ฉินหร่านอยู่ในครัว หนิงเวยปิดฝาหม้อ พอหันหน้าก็เห็นมือของฉินหร่านมีผ้าก๊อซแผ่นหนาห่อหุ้มอยู่

 

 

“อยู่เฉยๆ อย่าให้โดนน้ำละ” หนิงเวยโบกมือ ให้เธอออกไป

 

 

ฉินหร่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โยนผักกวางตุ้งในมือลงในอ่าง แต่กลับไม่เดินออกไป ยืนพิงอยู่ข้างประตูแล้วหลับตาลง

 

 

เมื่อหนิงเวยคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างหนิงฉิงกับฉินหร่านก็ถอนหายใจในใจออกมา ทว่าก็ไม่บังคับให้เธอออกไป

 

 

“เครื่องปรับอากาศของที่นี่แกเรียกคนมาติดตั้งสินะ แกเองทำงานก็ลำบาก อย่าใช้จ่ายเงินในบ้านเราเลย แม้น้าจะไม่มีปัญญา แต่ก็ยังหาเลี้ยงคนทั้งบ้านได้” หนิงเวยพร่ำบ่นแล้วพูดต่อว่า “อีกอย่าง ครั้งหน้าไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าให้มู่หนานแล้ว”

 

 

ครั้งก่อนที่โรงเรียน ฉินหร่านให้มู่หนานเอาถุงใบใหญ่กลับมา ซึ่งก็คือเสื้อผ้าใหม่ที่ซื้อให้มู่หนาน

 

 

ฉินหร่านจ้องมองหม้อที่มีควันลอยออกมา พลางตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

หนิงเวยรู้จักนิสัยของเธอดี แม้จะตกปากรับคำ ต่อไปเมื่อควรซื้อก็จะซื้อให้อยู่ดี

 

 

อาหารไม่กี่อย่างทำเสร็จแล้ว ซุปก็ตุ๋นตั้งแต่เช้าแล้ว

 

 

หนิงเวยยกซุปออกไปก่อน ฉินหร่านค่อยหยิบถ้วยอีกไม่กี่ใบเดินตามหลังมาช้าๆ

 

 

บรรยากาศในห้องรับแขกอันคับแคบไม่ค่อยดีมากนัก

 

 

หนิงฉิงจ้องมือถือในมือ ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา ฉินอวี่นั่งอยู่ข้างๆ เธอมีท่าทางวิตกกังวล

 

 

มู่หยิงนิ้วจิกกระโปรง นั่งไม่เป็นสุข

 

 

หนิงเวยวางหม้อลงบนโต๊ะ เผลอถามไปว่า “เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนี้กันหมด”

 

 

หนิงฉิงช้อนตาขึ้น มือถือถูกเธอวางลงบนโต๊ะดังปัง

 

 

เธอไม่มองหนิงเวย สายตาอยู่ที่ใบหน้าของฉินหร่าน พูดเสียงสั่นเครือว่า “แกบอกฉันมาตามตรง เงินที่ให้ยายครั้งก่อนแกไปเอามาจากไหน”

 

 

ฉินหร่านโน้มตัว วางถ้วยลงบนโต๊ะ จากนั้นดึงเก้าอี้ออก หย่อนตัวนั่งลงข้างโต๊ะ ตอบอย่างเหลืออดว่า “ของหนูเอง”

 

 

“งั้นนี่คืออะไร” หนิงฉิงลุกขึ้นจากโซฟา หยิบมือถือที่วางลงบนโต๊ะขึ้น เดินมายืนข้างฉินหร่าน ยื่นรูปที่ขยายใหญ่ให้เธอดู

 

 

ฉินหร่านรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง เอนตัวพิงพนักเก้าอี้

 

 

มันเป็นรูปที่พื้นหลังมืดสลัวนิดหน่อย มีไฟถนน เลือนรางมากทีเดียว แต่สามารถมองเห็นชัดเจนว่าในรูปเป็นเธอ คนที่หันหลังให้เธอเห็นหน้าไม่ชัด แต่อายุไม่น้อยแล้ว

 

 

ข้างๆ มีรถเบนซ์คันหนึ่ง

 

 

รูปแบบนี้ปล่อยออกมามันสองแง่สองง่ามเกินไปแล้ว

 

 

มือที่ถือแก้วของฉินหร่านหยุดชะงัก เธอเอียงหัว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มเยาะ

 

 

“เขาเป็นคนให้เงินแกใช่ไหม” หนิงฉิงปวดหัวจะระเบิด “เงินที่ฉันให้แกไม่เคยใช้เลย ตอนนี้…แกหมายความว่ายังไง จงใจยั่วยุฉัน เอาคืนฉันเหรอ”

 

 

ฉินหร่านเข้าใจแล้วว่าหนิงฉิงกำลังพูดถึงอะไร

 

 

เธอเงยหน้ามองหนิงฉิงอย่างเชื่องช้า ในแววตามีแต่ความเฉยชา

 

 

หนิงเวยก็รับรู้ถึงความไม่ปกติของเรื่อง เธอจึงรีบคว้ามือของหนิงฉิงไว้ “พี่ใหญ่ อย่าใจร้อนสิ มีอะไรก็พูดกับลูกดีๆ หรานหร่านไม่ใช่เด็กไม่เชื่อฟังแบบนั้น”

 

 

เพราะเคยเข้าใจผิดฉินหร่านหลายครั้งหลายหนแล้ว หนิงฉิงจึงสงบสติอารมณ์อีกครั้ง เธอมองฉินหร่าน “แกบอกฉันมา คนในรูปเป็นใครกันแน่ ดึกป่านนั้นแล้วทำไมแกต้องไปเจอเขาด้วย”

 

 

ฉินหร่านหยิบถ้วยขึ้นมารินซุปให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง พูดอย่างไม่ยี่หระว่า “ทำไมหนูต้องบอกแม่ด้วย”

 

 

ดื้อรั้นที่สุด หนิงฉิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ไม่อยากแม้แต่จะอยู่ในตระกูลมู่ต่อไปแล้ว

 

 

หยิบกระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่บนโซฟาแล้วกระฟัดกระเฟียดเดินออกไป

 

 

“พี่ พี่…เฮ้อ” ฉินอวี่มองฉินหร่านแวบหนึ่ง จะพูดแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็ถอนหายใจ ไล่ตามหนิงฉิงไป “คุณแม่ รอหนูด้วยสิ!”

 

 

หนิงเวยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

 

 

“ไม่เป็นไร” ฉินหร่านเอ่ยปากด้วยความใจเย็น

 

 

เธอดื่มซุปเสร็จ ก็กินข้าวไปอีกถ้วยหนึ่ง เห็นสายที่หลินซือหรานกระหน่ำโทรหาเธอไม่หยุด เลยออกจากตระกูลมู่เพื่อกลับโรงเรียน

 

 

 

 

วันนี้เป็นวันเสาร์ นอกจากคนที่อยู่ในหอพักแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่ก็อยู่ที่บ้าน

 

 

คนที่อยู่ในหอพักทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองในห้องเรียน บ้างก็เดินเตร่ตามท้องถนน

 

 

บนถนนคอนกรีตของโรงเรียนมีคนไม่มาก

 

 

คนของห้องเก้ายังยืนปรึกษาร่วมกันอยู่ มีคนชี้ไม้ชี้มือพูดอะไรบางอย่างกับฉินหร่าน ท่าทางดูโมโหมาก

 

 

“หรานหร่าน ฉันโทรหาเธอทำไมเธอไม่รับเลย” หลินซือหรานดึงตัวฉินหร่านมา กดเสียงตัวเองให้เบาลง “เธอดูเว็บของโรงเรียนหรือยัง”

 

 

หลินซือหรานหยิบมือถือของตัวเองออกมา กดเปิดโพสต์อันหนึ่ง ยื่นให้ฉินหร่านดู—

 

 

“นักเรียนสมัยนี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงินจริงๆ”

 

 

“ผู้หญิงคนนี้ เป็นนักเรียนใหม่ของห้องนั้นไม่ใช่หรือไง”

 

 

“ถึงว่าทั้งๆ ที่เห็นฐานะบ้านเธอไม่ดี แต่ยังใช้ของหรูหราอีก”

 

 

“ผู้ชายคนนี้เป็นพ่อเธอได้แล้วมั้ง”

 

 

“…” คอมเมนต์ข้างล่างดุเดือดรุนแรงขึ้นทุกที

 

 

เป็นปกติที่เมื่อมีรูปภาพหลุดแล้วจะเป็นที่ฮือฮา คอมเมนต์ยังคงเพิ่มไม่หยุด

 

 

ฉินหร่านยังคงดูอย่างไม่แยแส

 

 

ในเวลานี้เอง ประตูของห้องเก้าก็ถูกเคาะ คนข้างประตูยืนตัวตรงทื่อ “ท่านไหนคือฉินหร่าน ออกมาสักครู่”

 

 

ผู้พูดเป็นคุณครูท่านหนึ่ง

 

 

ฉินหร่านคืนมือถือให้หลินซือหราน แล้วเดินตามหลังคุณครูท่านนั้นไป

 

 

คนในห้องเรียนพากันมองเธอ พอเธอเดินไปแล้ว ก็กระซิบกระซาบวิจารณ์เรื่องนี้กันขึ้นมา

 

 

อีกด้านหนึ่ง

 

 

ฉินหร่านตามหลังคุณครูท่านนี้มาจนถึงห้องพักครู ในห้องพักครูมีคุณครูนั่งอยู่หลายท่าน

 

 

“คืออย่างนี้ นักเรียนฉิน” หัวหน้าฝ่ายวิชาการรู้จักฉินหร่านตอนงานแข่งขันสุนทรพจน์ครั้งก่อน จำเธอได้เป็นอย่างดี พูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “มีคนไม่ประสงค์ออกนามรายงานความผิดของเธอว่า มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สำหรับเรื่องนี้เธอมีอะไรจะอธิบายไหม”

 

 

“จะอธิบายอะไรอีก” ครูผู้หญิงคนหนึ่งมองฉินหร่านแวบหนึ่ง ดูรังเกียจมากทีเดียว “นักเรียนสมัยนี้ ไม่กล้าทำอะไรบ้าง…”

 

 

มีคุณครูคนอื่นอีกหลายคนห้ามเธอไว้

 

 

หัวหน้าฝ่ายวิชาการมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็หันมาทางฉินหร่าน พลางคิดพิจารณา “ฉินหร่าน เรื่องนี้ลุกลามไปถึงเวยป๋อแล้ว สำหรับชื่อเสียงของโรงเรียนแล้ว ก็ส่งผลเสียต่อเธอเหมือนกัน เธอบอกฉันได้ไหมว่า เธอรู้จักคนในรูปไหม มีคนจงใจทำรูปปลอมขึ้นมา หรือว่ามีตื้นลึกหนาบางอะไร”

 

 

หากว่าไม่รู้จัก เรื่องนี้ก็จัดการได้ง่ายขึ้นเยอะ

 

 

ฉินหร่ายเลิกคิ้วน้อยๆ จากนั้นก็วางมือถือลง ละสายตาอย่างเกียจคร้านแล้วแสยะยิ้ม “รู้จัก”

 

 

หัวหน้าฝ่ายวิชาการชะงัก

 

 

ครูผู้หญิงคนนั้นมองฉินหร่านแวบหนึ่งแล้วยิ้มเยาะ

 

 

แต่เธอยังไม่ทันยิ้มเสร็จ ฉินหร่านก็พูดต่ออย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “เขาคือเฟิงโหลวเฉิง”