บทที่ 73 ไม่รู้จัก Ink Stone_Romance
เฉิงเจียวเหนียงสุ่มหยิบขนมจากกล่องไม้ใส่อาหารว่างที่จินเกอร์ส่งมอบให้ออกมาสามอย่าง แล้วสาวใช้ก็เก็บอย่างระมัดระวังทันที
“ที่เหลือ เจ้าเอากลับไปเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางนั่งหลังตรง
จินเกอร์ถึงกับมึนงง
“ให้ข้าเอากลับไปที่ไหนหรือขอรับ” เขาเอ่ยถาม
“ตามใจเจ้า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ตามใจคือที่ไหนกัน
เจ้าอาวาสซุนที่เฝ้ามองด้วยรอยยิ้มและกำลังจับมือของเด็กน้อยอยู่
“จะแจกหรือกินเองก็ได้ทั้งนั้น ขอบคุณนายหญิงเถอะ” นางกล่าว
“หา” จินเกอร์แปลกใจ
“ของเหล่านี้ ราคาแพงใช่หรือไม่ขอรับ” เขากล่าว
เพราะเขามักจะเดินไปมาระหว่างบ้านและวัดเต๋า เขารู้ดีว่าขนมนี้หายากมาก
อาหารว่างของวัดเสวียนเมี่ยวทั้งแปลกใหม่และอร่อยมาก ในตอนแรกมีตระกูลใหญ่เพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่มาซื้อ ต่อมาเป็นของขวัญส่งมอบให้แก่กัน จากนั้นก็เป็นที่รู้จักทั่วเมืองและแพร่กระจายไปยังเมืองอื่นด้วย
ได้ยินมาว่าท่านผู้เฒ่าจาง ซึ่งเป็นพ่อของจางฉุนได้ชิมก่อนเป็นตระกูลแรก แต่หลังจากคำพูดนี้แพร่ออกไป ก็มีคนไม่ยอมรับ
“ข้าเป็นคนขายก่อนคนแรก” พ่อค้าคนหนึ่งกล่าว เพราะรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม “ตอนแรกทุกตรอกซอกซอย ข้าแจกให้กินฟรี ทุกคนต่างบอกว่าอร่อย ถึงแย่งกันซื้อ”
ขนมที่ทำถวายของวัดเสวียนเมี่ยว ทำมากสุดเพียงสามกล่องไม้ต่อวัน ซึ่งสองกล่องนั้นเป็นของขวัญและต้องรอวันที่สองถึงจะมีการจัดจ่ายออกไป ไม่ว่าจะมีคนมากราบไหว้หรือราคาธูปและน้ำมันจะสูงสักเพียงใด จำนวนขนมของแต่ละวันก็ไม่เปลี่ยนแปลง ทำเพียงจำนวนน้อย คนขอยิ่งมากขึ้น ราคาจึงแพงนัก
บรรดาร้านขายขนมที่ต้องการทำการค้าด้วย ไม่ว่าพวกเขาสัญญาว่าจะให้เงินมากเพียงใด แม้แต่ประตูก็ไม่ได้เข้า ไม่อนุญาตให้รบกวนดินแดนแห่งการบำเพ็ญปฏิบัติ
เป็นเพียงอาหารเซ่นไหว้เท่านั้น จะให้เป็นวัตถุของความสุขทางโลกได้อย่างไร เจ้าอาวาสแห่งวัดเสวียนเมี่ยว กล่าวมาเช่นนี้
และมีเพียงคนวิเศษแห่งเต๋าเท่านั้นที่ทำขนมได้อร่อยมากเช่นนี้ โดยสถานที่แห่งนี้ดึงดูดผู้คนจำนวนมาก นอกจากอร่อยแล้ว ยังสามารถแสวงหาความโชคดีและหลีกเลี่ยงความชั่วร้าย อายุยืนยาวและอีกมากมาย โดยได้ผลดีอันน่าทึ่ง จึงเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ
บ่าวของตระกูลเฉิงใช้ชื่อของแม่นางเฉิงหกยังหาซื้อไม่ได้ ทว่า ตนได้มามากถึงเพียงนี้และยังเป็นของตนทั้งหมดอีกหรือ
“เจ้าไปตลาดซื้อพู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึกมาหน่อย” สาวใช้หยิบกระดาษออกมาอีกแผ่นหนึ่งและใช้อักษรบรรจงเล็กจดสิ่งที่เฉิงเจียวเหนียงต้องการทั้งหมดไว้
“อ้า” จินเกอร์อุทานออกมา พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบกระดาษและพับเก็บอย่างดี แล้วมองไปที่ขนมอย่างลังเล
“เอาไปเถอะ สำหรับนายหญิงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีค่าเท่าไหร่หรอก” เจ้าอาวาสซุนยิ้มกล่าว
เดิมทีนางไม่จำเป็นต้องส่งอาหารว่างนี้ขึ้นไป แต่ในตอนนั้นนางไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเรียกจินเกอร์เช่นนั้น อาจเป็นเพราะบ่าวนั่นแจ้งว่ามาจากตระกูลเฉิงก็เป็นได้
ช่างตลกเช่นดี พวกตระกูลเฉิงคงคิดว่าที่พวกเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะของบูชาจากพวกเขาจริงๆ หรือ
อามิตตาพุทธ ซุนเมี่ยวเซียนจะเป็นคนที่ไม่สามารถทนต่อความขมขื่นของทางโลกได้เลยหรือ
จินเกอร์กล่าวขอบคุณเฉิงเจียวเหนียง
“เจ้าต้องให้ร้านพวกนี้ตรวจตราให้ครบ เอาแค่ในรายการที่จดไว้เท่านั้น อย่าซื้ออย่างอื่นมาหลอกกันก็พอ” สาวใช้จับแขนจินเกอร์พูด
“อืม” จินเกอร์พยักหน้าแล้วถือกล่องไม้วิ่งออกไป
“ร้านเดียวไม่มี ก็ไปดูหลายๆ ร้าน” สาวใช้วิ่งตามออกไปแล้วตะโกน
จินเกอร์เปิดประตูออกมาถึงกับผงะ มีคนสี่ถึงห้าคนยืนอยู่หน้าประตู ทุกคนแต่งตัวไม่ธรรมดา
คนสี่ห้าคนนี้กำลังกระซิบอะไรบางอย่างอยู่ การที่จินเกอร์ออกมาอย่างกระทันหัน ทำให้พวกเขาถึงกับตกใจ
“พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหนหรือ” จินเกอร์รีบถามอย่างระมัดระวัง และถอยห่างออกมาขวางประตูพร้อมกับมองดูคนเหล่านี้อย่างระแวดระวัง
“พี่ชาย ข้าขอถามหน่อยว่าแม่นางเจียวเหนียงอาศัยอยู่ที่นี่หรือไม่” พ่อบ้านเฉาพูดด้วยความสุภาพอ่อนน้อม “ข้ามาจากเมืองหลวง เป็นพ่อบ้านของแห่งตระกูลโจว ซึ่งเป็นปู่ของแม่นางเจียวเหนียง และข้าแซ่เฉา”
“ข้าเป็นคนของตระกูลเฉิน ณ เมืองหลวง นี่คือนามบัตรของข้า” นายเฉินสี่ไม่กล้าละเลยจึงรีบพูดเช่นกัน ขณะเดียวก็ส่งกระดาษให้หนึ่งแผ่น ทว่า ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเขาคือใคร
จินเกอร์ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร
“พวกเจ้ามาทำอะไร” เขาถามโดยไม่มีทีท่าว่าจะหลีกทางให้พวกเขาเข้าไป
“ข้ามีเรื่องจะมาขอร้องแม่นางเฉิง” พ่อบ้านเฉากล่าว
ขอร้อง นายหญิงท่านไหนกัน
“รออยู่ตรงนี้ ข้าเข้าไปถามก่อน” จินเกอร์มองพวกเขาอย่างสงสัยอีกครั้งแล้วกล่าว
“พวกเจ้าเฝ้าหน้าประตูไว้ อย่าให้พวกเขาบุกเข้ามาได้”
เสียงบ่าวที่ไม่รู้ว่าติดตามท่านใดดังเข้ามาจากด้านหลังของประตู
เด็กบ้าคนนี้เฝ้าบ้านเข้มงวดนัก พ่อบ้านเฉาพูดในใจและเงยหน้าขึ้นมองสำรวจไปที่ประตูแล้วมองเห็นคำว่าสงบสุข
ชื่อเรียกไม่เลวเลย วัดเต๋าแห่งนี้น่าสนใจ
นายเฉินสี่รู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อยและอยากจะบุกเข้าไป หากเขาจะตรงไปที่บ้านของตระกูลเฉิงก่อน แล้วบุกตรงเข้าไปเลย คงไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทว่า กลับเป็นที่นี่ ซึ่งประการแรกคือ เป็นวัดเต๋าสำหรับแม่ชี ประการที่ต่อมา ยังเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยออกเรือนอีก จะบุกเข้าไปก็ไม่ดีนัก
“มีคนมาขอพบนายหญิง”
เจ้าอาวาสซุนและสาวใช้ที่ยืนอยู่ในลานกว้างต่างประหลาดใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่จินเกอร์เล่า
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนตั้งใจมาหานายหญิงและใช้คำว่าขอเข้าพบ
“ใครหรือ” เจ้าอาวาสซุนถามอย่างรีบร้อน
“คนหนึ่งบอกว่ามาจากบ้านของปู่นายหญิง อีกคนบอกว่าเป็นคนของตระกูลเฉิน ไม่รู้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง” จินเกอร์พูดพร้อมกับส่งนามบัตรในมือให้
บ้านปู่หรือ ตระกูลโจวหรือ!
เจ้าอาวาสซุนมีความสุขและหยุดถาม แล้วรับนามบัตรเข้าบ้านไป
สาวใช้และจินเกอร์รีบตามเข้าไป
“ตระกูลโจวหรือ” เฉิงเจียวเหนียงฟังคำพูดของเจ้าอาวาสซุนจบแล้ว จึงวางหนังสือลงและเงยหน้าขึ้น
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ นายหญิงเจ้าคะ คนในครอบครัวทางปู่ย่ามาเยี่ยม…” เจ้าอาวาสซุนกล่าว
ก่อนที่นางจะพูดจบ เฉิงเจียวเหนียงละสายตาลงอีกครั้ง
“ไม่รู้จัก” นางพูดพร้อมกับปิดหนังสือ “ข้าจะนอนแล้ว ไม่พบใครทั้งนั้น”
เจ้าอาวาสซุนตะลึงและยืนอยู่กับที่
ไม่รู้จริงหรือไม่อยากรู้จักกันแน่
ตระกูลโจว…ก็ล่วงเกินนายหญิงด้วยหรือ
“นายหญิงขอรับ มีอีกคนที่ไม่ได้มาจากตระกูลโจวขอรับ” จินเกอร์พูด
หลังจากนั้น เจ้าอาวาสซุนถึงจะนึกขึ้นได้ว่านามบัตรที่อยู่ในมือไม่ใช่ของตระกูลโจว จึงรีบยื่นไป
หมิงชิ่ง แซ่เฉินแห่งฉวีโจว
“ข้าไม่รู้จัก” เฉิงเจียวเหนียงพูดโดยไม่ได้มอง
พ่อบ้านเฉาและนายเฉิงสี่ที่อยู่นอกประตูต่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
พ่อบ้านเฉาถึงแม้จะตะลึง แต่ก็รู้ตัวในทันที
“พวกเจ้าเป็นเพียงผู้ติดตาม ไม่ต้องออกหน้า ทางที่ดีที่สุดคือให้คนของตระกูลเฉินแจ้งชื่อไป มิเช่นนั้นคงไม่ได้เข้าพบสักคนเป็นแน่” ท่านชายฉินกล่าว
ณ ตอนนั้น เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าแม่นางคนนี้จะไม่ไว้หน้าแม้กระทั่งตระกูลโจวเลย
ไม่รู้จัก สาวใช้ปั้นฉินเคยเล่าว่าตอนที่จำใครไม่ได้เลย แต่จำได้เพียงเหล่าฮูหยินโจวเท่านั้น หากได้ยินว่าแซ่โจวแล้ว จะบ้าเช่นไร เพียงพูดว่าเหล่าฮูหยินโจวมาแล้ว ก็จะเรียกสติกลับมาได้ทันที พ่อแม่ยังเรียกไม่เป็นด้วยซ้ำ คำแรกที่เรียกได้คือท่านยาย
กลัวว่าจะไม่ใช่ไม่รู้จัก แต่รู้จักมากเกินไปต่างหาก
เขายิ้มอย่างขมขื่นและมองไปที่สาวใช้ตรงหน้าประตู
เหตุใดถึงคับแค้นใจมากเพียงนี้
“พี่สาว โปรดช่วยพูดอีกครั้งด้วยเถอะ บอกว่าใต้เท้าเฉินจากเมืองหลวงมาขอร้องให้ช่วยรักษาพ่อของตนด้วย” เขากล่าว
“มาหาหมอหรือ” สาวใช้ประหลาดใจ นางได้ยินไม่ผิดใช่ไหมและเดินทางมาจากเมืองหลวง มาเพื่อขอร้องให้ช่วยรักษาอาการป่วยหรือ
บ้าไปแล้วหรือ
นายเฉินสี่นึกอะไรบางอย่างออกแล้วหยิบซองจดหมายออกมา
“นี่เป็นจดหมายจากพ่อข้า นายหญิงอ่านแล้ว ก็จะเข้าใจ” เขากล่าว
เมื่อพ่อบ้านเฉาเห็นเขาหยิบจดหมายออกมา เขาก็จำอะไรบางอย่างได้ จึงหยิบหนังสือเล่มบางๆ ออกมาจากอกของเขา
“และมีอันนี้อีก หากนายหญิงยังไม่เข้าใจ เปิดเล่มนี้อ่าน อาจจะเข้าใจขึ้น” เขากล่าว
ทำไมถึงมีอะไรต้องให้เข้าใจหรือไม่เข้าใจมากมาย…นายหญิงจะเข้าใจจริงๆ หรือ
สาวใช้รับของอย่างสงสัยแล้วปิดประตูดัง “ปัง!”
เป็นครั้งแรกที่พ่อบ้านเฉาและนายเฉินสี่เจอกับสถานการณ์เช่นนี้
“พวกเรามาบ้านของหญิงสาวอย่างกระทันหันเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่อยากให้พบหน้า ต้องไปพบญาติก่อนถึงจะถูก” นายเฉินสี่กล่าวด้วยเสียงต่ำพร้อมกับบ่นเล็กน้อย
พ่อบ้านเฉายิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเพราะตนแจ้งชื่อไป จึงถูกปิดประตูใส่
“นายท่านสี่ นายหญิงป่วยตั้งแต่ยังเล็กและถูกฝากเลี้ยงไว้ข้างนอก นี่เพิ่งจะได้กลับมาโดยที่ทางบ้านก็ไม่รู้ว่านางสามารถรักษาอาการป่วยได้ หากท่านพูดออกไป คนของตระกูลเฉิงคงหาว่าท่านบ้าถึงพูดจาเลอะเลือนเช่นนั้นออกมาได้และก็จะถูกถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นนี้ก็จะทำให้ล่าช้าจริงๆ แล้ว” เขาพูดอย่างจริงจัง “หากเป็นเช่นนั้นคงแย่กว่าตอนนี้แน่ ท่านรอสักครู่เถอะ ครั้งนี้คงได้เข้าพบแล้ว”
………………………………………………..