บทที่ 72 กำชับ Ink Stone_Romance
นายหญิงของตระกูลใดกันที่คู่ควรให้หัวหน้าใหญ่อย่างพ่อบ้านเฉาที่ต้องมารับด้วยตัวเอง
ชายหนุ่มและหญิงสาวหลายคนรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“นายหญิงเจียวเหนียง” พ่อบ้านเฉากล่าวพร้อมขมวดคิ้ว
นายหญิงเจียวเหนียงคือใครกัน
ชายหนุ่มและหญิงสาวหลายคนยังคงมึนงงเล็กน้อย
“นายหญิงเจียวเหนียง ลูกสาวของอาหญิง” พ่อบ้านเฉากล่าวด้วยความโกรธ
อยากจะบ่นก็บ่นไม่ได้ ใครจะจำนายหญิงเจียวเหนียงจนขึ้นใจได้เล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจำชื่อเรียกเลย หากเขาไม่ได้มาเพื่อจดจำรูปร่างหน้าตา ความประพฤติในทางศีลธรรม และชื่อของนายหญิงล่วงหน้าแล้ว ก็คงไม่รู้
มาเพื่อนายหญิงคนนี้เองหรือ!
“อาศัยอยู่ที่เขาเสวียนเมี่ยวนอกเมืองขอรับ” ชายคนหนึ่งกล่าว
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เขาก็ยุ่งอยู่กับการแย่งชิงลูกค้าเพื่อทำการค้า ช่วงนี้เขาจึงเดินทางไปทั่วเมืองเจียงโจว ดังนั้นจึงยังจำทางไปได้
เขารีบเสนอตัวว่าจะนำทางไป
พ่อบ้านเฉาจึงรีบสั่งให้ทุกคนย้อนกลับโดยไม่เข้าเมือง
“พ่อบ้านเฉา นี่เจ้ากำลังทำอะไรหรือ” นายเฉินสี่รีบถาม
กำลังรีบทำเวลาเช่นนี้ จะไปแวะที่ไหนก่อนอีก
“นายหญิงเจียวเหนียงอาศัยอยู่ที่เขาเสวียนเมี่ยวขอรับ พวกเรารีบไปเชิญเถอะขอรับ” พ่อบ้านเฉากล่าว
นอกเมืองหรือ
เหตุใดถึงไม่พบพ่อแม่และคนในครอบครัวเล่า” นายเฉินสี่ถามอย่างงงงวย
ทำเช่นนั้นเหมาะสมแล้วหรือ
“นายท่านสี่ขอรับ” พ่อบ้านเฉามองไปที่เขา นึกถึงคำพูดของท่านชายฉินที่กำชับอยู่หลายหน แล้วส่ายหัวอย่างมีความหมาย “หากไปพบญาติของนางก่อน ก็จะเชิญนายหญิงผู้นี้ไม่ได้แล้วขอรับ”
อะไรนะ
นายเฉินสี่ขมวดคิ้วอีกครั้ง
บ่าวจากตระกูลเฉิงที่อยู่ตรงประตูสองรีบวิ่งผ่าน แล้วเอาเงินคืนให้แก่สาวใช้
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงซื้อไม่ได้” สาวใช้เลิกคิ้วถามอย่างไม่พอใจ “เจ้าขี้เกียจจึงไม่ได้ไปซื้อใช่หรือไม่”
“พี่สาว ไม่ใช่เลย” บ่าวโบกมืออย่างรีบร้อน “ข้าไปมาแล้ว เขาบอกว่าไม่มี”
“ไม่มีหรือ ไม่มีได้อย่างไรกัน หมดแล้วก็ทำขึ้นมาใหม่ได้” สาวใช้กล่าวโดยไม่เชื่อที่บ่าวพูด
“พี่สาวไม่รู้หรือว่าขนมจากวัดเสวียนเมี่ยวเป็นที่นิยมมากและยังมีจำนวนน้อยมากอีกด้วย ทุกวันมีของขวัญเพียงน้อยนิดและยังต้องสั่งล่วงหน้าหลายวันอีก” บ่าวกล่าว “ซื้อทันทีเช่นนี้ จะหาซื้อได้อย่างไรเล่า”
“ต้องแย่งกันเช่นนี้เลยหรือ” สาวใช้ประหลาดใจมากและจนปัญญาเล็กน้อย จึงได้แต่รับเงินคืน
“อะไรนะ ซื้อไม่ได้หรือ” แม่นางเฉิงหกกล่าวพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างผลักจนหมากรุกล้มระเนระนาด
“แม่นางหก เจ้าขี้โกง ข้าจะชนะอยู่แล้วเชียว” แม่นางเฉิงเจ็ดที่นั่งอยู่ตรงข้ามตะโกนขึ้นทันที
“สักพักค่อยเล่นกันใหม่ คุยเรื่องสำคัญก่อน” แม่นางเฉิงหกกล่าว “เจ้าไม่อยากจัดงานแข่งจัดดอกไม้ให้สำเร็จในเดือนหน้าหรือ”
แม่นางเฉิงเจ็ดรีบสงบลง เมื่อได้ยินเรื่องที่นางสามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่
“เมื่อสองสามวันก่อนข้าได้ยินแม่นางต่งเล่าว่าขนมของวัดเสวียนเมี่ยวอร่อยนัก ดังนั้น ข้าจึงจะซื้อมาลองชิม หากอร่อยสมคำล่ำลือจริง ข้าจะซื้อมาใช้ในงานแข่งจัดดอกไม้” แม่นางเฉิงหกกล่าว
แม่นางเฉิงสี่ แม่นางเฉิงห้า แม่นางเฉิงเจ็ดและคนอื่นๆ ต่างพยักหน้า
“แม่นางเฉิงหกคิดได้ถี่ถ้วนนัก” แม่นางเฉิงสี่กล่าวชื่นชม
แม่นางเฉิงหกรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย
“เหตุใดถึงซื้อไม่ได้เล่า” นางหันหน้าไปถามสาวใช้ต่อ
สาวใช้เล่าในสิ่งที่บ่าวพูดให้แม่นางเฉิงหกฟัง
“นังโง่” แม่นางเฉิงหกขมวดคิ้วตะโกน “นั่นคือคนอื่น พวกเราเป็นใคร ไปบอกนางว่าพวกเราคือคนของตระกูลเฉิง”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบวิ่งออกไปอย่างตื่นตระหนก
“ใช่สิ วัดเสวียนเมี่ยวรับของถวายจากตระกูลเราหนิ” แม่นางเฉิงเจ็ดกล่าวเช่นกัน
อันที่จริงก็ไม่ใช่ของถวายหรอก เป็นเพียงให้ดูแลวัดเต๋าเล็กๆ นั่นแทนเท่านั้นเอง ทว่า ก็มีหมายความเช่นดียว จึงมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ แม่นางเฉิงหกพยักหน้า
บ่าวจึงต้องวิ่งออกไปอีกครั้ง วิ่งเร็วจนเกือบชนใครสักคน
“รีบวิ่งไปเกิดใหม่หรือ” เขาตวาดอย่างเกรี้ยวโกรธ
“เจ้านั่นแหละที่รีบวิ่งไปข้ามสะพาน” อีกฝ่ายด่ากลับอย่างไม่ไยดี
บ่าวจ้องมองใกล้ๆ ถึงจะมองเห็นว่าเป็นวัยรุ่นรุ่นราวคราวเดียวกัน
“จินเกอร์หรือ” เขาตะโกนอย่างเหยียดหยาม “พี่วิ่งเล่นไปมาทำไม พี่ไม่นับว่าเป็นคนในบ้านอีกแล้วนะ”
ไม่กี่วันที่ผ่านมา แม่ชีแห่งวัดเสวียนเมี่ยวมาที่บ้าน เพื่อขอบ่าวให้กับนายหญิงที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในวัดเต๋าไว้ใช้ทำธุระต่างๆ
เดิมทีมีพี่สาวของเด็กคนนั้น เพราะนายน้อยสี่ถูกใจนาง จึงทำให้สถานะของนางสูงขึ้น จึงให้น้องชายมาติดตามหวังว่าจะได้งานสบาย ไม่คิดเลยว่าจะถูกแม่ชีตั้งใจเรียกเขาไป
พี่สาวของเขาเมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้ ก็ร้องห่มร้องไห้กับนายน้อยสี่อย่างหนัก แต่ก็หมดหนทางช่วยเหลือ เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องตลกขบขันของที่บ้านไปเสียแล้ว
รับใช้คนบ้า หน้าที่การงานในอนาคตคงจบสิ้นแล้ว
“เจ้าโมโหฉุนเฉียวอะไรกัน” บ่าวกล่าวอย่างมีชัย
“เฮ้” จินเกอร์ตะคอกอย่างไม่ใส่ใจ แล้ววิ่งออกไป บ่าวหมดอารมณ์ ทั้งสองคนเดินทางมาถึงวัดเสวียนเมี่ยวนอกเมืองก่อนกันไม่นาน
บ่าวมาที่นี่เพื่อจัดซื้อของ ส่วนจินเกอร์มาที่นี่เพื่อมารอคำสั่ง พวกเขาทั้งสองต่างเป็นคนใช้ แต่กลับมีความหมายต่างกัน บ่าวดูถูกและเยาะเย้ยตลอดทาง ส่วนจินเกอร์ทำทีเพิกเฉย ไม่สนใจ
มีแม่ชีสองคนกำลังกวาดหน้าวัดเสวียนเมี่ยวอยู่ เมื่อเห็นจินเกอร์แล้วก็กล่าวทักทาย
บ่าวเบ้ปาก หลังจากวันนี้ก็จะไปมาหาสู่กับแม่ชีเพียงเท่านั้น
“นี่ เซียนหญิง นายหญิงข้าให้มาซื้ออาหารว่างกลับไปสักหน่อย” บ่าวพูดพร้อมกับกอดอก
แม่ชีทั้งสองโค้งคำนับกล่าวขอโทษ
บ่าวรู้อยู่แล้วว่าจะตอบเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เขามาโดยมีการเตรียมตัวมาก่อน
“ข้ามาจากตระกูลเฉิง เป่ยเฉิง แม่นางหกข้าอยากกินอาหารว่างที่พวกเจ้าทำ” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วพูดเสียงดัง
ตระกูลเฉิงหรือ แม่ชีทั้งสองลังเลชั่วครู่ ราวกับว่าไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี พวกเขาสบตากัน
“มีอะไรหรือ” เจ้าอาวาสซุนเดินออกมาจากด้านใน เมื่อได้ยินจึงเอ่ยถาม
แม่ชีทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งใจ แล้วจึงรีบหันไปถาม
“เร็วหน่อย นายหญิงข้ารีบใช้ กำลังรอทานอยู่ และจะซื้อเพิ่มด้วย” บ่าวกล่าวโดยรู้ว่านี่คือแม่ชีที่ไปบ้านตระกูลเฉิงอยู่บ่อยๆ
บอกว่าจะซื้อคงสุภาพไป พวกนางคงจะเอาไปส่งให้เอง โดยไม่พูดถึงเรื่องเงินหรอก
เจ้าอาวาสซุนมองหน้าบ่าวอย่างครุ่นคิด
“เป็นเช่นนี้เอง” นางคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูด “ต้องขอโทษด้วย หมดแล้วจริงๆ”
บ่าวนิ่งอึ้งไป อะไรนะ
เขายังคงงุนงง ขณะที่ เจ้าอาวาสซุนมองเห็นจินเกอร์เดินผ่านและกำลังจะขึ้นเขาไป
“จินเกอร์ ช้าก่อน เอาอาหารว่างของนายหญิงขึ้นไปด้วย” นางตะโกน
“ได้” จินเกอร์หยุดเดินแล้วตอบ
บ่าวชะงักไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งเมื่อเห็นแม่ชียื่นอาหารว่างถุงใหญ่ให้แก่จินเกอร์ ถึงได้สติกลับมา
“เฮ้ย เจ้าบอกว่าไม่มีแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมีให้เขาได้ล่ะ” เขากระทืบเท้าแล้วตะโกน
“พี่ชาย อันนี้ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับนายหญิงเท่านั้นและแตกต่างจากของขวัญของทุกๆ วัน” เจ้าอาวาสซุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าอยากได้ขนมนี้” บ่าวตะโกนพร้อมกับกำลังยื่นมือ เพื่อไปหยิบจากมือของจินเกอร์ “ให้นายหญิงหกของข้าก่อน”
“ถุย” จินเกอร์ที่นิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จาก็รู้สึกภูมิใจเล็กน้อยจึงอุทานออกมา แล้วใช้หัวไหล่กระแทกบ่าวนั่น ทำให้เขาเดินโซเซและวิ่งหนีออกไป
บ่าวโมโหจนกระทืบเท้า
“เจ้ารอก่อนเถอะ” เขาตะโกน แล้วหันหลังวิ่งหนีออกไป
คนกลุ่มใหญ่บนถนนภูเขาจ้องมองบ่าวที่วิ่งผ่านไป แล้วละสายตามองมาทางนี้
เจ้าอาวาสซุนไม่สนใจคนเหล่านั้น หากเป็นเมื่อก่อนคงจะมองอย่างกระตือรือร้น ทว่า บัดนี้ นางไม่ใช่
ซุนเมี่ยวเซียนที่ไม่ได้เห็นผู้แสวงบุญมาเกือบสิบวันหรือครึ่งเดือนอีกต่อไป
เจ้าอาวาสซุนเพียงกวาดสายตามองอย่างเฉยเมยและเดินตามจินเกอร์ขึ้นเขาไป
หากมาที่นี่เพื่อขอของขวัญอาหารว่าง ลูกศิษย์ก็จะไล่พวกเขากลับไปเอง นางซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเต๋าไม่สนใจเรื่องทางโลกเหล่านี้
“วัดเต๋านี้มีชื่อเสียงมากเลยหรือ ขนาดที่ไม่ไว้หน้าของตระกูลเฉิงเลยหรือ” พ่อบ้านเฉาถาม
“ไม่ถือว่ามีชื่อเสียงมาก เพราะเพิ่งเป็นที่รู้จักเพียงไม่กี่วันมานี้เอง” ชายที่เป็นผู้นำทางกล่าวอย่างงุนงง
พวกเขาเป็นคนนอก ไม่รู้เรื่องนี้มากนัก และพวกเขาเองก็ไม่ได้สนใจ
“นายหญิงของตระกูลเฉิงอาศัยอยู่ที่นี่หรือ” นายเฉินสี่รีบถาม นี่คือสิ่งที่เขาใส่ใจมากที่สุด
“อาศัยอยู่บนเขา” ชายที่นำทางยื่นมือออกไปชี้
แม่ชีที่อยู่บนถนนภูเขากำลังเดินกลับลงมาพร้อมกับบ่าว ภายใต้ป่าที่คดเคี้ยวก็เผยให้เห็นวัดเต๋าขนาดเล็ก
………………………………………………………