคนรับผิดชอบ สกุลอวี้แค่อยู่เฉยๆ รอถึงวันแต่งงานก็พอ

ตอนที่คุยกันเรื่องนี้คนสกุลหวังไม่อยู่ด้วย อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินก็ตัดสินใจลำบาก อวี้หย่วนเป็นเด็กรุ่นหลัง ไม่กล้าสอดปากพูดเรื่อยเปื่อย ทุกคนจึงส่งคนสกุลเซียงกลับไปอย่างคลุมเครือ แต่คนสกุลเซียงก็พูดความต้องการไว้ชัดเจนแล้ว รอให้วุ่นวายเรื่องร้านค้าจบก่อน พอกลับถึงเรือน บิดากับท่านอาคงต้องหารือว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้

เกี่ยวกับแม่นางเซียงนั้น เขารู้สึกเห็นใจนางมาก

เกิดมาในครอบครัวเช่นนั้น ไม่ยินยอมแต่ก็ไม่อาจขัด ดังนั้นแม้ความต้องการที่สกุลเซียงยกมาพูดจะดูหมิ่นคน แต่อวี้หย่วนก็ไม่อยากทำให้แม่นางเซียงต้องลำบากใจ

เขามีความกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับสกุลของฝ่ายหญิง กลัวว่าต่อไปจะมีเรื่องให้ผิดใจกันอีก

ทว่า เขาไม่คิดจะทำตามความต้องการของสกุลเซียงทั้งหมด เพื่อไม่ให้สกุลเซียงคิดว่าสกุลอวี้สามารถรังแกได้ง่ายๆ มีเรื่องใดก็ขอให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ แต่มีวิธีไหนบ้างที่จะไม่ทำให้แม่นางเซียงต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากทั้งสามารถรักษาหน้าตาของสกุลอวี้ไว้ได้ด้วย อวี้หย่วนยังคิดแผนรับมือที่จะได้ประโยชน์ทั้งสองทางไม่ออกเลย

เมื่อครู่ได้ยินคำของบิดา เขาพลันอยากไปหาอวี้ถังเพื่อขอความเห็นดูสักหน่อย

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อวี้ถังก็เป็นเด็กสาวที่ดี เด็กสาวที่ดีมักเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการภายในเรือน ขนาดนายท่านสามนางยังรับมือได้ ย่อมสะสางเรื่องของสกุลเซียงได้เช่นกัน

อวี้หย่วนคิดได้ดังนั้น พลันมีกำลังใจฮึดสู้ทันที

กระทั่งงานเลี้ยงที่หอสุราเลิกราแล้ว เขาจึงไปจ่ายเงินค่าอาหาร จากนั้นก็หาข้ออ้างหนีกลับไปที่ร้านค้า

อวี้ถังยังไม่กลับเรือน คนสกุลเฉินตามมาสมทบ รวมทั้งคนสกุลหวัง ทั้งสามนั่งล้อมวงสนทนากันตรงโต๊ะหนังสือเล็กๆ ในห้องบัญชี พอเห็นอวี้หย่วนเข้ามา พวกนางก็ชะงักอย่างพร้อมเพรียงกัน คนสกุลหวังถึงกับเผยรอยยิ้มแข็งทื่อออกมาขณะพูดกับเขา “เจ้ากลับมาแล้วรึ! หอสุราทางนั้นเรียบร้อยดีหรือไม่? บิดาเจ้าดื่มมากเกินไปหรือเปล่า? แล้วทำไมเจ้าไม่กลับมาพร้อมกับบิดาและท่านอาของเจ้าล่ะ?”

อวี้หย่วนไตร่ตรองดู จากนั้นก็ไม่คิดอ้อมค้อม เอ่ยถามตรงไปตรงมาว่า “ท่านแม่ ท่านน้าสะใภ้ พวกท่านกำลังคุยเรื่องข้ากับสกุลเซียงกันกระมัง?”

คนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินแลกเปลี่ยนสายตากัน ลองตรึกตรองดูแล้วรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอวี้หย่วน คนสกุลหวังถึงได้พูดว่า “ใช่ ข้ากับน้าสะใภ้เจ้ากำลังคุยเรื่องงานแต่งของเจ้ากับแม่นางเซียงอยู่ สกุลเซียงนี้ช่างมากเรื่องเหลือเกิน ทำเอาข้ารับปากก็ไม่ได้ ปฏิเสธก็ไม่ดี เมื่อครู่น้าสะใภ้เจ้าเพิ่งพูดว่า นี่เป็นงานแต่งของเจ้า ขอเพียงเจ้ายินยอม เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น สกุลเซียงต้องการอย่างไร พวกเราก็แค่ทำตามนั้นก็พอแล้ว”

พูดกันไปพูดกันมา ปัญหาทั้งหมดเกิดจากเงินทองนี่เอง

หากมิใช่ไม่มีเงิน บุตรสาวออกเรือนต้องเงยหน้า บุตรชายแต่งสะใภ้ต้องก้มหัว[1] ไม่ว่าสกุลเซียงจะเรียกร้องสิ่งใด สกุลอวี้แค่รับปากตกลงไปก็พอ

อวี้ถังนั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ฟังพวกผู้ใหญ่คุยกัน ในใจกำลังสงสัยว่าไม่รู้นายท่านสามวางแผนจะจัดงานประมูลประมาณช่วงไหน จะหาเงินได้ก่อนที่ญาติผู้พี่ของนางจะแต่งงานหรือไม่? หากว่าไม่มีเงิน สามารถเอาของเก่าโบราณในบ้านไปจำนำก่อนได้หรือเปล่า?

ใครจะคิดว่าพออวี้หย่วนได้ฟังก็หันไปหาอวี้ถัง “เจ้าคิดอย่างไร? สกุลเราควรทำเช่นไรดี?”

คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังได้แต่อ้าปากค้าง

อวี้ถังก็ตกใจตั้งตัวไม่ติด

อวี้หย่วนจึงได้แต่เสริมว่า “ข้าได้ยินมาจากท่านพ่อ บอกว่าตอนที่นายท่านสามมาถึง โชคดีที่เจ้ามีไหวพริบปรับตัวไว เรื่องของสกุลเซียง เจ้าก็ช่วยข้าออกความเห็นหน่อยเป็นไร?”

ฟังจากน้ำเสียง อวี้หย่วนยังคิดจะปกป้องแม่นางเซียงเอาไว้ เพียงแค่ไม่พอใจคนสกุลเซียงก็เท่านั้น

อวี้ถังถอนหายใจเฮือก

เช่นนี้ก็ดีแล้ว

นางกลัวมากว่าญาติผู้พี่กับแม่นางเซียงจะเกิดผิดใจกันก่อนวันแต่งงาน ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยา

เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรนางต้องช่วยอยู่แล้ว!

สมองของอวี้ถังหมุนแล่นอย่างว่องไว นางเอ่ยว่า “สกุลเซียงพูดเพียงว่างานแต่งต้องใหญ่โต แต่งานแต่งใหญ่โตไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เงินมากเสียหน่อย! อาจหมายถึงมาตรฐานที่สูงส่ง อย่างเช่นว่า เชิญคนที่มีหน้ามีตาในเมืองหลินอันมาดื่มสุรามงคลด้วย…”

เช่นนี้แล้ว งานเลี้ยงก็ไม่จำเป็นต้องเชิญคนมาก ผู้อื่นที่เอาไปพูดก็ฟังดูมีหน้ามีตาอีกด้วย

สิ่งที่สกุลเซียงต้องการมิใช่หน้าตานี้หรอกรึ?

สายตาของอวี้หย่วนและคนอื่นๆ ต่างเปล่งแสงวิบวับ ร้องออกมาเสียงเดียวกันว่า “เป็นความคิดที่ดี”

คนสกุลหวังพูดขึ้นว่า “หากเชิญนายท่านสามมาได้ย่อมจะดีที่สุดแล้ว”

อวี้ถังเหงื่อตก “นายท่านสามยังไว้ทุกข์อยู่เลยเจ้าค่ะ งานเปิดร้านของเราเขาก็มาครั้งหนึ่งแล้ว ข้าว่างานแต่งของญาติผู้พี่ก็อย่ารบกวนเขาเลย!”

ต่ำต้อยเกินไปจึงไม่กล้าอาจเอื้อม หลักเหตุผลเดียวกัน ฐานะของสกุลนางกับสกุลเผยต่างกันลิบลับ ถึงแม้เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานไปขอความช่วยเหลือจากเขาก็เถอะ แต่ให้ไปมาหาสู่ออกงานเลี้ยงร่วมกันคิดว่าคงไม่ต้องกระมัง

คนสกุลหวังพยักหน้าเห็นด้วย คิดว่าอวี้ถังพูดมีเหตุผล จากนั้นก็หันไปปรึกษาเรื่องรายชื่อแขกกับอวี้หย่วน

เพราะสกุลอวี้มีคนน้อย ที่ไปมาหาสู่กันบ่อยหน่อยก็คงเป็นเพื่อนบ้านในตรอกชิงจู๋ อย่างมากก็นั่งกันสักเจ็ดแปดโต๊ะได้ บวกกับพวกเล่าเรียนวิชาในเมืองหลินอัน ก็คงไม่เกินยี่สิบโต๊ะแน่ หากทำเช่นนี้ปัญหาต่างๆ นับว่าแก้ไขได้หมดแล้ว

เพื่อนบ้านคุยกันง่าย แต่พวกคหบดีกับผู้เล่าเรียนวิชา อาจต้องให้อวี้เหวินออกหน้าเชิญเอง

อวี้ถังไม่ได้ไปฝนหมึกรอตั้งแต่แรก กลับปรึกษาคนสกุลหวังและคนสกุลเฉินว่า “ฐานะของญาติผู้พี่ จำเป็นต้องเลื่อนให้สูงขึ้นหรือไม่เจ้าคะ?”

หากยกให้อวี้หย่วนเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของสกุลอวี้ แบกรับทั้งสองบ้านไว้บนบ่า เมื่ออวี้หย่วนแต่งงาน อวี้เหวินก็นับเป็นหนึ่งในพ่อสามีเช่นกัน สหายของอวี้เหวินย่อมต้องมาร่วมงานแน่ แต่หากทำเช่นนี้ อนาคตของอวี้ถังก็จะเป็นแต่งออกมิใช่เขยชายแต่งเข้าแล้ว วิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

คนสกุลหวังไม่รอให้คนสกุลเฉินเปิดปากก็เปล่งเสียงว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องปรึกษาท่านลุงใหญ่และบิดาเจ้าหรอก ก็แค่บอกว่าหลานชายแต่งงาน ไม่อาจพูดให้มัดตัวเกินไป อย่าให้งานแต่งของอาถังต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย”

ในสายตาของคนสกุลหวัง งานแต่งของอวี้ถังพูดเอาไว้แล้วว่าจะแต่งเขยชายเข้าสกุล ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี…หากสามารถหาเขยชายดีๆ แต่งเข้าสกุลได้ ย่อมไม่มีอะไรให้พูดมากอีก แต่ถ้าสองสามปีผ่านไปแล้วยังไม่ได้เรื่อง ตอนนั้นค่อยให้อวี้ถังแต่งออกไปก็ยังไม่สาย ยังสามารถเลือกหาสกุลดีๆ ได้อยู่

คนสกุลเฉินย่อมคิดตรงกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้นางไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าเห็นด้วย อย่างไรเรื่องราวเกี่ยวพันถึงความสุขชั่วชีวิตของบุตรสาว แม้นางจะรักอวี้หย่วนผู้เป็นหลาน แต่เทียบกับบุตรสาวในอุทรแล้ว นางย่อมจะรักบุตรสาวแท้ๆ มากกว่าหน่อย

คนสกุลหวังคิดแทนอวี้ถังเช่นนี้ คนสกุลเฉินก็รับน้ำใจของนางไว้

นางเอ่ยขึ้นว่า “ทุกคนอย่างเพิ่งใจร้อน รอให้ฮุ่ยหลี่กับท่านลุงใหญ่กลับมา พวกเราค่อยหารือกันดีๆ ย่อมจะคิดหาทางออกได้แน่”

คนสกุลหวังพยักหน้ารับ คนสี่คนล้อมวงหารือกันอยู่ค่อนวัน ไม่ง่าย กว่าที่อวี้ป๋อและอวี้เหวินจะกลับมาที่ร้านค้าพร้อมพวกนายท่านอู๋ สองพี่น้องดื่มเหล้าจนหน้าแดงเถือก พูดจาลิ้นแข็งอยู่บ้าง เรื่องนี้จึงไม่สะดวกจะคุยกันต่อ รอกระทั่งวันต่อมาที่สองพี่น้องสกุลอวี้สร่างจากฤทธิ์สุราแล้ว สองคนถึงได้เริ่มต้นนั่งลงแล้วหารือเรื่องความต้องการของสกุลเซียงใหม่อีกครั้ง

แน่นอนว่าอวี้ป๋อไม่เห็นด้วย

เขาโมโหไม่เบา “สกุลอวี้ของพวกเรามีข้าวเท่าไรก็กินแค่เท่านั้น สกุลเซียงที่ชอบชื่อเสียงปลอมๆ เช่นนี้ พวกเราคงไม่อาจเอื้อม”

อวี้หย่วนพลันหน้าซีดไปทันที

ญาติผู้พี่คงกลัวว่างานแต่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือ?

อวี้ถังสัมผัสได้อีกครั้งถึงความใส่ใจที่อวี้หย่วนมีต่องานแต่งในครั้งนี้

ในชาติก่อนนั้น สกุลเกาก็เอ่ยข้อเรียกร้องที่ไม่ค่อยสูงนัก แต่อวี้หย่วนตอบกลับด้วยความเย็นชา สกุลเกายังไม่ทันได้แต่งเข้าสองบ้านก็เริ่มทะเลาะกันแล้ว อวี้หย่วนยังไม่เคยพูดแทนสกุลเกาสักคำ มีแต่ก้มหน้านิ่งเท่านั้น

นี่เป็นเพราะวาสนาของญาติผู้พี่มาถึงแล้วหรือ?

อวี้ถังยิ้มจนตาหยี แล้วยกจานส้มเข้าไปให้ท่านลุงใหญ่ นางส่งสายตาให้กับอวี้หย่วน แล้วทิ้งให้พวกผู้ใหญ่ปรึกษาหารือกันไป ส่วนตนก็ไปยืนรับลมหนาวคุยกับญาติผู้พี่อยู่ใต้ชายคา

“ท่านพี่ยังร้อนใจถึงเพียงนี้ พี่สะใภ้คงไม่อาจสงบใจได้แน่” นางกำลังยุยงอวี้หย่วน “ตอนนี้นางยังต้องกลับไปอยู่ที่สกุลเซียง ติดต่อกันลำบาก ท่านควรหาวิธีปลอบใจพี่สะใภ้หน่อยดีหรือไม่?”

อวี้หย่วนตอนแรกยังปากแข็งเล็กน้อย แต่พอเจอสายตายั่วเย้าของอวี้ถังถึงได้ยอมแพ้ กระซิบเสียงเบาว่า “อย่างไร จะปลอบนางอย่างไรดี?”

อวี้ถังหัวเราะตอบว่า “ข้าจะทำดอกไม้ผ้าให้พี่สะใภ้สักหลายดอก ท่านก็ให้คนเอาไปส่งเถอะ”

อวี้หย่วนถามต่อว่า “แบบนี้จะดีรึ?”

“ดีแน่นอน!” อวี้ถังตอบ “น้องสามีมอบดอกไม้ผ้าให้พี่สะใภ้ ใครยังจะพูดอะไรได้อีก? แต่ถ้าจะให้ข้าทำดอกไม้ผ้าให้พี่สะใภ้ ข้ามีข้อแลกเปลี่ยนนะเจ้าคะ”

อวี้หย่วนได้ยินก็แจกมะเหงกอวี้ถังไปทีหนึ่ง “เจ้าเด็กคนนี้ ทำดอกไม้ผ้าให้พี่สะใภ้ยังจะต่อรองราคาอีก?”

อวี้ถังกุมศีรษะแล้วร้องโอดโอยว่าอวี้หย่วนมีพี่สะใภ้ก็ไม่ต้องการน้องสาวแล้ว ทำเอาอวี้หย่วนเขินอายจนหน้าแดง ขอร้องให้นางเบาเสียงลง ทั้งยังต้องตกลงรับปากว่าตอนที่เขาแต่งงานจะสั่งทำกำไลเงินห้าตำลึงมอบให้อวี้ถัง นางถึงได้ยอมจบเรื่องสักที

หลังจากเรื่องล้อเล่นผ่านไปแล้ว อวี้ถังก็เข้าเรื่องสำคัญด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งเครียด “ข้าต้องการไปหังโจวสักครั้ง ท่านพี่ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ”

————————————————————-

[1]บุตรสาวออกเรือนต้องเงยหน้า บุตรชายแต่งสะใภ้ต้องก้มหัว เป็นคำโบราณ หมายถึงบุตรสาวเวลาแต่งออกต้องเลือกสกุลของผู้ชายที่คุณสมบัติหรือฐานะสูงกว่า ส่วนเวลาผู้ชายจะแต่งภรรยาเข้าบ้านนั้น ก็ต้องเลือกหญิงที่มีคุณสมบัติและฐานะต่ำว่าเช่นกัน