บทที่ 95 ราชาขั้นเจ็ดปรากฏตัว

ราชาซากศพ

บทที่ 95
ราชาขั้นเจ็ดปรากฏตัว

“หืม! เจ้าคงเป็นซูเหมยแห่งหอการค้าหรูหยุนใช่หรือไม่?” หัวหน้าของชายชุดดำเอ่ยพึมพำ “ระดับพลังราชาขั้นที่เจ็ด” ซูเหมยพึมพำ

“ราชาแห่งการต่อสู้ขั้นที่เจ็ด! เป็นไปไม่ได้….จะมีผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้พลังขนาดนี้ อยู่ภายในเมืองเฮยสุ่ยได้อย่างไร? นับประสาอะไรกับเมืองเฮยสุ่ย ถึงแม้ว่าจะมองไปทั่วหุบเขา เวเนเชี่ยน แต่ก็เพียงมีไม่กี่คนที่จะสามารถก้าวไปถึงระดับนี้”
เมื่อเทียบกับเย่ชิงเฟิงและคนอื่น ๆ ซูเหมยรู้สึกถึงขอบเขตของคนเหล่านี้ เมื่อพวกเขาปรากฏตัว แต่เมื่อนางพบว่า ผู้นำของชายชุดดำที่จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมานั้นมีระดับขั้นใด สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที นางลุกขึ้นยืนและพูดด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ ที่จะมีผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้นอกหุบเขาเวเนเชี่ยนจะมีระดับเท่านี้” ราชาแห่งการต่อสู้กล่าวด้วยความเย้ยหยัน
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ การแสดงออกของไป๋หลงก็เปลี่ยนไป และถามด้วยความประหลาดใจ: “เจ้าเป็นนักรบของดินแดนอื่นงั้นหรือ?”

“ข้าหลินคุน คิดว่าท่านเจ้าเมืองไป๋คงน่าจะเคยได้ยินชื่อนี้” หลินคุนกล่าวด้วยใบหน้าหยิ่งยโส
“หลินคุน….เจ้าคือหลินคุน แห่งอาณาจักรเฉียนเสวี่ย เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ดวงตาของไป๋หลงก็เบิกกว้าง และพูดด้วยความตื่นตระหนก
“ใช่แล้ว เจ้าเมืองไป๋ไม่คาดว่าจะได้พบกันเร็วอย่างนี้” ซุยชวนจุนเดินออกมาจากด้านหลังหลินคุน และกล่าวขึ้น

“ฮึ่ม! ซุยชวนจุน เจ้าทรยศคนในเมืองเฮยสุ่ย ชักนำคนต่างดินแดนเข้ามาทำลายบ้านเกิดของตนเอง ยังกล้าเสนอหน้ามาอีกงั้นหรือ?” ไป๋หลงเห็นร่างของซุยชวนจุนและคนอื่น ๆ ใบหน้าของเขา มืดมนและเขาเริ่มตะโกน
แต่ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น
“เป็นคำพูดที่ดี นกดีย่อมเลือกกิ่งไม้ให้อยู่รอด ข้าไม่สนใจ ตราบใดที่งานนี้สำเร็จ ข้าจะกลายเป็นเจ้าเมืองเฮยสุ่ย” ซุยชวนจุนกล่าวอย่างมีความสุข
“โอ้! เจ้าต้องการเป็นเจ้าเมือง! ตระกูลหลิวและชิวหลิงถัง ตลอดจนกองกำลังขนาดใหญ่และขนาดเล็กเหล่านั้นจะยอมทำตามที่เจ้าต้องการงั้นหรือ ” ซูเหมยปิดปากด้วยรอยยิ้ม และถามอย่างสงสัย ในคำพูดของเธอมีนัยของการยั่วยุ

“เจ้าเป็นหญิงที่ร้ายกาจที่สุด เจ้าต้องการปลุกปั่นความสัมพันธ์ของเราหรือ? บอกความจริงกับเจ้า หลังจากงานนี้สำเร็จ ข้าจะเป็นเจ้าเมืองเฮยสุ่ยและตระกูลหลิวจะยึดครองตระกูลเย่ ส่วนคนอื่น ๆ ก็จะยึดครองหอการค้าหรูหยุน
ส่วนกลุ่มทหารรับจ้างโลกันตร์ที่เหลืออยู่ ก็จะแบ่งปันให้กองกำลังอื่น ๆ แม้ว่าความแข็งแกร่งของกลุ่มทหารรับจ้างโลกันตร์จะไม่มาก อย่างน้อย ๆ ก็พอแบ่งปันกันอย่างทั่วถึง “ซุยชวนจุนชี้ไม้ชี้มือ และอธิบายอย่างสบาย ๆ

“ผลประโยชน์ทั้งหมดถูกจัดสรรปันส่วนไว้แล้ว หลินคุนก็คงไม่ได้ทำงานให้เจ้า…..อย่างไร้ประโยชน์ตอบแทนสินะ โลกจะมีสิ่งดี ๆ แบบนี้หลงเหลืออยู่อีกหรือ?” ซูเหมยยังคงปลุกปั่น
“ใครบอกว่า ไร้ประโยชน์ เมืองเฮยสุ่ยคือ ผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด ตราบใดที่เมืองเฮยสุ่ย ถูกรวมอยู่ในดินแดนเฉียนเสวี่ยของข้า ข้าจะครอบครองทุกสิ่ง” หลินคุนกล่าวด้วยใบหน้าที่คลั่งไคล้
“ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า ตราบใดที่เจ้ายินยอม ข้าหลินคุนสัญญาว่า จะละเว้นตระกูลของเจ้า มิฉะนั้นจากนี้ไปตระกูลของเจ้าจะถูกสังหารจนหมดสิ้น” ซุยชวนจุนก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว กล่าวอย่างบ้าคลั่ง
“โอ้! เจ้าเป็นแค่สุนัขของราชาแห่งการต่อสู้ เจ้าหลงคิดไปว่าเจ้านายของเจ้าคือเทพสงครามงั้นหรือ?! ใช่มั้ยพี่สาวซู! หลินเว่ยเอ่ยขึ้น ” เมื่อได้ยินคำพูดของซุยชวนจุน ซูเหมยหันไปมองด้วยสายตารังเกียจ

“หมายความว่าอย่างไร?เหตุใดหลินเว่ย จึงสามารถมองเห็นระดับพลังของชายชุดดำได้” เมื่อเห็นหลินเว่ยมองไปที่ ซุยชวนจุน
ในดวงตาของนางมีร่องรอยของความประหลาดใจ ที่อธิบายไม่ได้ จากนั้นนางก็ส่ายหัวและคัดค้านอย่างรวดเร็ว “ไม่มีทางเด็กน้อย ระดับความแข็งแกร่งอยู่ที่ขั้นห้า….เป็นไปไม่ได้ที่จะค้นพบความลับของนาง เป็นเพราะนางกำลังจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวต่างหาก
“อา…..น้องชาย เจ้ามองข้าด้วยสายตาแบบนี้ ทำให้รู้สึกเขินอายสายตาของคนอื่นเหลือเกิน!” ซูเหมยกะพริบตา และกล่าวด้วยใบหน้าขัดเขิน
“เอาล่ะ ข้าเชื่อเจ้าแล้วล่ะเสี่ยวไป๋ว่า นางไม่ธรรมดา! ถ้าเสี่ยวไป๋ไม่ได้เอ่ยเตือนเรื่องของซูเหมย หลินเว่ยก็คงจะหลงกลนางไปแล้ว หึหึ!” หลินเว่ยบ่นอุบกับตนเอง
“เยี่ยม! ชายหนุ่ม คงจะเบื่อชีวิต….ข้าจะช่วยสร้างความทรงจำที่ดีก่อนตายในชาติหน้าให้แก่เจ้า ” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ซุยชวนจุนก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เขามีใบหน้าที่มืดมน พลางมองไปที่หลินเว่ยและส่งน้ำเสียงเหี้ยมโหดออกมา

หลังจากนั้น ดาบเล่มใหญ่กว่าดาบธรรมดา ๆ ถึงสองเท่า ก็ปรากฏขึ้นในมือของซุยชวนจุน เขาจับด้ามดาบด้วยทั้งสองมือแน่น และแรงกดดันของเขาก็ขยายตัวออกมาอย่างไร้สิ่งกีดขวาง และพุ่งโจมตีไปยังหลินเว่ย
“หึ! คิดว่าข้าเป็นลูกพลับนิ่มงั้นหรือ? ซุยชวนจุนต้องการที่จะใช้โอกาสนี้สังหารหลินเว่ย และลอบทำร้ายเขาโดยไม่ตั้งตัว หลังจากแสร้งโมโหและลอบทำร้ายเขาทันที
จากนั้นแรงกดที่แข็งแกร่งกว่าพลังของซุยชวนจุนก็แผ่ออกมาจากร่างของหลินเว่ย ต่อมามีกระดองเต่าสีเขียวมรกต ปรากฏขึ้นบนร่างกายของหลินเว่ย จากนั้นที่เท้า หน้าผาก และมือ อาวุธสงครามก็ปรากฏขึ้นทีละชิ้น
“ปัง!” เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น ซุยชวนจุนยกดาบขึ้นด้วยมือทั้งสองข้าง และใช้กำลังอย่างเต็มที่ ฟันลงไปที่ร่างของหลินเว่ย ทางฝ่ายของหลินเว่ยเตรียมพร้อม เขาถือโล่ด้วยมือซ้ายของเขา เพื่อปกป้องร่างกายของตนเองจากพลังของซุยชวนจุน

หลังจากนั้นซุยชวนจุนพบว่าเขาสังหารหลินเว่ยไม่สำเร็จ และรับรู้ได้ว่าพลังของตนเองและหลินเว่ยต่างกันมาก เขาจึงพยายามรักษาระยะห่าง เพื่อรักษาชีวิตของตนเอาไว้

“ฮึบ!” แต่หลินเว่ยนั้นจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้อย่างไร? เขาเมื่อเขาใช้ประโยชน์จากการโจมตีของคู่ต่อสู้ และจากนั้นหลินเว่ยก็ใช้พลังของรองเท้าจื่อหยุน ผนวกกับทักษะลมกรด และในพริบตาร่างของหลินเว่ย ก็ปรากฏขึ้นด้านหลัง ซุยชวนจุน
และดาบประกายทองม่วงก็ฟันฉับลงบนร่างของซุยชวนจุนทันที
“พรึ่บ!” ทางด้านซุยชวนจุน พบว่าหลินเว่ยหายไปจากสายตาของเขา ก็รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาสร้างเกราะพลังปราณขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันได้สร้างอย่างสมบูรณ์ ก็หยุดชะงักลงไป เนื่องจากดาบในมือของหลินเว่ยทำให้เขาปลิวออกไป และเลือดพุ่งออกจากปากของเขาอย่างไม่สามารถควบคุมได้

“หึ่งๆ!” ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ ยกเว้นเย่ชิงเฟิง ที่มีสภาพดีกว่าเล็กน้อย คนอื่น ๆ รวมถึงหลินคุน ดวงตาของพวกเขาแทบจะถลนออกมา และสูดอากาศเย็นเข้าปอด ใบหน้าของพวกเขา ทำราวกับมองเห็นผี
“วิญญาณ? อาวุญวิญญาณ? มารดามันเถอะ! ถึงแม้มีอาวุธวิญญาณมากมาย แต่ก็ไม่อาจจะเอาชนะความแข็งแกร่งของซุยชวนจุนได้ นอกจากนี้เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อย เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?” หลินคุนได้สติและมองไปที่หลินเว่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่! น้องชายตัวน้อย ยกเว้นว่าโล่เป็นอาวุธวิญญาณที่ดีที่สุด ส่วนที่เหลือเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่มีระดับไม่ได้สูงมาก เจ้าทำให้ข้าตื่นตระหนกมาก” ซูเหมยมองประเมินหลินเว่ยขึ้นและลง ดวงตาของเธอคลั่งไคล้และพูดอย่างตื่นเต้น