ตอนที่ 141 ซ้อนแผนซ่อนกล! + ตอนที่ 142 อ่อนแอจนถูกล่อลวง? Ink Stone_Romance
ตอนที่ 141 ซ้อนแผนซ่อนกล!
กวนสีหลิ่นเอ่ยเสียงเข้ม “นอกจวนมีคนคอยดูลาดเลา หนำซ้ำข้าออกไปสังเกตเห็นว่ามีคนแอบจับตาดูอยู่ในมุมมืดด้วย”
ได้ยินคำพูดนี้ เธอชะงักเล็กน้อยไปพักหนึ่ง กำชับว่า “ท่านกับเหลิ่งซวงทำตัวตามปกติเป็นพอ ที่ควรออกก็ออกไป นอกจากนี้ พอฟ้ามืดก็ให้ชิงเหนียงกับพวกสาวใช้เรือนหน้ากลับไปอยู่ที่ห้องซะ ไม่ว่าได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามออกมา”
“อืม ข้าจะเข้าไปกำชับพวกเขาตอนนี้เลย เจ้าอยู่ตรงนี้ระวังตัวหน่อยนะ” เขากล่าวเตือนอย่างไม่วางใจ
“ข้ารู้แล้วล่ะ”
เธอยิ้มพยักหน้า อยากรู้นิดหน่อยว่าใครกันแน่ที่จับตาดูพวกเขา? อันที่จริง ตั้งแต่จวนตระกูลสวี่ถูกฆ่าล้างตระกูล ทุกกองกำลังฝั่งฝ่ายในเมืองอวิ๋นเยวี่ยต่างก็ปฏิบัติตัวอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาโดยง่าย
แม้ไม่รู้ว่าเป็นใคร? แต่เธอเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะรู้ได้แน่
ตกกลางคืน ในที่พำนักช่างเงียบเชียบ เหล่าสาวใช้เรือนหน้าล้วนล็อคประตูหน้าต่างไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ และหลับไปกันแล้ว
ส่วนในเรือนด้านหลัง หลังเฟิ่งจิ่วจี้จุดเส้นประสาทหลับของท่านปู่ ก็มานั่งเล่นหมากรุกกับกวนสีหลิ่นในสวน แต่เหลิ่งซวงกลับเฝ้าอยู่ในห้องไม่ได้ออกมา
อาจเพราะคิดว่าพวกคนในที่พักหาได้มีอะไรน่ากลัวไม่ ด้วยเหตุนี้ หลังจากเงาร่างสีดำทั้งแปดแอบเข้ามาเงียบๆ ก็มุ่งไปยังเรือนเจ้าของด้านหลัง เมื่อเข้าเรือนกระโดดขึ้นกำแพง เห็นทั้งสองคนในสวนกำลังนั่งเดินหมากกัน
“ฆ่าผู้ชายทิ้งซะ ผู้หญิงจับกลับไป!”
ชายชุดดำคนหัวหน้าสั่งการเสียงทุ้มเข้ม สิ้นสุดน้ำเสียง เงาร่างทั้งหลายจึงโผล่ออกมาจากมุมมืด เผยกระบี่ในมือ โจมตีไปหาทั้งสองคนในสวน
หลังจากได้ยินคำพูดชายชุดดำ กวนสีหลิ่นกับเฟิ่งจิ่วจึงลอบมองหน้ากันแวบหนึ่งอย่างไร้ร่องรอย ใต้ผ้าคลุมหน้า เธอเอ่ยเบาๆ ประโยคหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจในทันที
“อ๊ะ! พี่สีหลิ่น!”
เธอร้องอุทาน หลบไปด้านหลังกวนสีหลิ่น
“น้องข้าอย่าได้กลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!”
“ฮ่า!”
กวนสีหลิ่นแผดเสียง สองหมัดโจมตีออกไปหาชายชุดดำสองนายที่โผเข้ามาพร้อมแรงกำลังทั้งหมด ได้ยินเพียงสองเสียงปังดังขึ้นตามด้วยเสียงกระดูกหักดังลอยมา ตัวชายชุดดำสองนายกระเด็นลอยออกไป หลังจากชนเข้ามุมกำแพงก็สิ้นใจโดยไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง
เห็นเขารับมือชายชุดดำสองนายได้ในหมัดเดียว มุมปากเฟิ่งจิ่วที่ผูกผ้าคลุมหน้าไว้ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกขึ้น
บอกไว้ชัดๆ ว่าให้ออมแรงบ้าง เขากลับใช้กำลังไปเต็มร้อย ด้วยแรงหมัดเขาตอนนี้ หนึ่งหมัดที่ออกแรงเสียเต็มที่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็รับไหวหรอกนะ
กวนสีหลิ่นตะโกนเสียงเข้ม คุ้มกันอยู่ด้านหน้าเฟิ่งจิ่วคอยต่อกรกับชายชุดดำ ทว่ายังไม่ลืมแผนการของทั้งสอง เมื่อเห็นชายชุดดำนายหนึ่งมือถือกระบี่คมโจมตีมา ก็ผลักเฟิ่งจิ่วไปข้างๆ ทิ้งตัวกระโจนแวบไปด้านหลังทั้งสองทันที สองพี่น้องโจมตีด้วยสองหมัด รอบนี้จึงทำให้กระดูกคอสองชายชุดดำแตกเป็นเสี่ยงๆ เอาเสียดื้อๆ
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงสองชายชุดดำล้มลงบนพื้น
เมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ สีหน้าคนหัวหน้าก็ดูไม่ได้ขึ้นมา แววตาหมองหม่นจับจ้องเฟิ่งจิ่วไม่วางตา เวลาต่อมา ร่างเขากระโดดขึ้น ข้ามผ่านกวนสีหลิ่นเข้าไปจับนาง
ในสายตาเขา กำลังชายหนุ่มแกร่งเกินไป ไม่เหมาะจะสู้ตัวต่อตัวด้วยจริงๆ แต่สาวน้อยผู้นี้ไม่เหมือนกัน บนร่างนางไม่มีพลังเร้นลับไหลเวียน ที่แท้ก็เป็นคนธรรมดา ในเมื่อนายหญิงสั่งว่าต้องการนาง งั้นก็จะจับคนกลับไปรายงานซะเลย!
“อ๊ะ! พี่ ช่วยข้าด้วย!”
เฟิ่งจิ่วอุทาน เพียงรู้สึกว่าสองแขนยึดคอเธอไว้แน่นหนา เวลาถัดมาทั้งตัวจึงถูกยกพากระโจนออกไป
และเพราะชายชุดดำผู้นั้นอยู่ด้านหลัง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่เห็นว่าในแววตาเธอแวบฉายแววยิ้มเยาะอย่างบรรลุเป้าหมาย…
……………………………
ตอนที่ 142 อ่อนแอจนถูกล่อลวง?
“น้องข้า!”
กวนสีหลิ่นอุทาน เพราะถูกคนที่เหลือล้อมไว้จึงไม่อาจตามไปได้ สีหน้าวิตก แผดเสียงร้องว่า “ปล่อยนางซะ!”
ชายชุดดำหลายคนรั้งตัวเขาไว้ เห็นผู้เป็นหัวหน้าจับกุมนางหายลับตา ความกังวลบนใบหน้ากวนสีหลิ่นก็มลายตามไปด้วย แววตาเฉียบแหลมกวาดมองเหล่าชายชุดดำ พลางหัวเราะเยอะ “เพราะพวกเจ้าคิดจะรั้งข้าไว้? ถึงไม่สำเหนียกว่าตัวเองมีกำลังแค่ไหน”
สิ้นสุดน้ำเสียง ทันใดนั้นร่างก็โจมตีออกไปราวกับภูตผี กลิ่นอายพลังเร้นลับที่ทั้งแข็งแกร่งและคละคลุ้งพรั่งพรูขึ้นมาทั่วร่าง ทำให้บนตัวเขามีพลังอันน่าสะพรึงไหลเวียนอยู่จางๆ บริเวณที่หมัดพุ่งออกไป ก่อตัวเป็นกระแสลมรุนแรง เหล่าชายชุดดำจึงตกใจเสียจนหน้าเปลี่ยนสี
“แย่ละ!”
พวกเขาคิดจะล่าถอย ทว่าความเร็วยังไม่ทันกวนสีหลิ่น เห็นเพียงสองคนตรงหน้า คนหนึ่งถูกหมัดโจมตีเข้าตรงกลางอก พลันเกิดเสียงกระดูกแตกดังแกร๊ก คนก็กระเด็นออกไปล้มลงชักดิ้นบนพื้นสักพักก่อนจะหมดลมหายใจ
ส่วนอีกคนถูกเขาจับคอไว้ ทั้งร่างถูกยกขึ้นเหนือพื้นทุรนทุราย เพียงได้ยินเสียงแกร๊ก คนผู้นั้นก็ถึงกับร้องอะไรไม่ออก และถูกบีบคอหักตายไป
“ถอย! ถอยเร็ว!”
คนหนึ่งตะโกนขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปยกใหญ่ ถึงกับไม่กล้าสู้ด้วยอีก จึงหันตัวคิดจะหนี
“ในเมื่อมาแล้ว พวกเจ้าคิดว่ายังหนีได้อีกรึ?”
กวนสีหลิ่นแค่นเสียงหยัน จัดการพวกเขาลงได้อย่างรวดเร็ว เห็นซากศพทั้งหลายในสวน จึงหันกลับไปพูดกับเหลิ่งซวงในห้องที่คอยเฝ้าท่านผู้เฒ่าอยู่ “เหลิ่งซวง ที่นี่ให้เจ้าจัดการที ข้าจะตามไปดูเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงเปิดประตูออก เห็นลานบ้านที่ฉาบไปด้วยสีเลือด แม้แต่ดวงตาก็ยังหลับไม่ลง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง คนที่เป็นหัวหน้าพาเฟิ่งจิ่วมาถึงบ้านหลังหนึ่ง พอเข้าบ้านก็มีชายชุดดำเจ็ดแปดนายเดินออกมารับหน้า หนึ่งในนั้นเห็นเขากลับมาคนเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“ไยจึงเหลือแค่เจ้า? คนอื่นๆ ล่ะ?”
“พละกำลังเจ้ากวนสีหลิ่นนั่นยังแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้มากนัก คนอื่นๆ เดาว่าคงถูกเขาฆ่าตายหมดแล้ว แต่ยังดีที่ข้าจับสาวน้อยนี่กลับมาได้” ชายชุดดำที่จับเฟิ่งจิ่วไว้ผลักนางไปด้านหน้า เห็นนางซวนเซล้มลงบนพื้น
“พวกเจ้า พวกเจ้าเป็นใครกัน? ทำไมต้องจับข้ามา?” น้ำเสียงเธอสั่นเครือน้อยๆ มองคนรอบข้างด้วยดวงตาที่มีความหวาดกลัวและตื่นตระหนก
“เสียพี่น้องไปมากมายถึงจะจับสาวน้อยเช่นนี้มาได้ ไม่รู้จริงๆ ว่ามีอะไรพิเศษนัก” ชายชุดดำนายหนึ่งถลึงมองเฟิ่งจิ่วบนพื้นพลางพินิจดู
ชายชุดดำอีกคนจึงเผยรอยยิ้มแปลกๆ เอ่ยว่า “ดึงผ้าคลุมหน้าลง ขอลองดูใบหน้าค่าตาแท้จริงทีซิ สาวน้อยนี่ถึงตอนนี้ยังไม่มีใครเคยเห็นหน้าจริงนางเลย! อยากรู้จริงๆ ว่าหน้าตาจะงดงามเพียงใดกันแน่”
กำลังคิดจะลงมือ ก็เห็นชายวัยกลางคนเดินออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นเขา พวกชายชุดดำในสวนก็นอบน้อมกันขึ้นมาทันใด
“คารวะท่านผู้ปกปักษ์จั่ว”
เฟิ่งจิ่วปรายตาขึ้นมองไปทางผู้มาใหม่ด้วยความตื่นตกใจ หลังจากเห็นชายวัยกลางคน ก็รีบร้อนก้มหน้าลง ดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งฉายแววไอสังหารอันเยือกเย็น มุมปากใต้ผ้าคลุมหน้าเชิดโค้งขึ้นเล็กน้อย
คนคุ้นเคยเก่านี่นา!
แม้ตอนแรกใบหน้านี้ถูกซูรั่วอวิ๋นทำลาย ทว่าจะขาดความช่วยเหลือจากชายวัยกลางคนผู้นี้ไปไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าจะมาพบกันวันนี้ เรียกว่าควานหาแทบพลิกแผ่นดิน แต่กลับมาให้เจออย่างคาดไม่ถึงเสียจริงๆ
แววตาชายวัยกลางคนจับจ้องพินิจมองบนร่างเฟิ่งจิ่วที่ก้มหัวลงเล็กน้อยอยู่บนพื้น พอสังเกตดูก็รู้สึกคุ้นเคยนิดหน่อย คิ้วขมวดขึ้นน้อยๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “ดึงผ้าคลุมหน้านางลงมาให้ข้าสิ!”
………………………………