ตอนที่ 49 ตกหลุม

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 49 ตกหลุม

ณ ห้องหนังสือจวนชี

จางเพ่ยเอ๋อร์จ้องเอกสารในมืออย่างตั้งใจ และลอบชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในใจเป็นอย่างมาก

 “คุณชายชีเป็นผู้เชี่ยวชาญ สิ่งนี้จะเป็นของปลอมได้หรือไม่ ? ”

ชีหยวนหมิงครุ่นคิดและกล่าวว่า “ในทางหลักการน่าจะเป็นไปได้ อัตราส่วนการผสมของสุรานี้มากกว่าเหยาชุนของตระกูลข้าเป็นเท่าตัว ระยะเวลาในการหมักก็นานยิ่งกว่าเหยาชุนเป็นเท่าตัว ระยะเวลายามที่ต้มเดือดก็ต้องนานขึ้นเป็น 3 เท่า ข้าคิดว่า บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่สุราของเขาเข้มข้นยิ่งขึ้น”

 “ข้ามิเข้าใจการกลั่นสุรา เจ้าว่า… ที่ตรงนี้เขียนไว้ว่าข้าว 100 ชั่งอีกทั้งยังต้องผสมไข่ไก่ 100 ฟอง มีความสำคัญเยี่ยงไร ? ”

 “ข้าเองก็มิทราบ บางทีอาจจะเป็นเคล็ดลับบางอย่างก็เป็นได้”

 “แต่ที่ตรงนี้กล่าวอีกว่า การกลั่นสุราหนึ่งครั้งจำต้องใช้ข้าว 30,000 ชั่งขึ้นไป… เยอะยิ่งนัก เหตุใดจึงไม่ผลิตจำนวนน้อย ๆ?”

 “นั่นน่าจะเกี่ยวข้องกับการหมัก ธัญพืชจำนวนมากจะทำให้การหมักนั้นดียิ่งขึ้น”

 “มิน่าเล่าถึงต้องใช้ถังขนาดใหญ่ถึง 3,000 บ่อ”

จางเพ่ยเอ๋อร์วางเอกสารลง จากนั้นก็กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่ที่คุณชายชีแล้ว ข้าและเจ้ามาแบ่งส่วนกัน… มิทราบว่าคุณชายชีคิดไว้เยี่ยงไร”

 “เรื่องของสูตรลับนั้นแม่นางเป็นผู้หามาได้ ข้าจะเป็นคนหาของที่เหลือเอง สามส่วนต่อเจ็ดส่วน เจ้าสามส่วน ข้าเจ็ดส่วน เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?”

 “เยี่ยงนั้นคุณชายชีวางแผนจะขายสุรานี้เยี่ยงไร ?”

“เหมือนกับหยู๋ฝูจี้ของเขา ! ”

จางเพ่ยเอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ข้ารู้สึกว่ามิเหมาะสม ขวดสุราของหยู๋ฝูจี้ได้ตราตรึงในใจผู้คนแล้ว และทางนั้นยังมีอักขระของอาจารย์ฉิน แต่พวกเราไม่มี”

 “เยี่ยงนั้นแม่นางจางมีวิธีอันใด ? ”

 “แบ่งขาย เซียงเฉวียนขายในราคา 30 อีแปะ เทียนฉุนขายในราคา 100 อีแปะ แต่ต้องป่าวประกาศโจมตีทางฝั่งของเขาด้วย สุราแบบเดียวกันกับเขา แต่ขายราคาถูกกว่าเขา ดังนั้นต้องโจมตีเขาโดยตรง หลังจากนั้นลูกค้าทั้งหมดก็จะเป็นของพวกเรา เมื่อถึงเวลานั้น คุณชายชีอยากจะขายเยี่ยงไร ก็ขายเยี่ยงนั้น”

ชีหยวนหมิงครุ่นคิด จางเพ่ยเอ๋อร์เด็กสาวผู้นี้มองการณ์ไกลยิ่งนัก เขาจึงพยักหน้า แล้วเอ่ยถาม “คุณหนูเห็นด้วยกับเรื่องส่วนนี้แบ่งหรือไม่ ? ”

 “เยี่ยงนี้เถิด ข้ามิได้ใส่ใจเรื่องจะแบ่งเงินได้เท่าไหร่อยู่แล้ว”

……

…..

ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงจวนฟู่ แต่ไม่คาดคิดว่าจะพบกับผู้คนไม่กี่คนที่อยู่เรือนหลัง

ฟู่ต้ากวนกำลังรินน้ำชาด้วยสีหน้าเบิกบาน ฝ่ายตรงข้ามคือหลิวจือต้ง จือโจวของหลินเจียงและหลิ่วซานเย่เจ้าหน้าที่ของเขา ฟู่เสี่ยวกวนคาดไม่ถึงว่าเขาจะมายังเรือนนี้

เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนเข้ามา หลิวจือต้งก็ทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม “เสียนจื๋อ ให้ลุงรอเสียนานเลย”

ฟู่เสี่ยวกวนใจกระตุก หลิวจือต้งวันนี้กับเมื่อวานราวกับเป็นคนละคน แต่ในพริบตาเขาก็เข้าใจความลึกลับนั้นได้ทันที ทันใดนั้นเขาก็ฉีกยิ้มกว้างราวกับดอกไม้บาน และกล่าวขำ ๆ “ท่านลุง ข้ามิทันคาดคิดว่าท่านจะมาในวันนี้ ข้าออกไปพบท่านพี่ฉินที่สำนักศึกษาหลินเจียงแต่เช้าตรู่ จนละเลยท่านลุงไป โปรดอภัยให้ข้าด้วย”

อ่า เด็กคนนี้และอาจารย์ฉินเรียกกันเป็นพี่น้อง เสียนจื๋อที่ตนเองเรียกนั้นท่าจะมิดีนัก หากเรื่องไปถึงหูอาจารย์ฉิน มิใช่ว่าตนเองจะสูงกว่าอาจารย์ฉินรึ

เขาโบกมือไปมาอย่างสบาย ๆ และกล่าวอีกว่า “อาจารย์ฉินเป็นนักปราชญ์แห่งยุค ที่เจ้าไปพบเขาย่อมเป็นเรื่องที่ใหญ่โตเป็นแน่ เมื่อครู่ข้าได้เอาเปรียบเจ้าไป เนื่องจากอาจารย์ฉินและเจ้าได้กลายเป็นสหายต่างวัยกัน ข้าเองก็อยากให้แสงได้สาดส่องบนใบหน้า จึงอยากเป็นสหายต่างวัยของเจ้าเช่นกันดีหรือไม่ ? ”

 “นี่… ”

 “ฟู่เสียนตี้ พวกเราตัดสินใจกันเยี่ยงนี้แล้ว หากเจ้าเรียกข้าว่าพี่ชาย พี่ชายจะมอบสิ่งนี้ให้แก่เจ้า”

หลิวจือต้งยื่นเอกสารฉบับนั้นไปให้ ซึ่งด้านบนนั้นได้รับการประทับตราสีแดงแล้ว

สิ่งนี้ต้องนำมาให้ฟู่เสี่ยวกวนอยู่แล้ว แต่เขากลับพูดแบบนี้ออกมา ประการแรกเพื่อแก้ไขผลกระทบที่จะตามมาหลังจากที่เรียกอีกฝ่ายว่าเสียนจื๋อ ประการที่สองจะแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมยิ่งขึ้น

สองมือของฟู่เสี่ยวกวนกำหมัดแน่น “พี่ชาย ท่านได้มอบสิ่งที่น่าตื่นตะลึงที่สุดในใต้หล้าให้แก่ข้า”

ฟู่ต้ากวนและหลิ่วซานเย่ที่ยืนมองอยู่อีกด้านต่างก็อ้าปากค้าง นี่คือการขับร้องอันใดกัน ?

เพียงชั่วข้ามคืน เหตุใดท่าทีของขุนนางระดับสูงจือโจวจึงได้กลับตาลปัตรพลิกฟ้าคว่ำดินถึงเพียงนี้

เมื่อประเดี๋ยวก่อนขุนนางระดับสูงจือโจวก็เรียกว่าเสียนจื๋อ แต่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนคำอีกแล้ว ทั้งยังเรียกฟู่เสี่ยวกวนว่าเสียนตี้… เปลี่ยนบทบาทได้เร็วเกินไปแล้ว ฟู่ต้ากวนและหลิ่วซานเย่ไม่อาจละสายตาไปได้เลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือฟู่เสี่ยวกวนทำได้อย่างไร ? หรือบางทีเขาเดินไปยังหนทางที่มิถูกมิควรและสามารถบังคับขุนนางระดับสูงจือโจวให้เปลี่ยนความตั้งใจได้

พวกเขารู้ว่าเมื่อวานมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนซ่างหลินโจว แต่มิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีความสำคัญยิ่งในสายตาของผู้สูงศักดิ์ผู้นั้น

แต่หลิวจือต้งเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลังเลิกงานที่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเรียกให้ฟู่เสี่ยวกวนอยู่แต่เพียงผู้เดียว นั่นทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าควรจะทำเยี่ยงไรต่อไป

 “ข้ารู้มาว่าที่หลินเจียงมีแหล่งแร่เหล็กอยู่ อยู่ในภูเขาเฟิ่งหลิน เดิมทีทางราชสำนักได้ส่งผู้เชี่ยวชาญภูเขามาดูแล้ว ทรัพยากรสะสมมีมากแต่มิสามารถขุดออกมาได้ง่าย หากเสียนตี้สนใจ ก็สามารถพาคนไปดูได้”

ช่วยส่งพระ ก็ส่งให้ถึงเมืองทางตะวันตก[1] ถือว่าหลิวจือต้งทำเรื่องนี้ให้งดงามยิ่งขึ้นแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนยินดี และกล่าวทั้งรอยยิ้ม “เยี่ยงนั้นข้าคงมิเกรงใจแล้ว ประเดี๋ยวจะส่งคนไปสำรวจ กำไรที่ได้จากการขุดแร่นี้ ขอมอบให้พี่ชาย 3 ส่วน”

 “มิมีทางเป็นไปได้ การขุดแร่นั้นมิได้ง่ายดาย ข้ารู้ว่ามันมีค่าใช้จ่ายที่ใหญ่หลวง ทางราชสำนักเก็บไปแล้ว 3 ส่วน ตัดส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายไป เจ้าจะเหลือเพียงเท่าไหร่กัน”

นั่นคือความในใจของหลิวจือต้ง การทำเหมืองนั้นต้องขุดภูเขาและซ่อมแซมถนนเพื่อกำจัดปัญหาที่มีอีกมากมาย ต้นทุนที่ต้องเก็บไว้สำรองจ่ายนั้นสูงมาก และหากขายเหมืองเพียงอย่างเดียว กำไรมิได้หนาถึงเพียงนั้น หากแร่ที่ได้มานั้นมิได้คุณภาพ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะต้องให้เงินชดเชย ดังนั้นทางราชสำนักจึงมีตัวชี้วัดให้แก่เหมืองของชาวบ้านไว้แล้ว แต่มิมีผู้ใดเต็มใจที่จะทำ

สิ่งนี้มิเหมือนกับเกลือ ที่จะสร้างรายได้ทันทีที่ได้รับ

ฟู่เสี่ยวกวนคิดกลับกันว่าในตอนนี้ได้มาโดยราคาต่ำแล้ว จึงอยากจะเพิ่มอีกสักเล็กน้อย

เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยถามว่า “มิทราบว่าหลังจากที่สำนักหลินเจียงหลอมเหล็กเสร็จแล้ว กากแร่เหล่านั้นจะจัดการเยี่ยงไรต่อ”

เรื่องนี้หลิวจือต้งเองก็มิเข้าใจ จึงหันไปมองหลิ่วซานเย่ หลิ่วซานเย่จึงตอบกลับว่า “กากแร่นั้นไร้ประโยชน์ ทั้งหมดนั้นจะกองอยู่ภายใต้ภูเขาเหยา”

 “ภูเขาเหยาอย่างนั้นหรือ…?”

 “หรือก็คือในเขตเหยา ห่างจากหมู่บ้านเซี่ยชุนไปหลายร้อยลี้”

 “โอ้” ฟู่เสี่ยวกวนรู้แล้ว ทุ่งนา ณ เขตเหยาผืนนั้นก็เป็นของตระกูลฟู่เช่นกัน และ ณ เขตเหยาตรงนั้นกลับมีสำนักหลอมของราชสำนักแล้ว แร่เหล็กเหล่านั้นล้วนมาจากภูเขาเหยา

 “กากแร่เหล่านั้นมิทราบว่าจะมอบให้ข้าได้หรือไม่ หรือว่าขายในราคาที่ถูกก็ได้”

หลิวจือต้งประหลาดใจเล็กน้อย ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกทิ้ง ฟู่เสี่ยวกวนจะเอาไปทำสิ่งใดกัน?

 “นั่นเป็นสิ่งของไร้ค่า หากเจ้าต้องการ เจ้าก็ต้องไปขนด้วยตัวเอง… มิทราบว่าเสียนตี้จะนำสิ่งนี้ไปทำอันใดกัน?”

 “ข้าค้นพบว่ากากแร่นี้ค่อนข้างแข็งแรง ต้องการขนกลับไปที่หมู่บ้านเซี่ยชุนเพื่อปูถนน ค่าขนส่งเพียงเล็กน้อยมิใช่หรือ ? เมื่อใคร่ครวญดูแล้วถือว่าคุ้มยิ่ง”

แน่นอนเขามิได้กล่าวว่าสิ่งนี้เป็นส่วนผสมหนึ่งของการทำปูนซีเมนต์ แต่เดิมคิดว่าจะทำปูนซีเมนต์ด้วยกากแร่หลังจากขุดเหมืองด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ในเมื่อมีแบบสำเร็จรูปอยู่แล้ว เช่นนั้นปูนซีเมนต์ก็อาจจะถือกำเนิดได้เร็วกว่ากำหนด

 “ข้าจะเขียนจดหมายให้แก่เจ้า เจ้าจงไปหานายอำเภอหยูเหลียนที่เขตเหยา”

……

…..

หลิวจือต้งพาหลิ่วซานเย่จากไปแล้ว ฟู่ต้ากวนจึงได้ถามขึ้นมาว่าเหตุใดหลิวจือต้งจึงเปลี่ยนความตั้งใจไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังโดยสังเขป แน่นอนว่ามิได้กล่าวถึงเรื่องที่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยตั้งใจจะให้เขาเป็นราชบุตรเขย ฟู่ต้ากวนถึงได้เข้าใจขึ้นมา

บุตรชายของตน ได้สร้างเส้นสายกับจวนชินอ๋องแล้ว อีกทั้งยังเตะตาผู้สูงศักดิ์ผู้นั้น เรียกได้ว่าเขาได้โผบินขึ้นไปแล้ว

ไม่ได้การ พรุ่งนี้ต้องไปจุดธูปหอมที่หน้าสุสานของหยุนชิงอีกแล้ว

[1] ช่วยส่งพระ ก็ส่งให้ถึงเมืองทางตะวันตก หมายความว่า ในเมื่อจะช่วยใครแล้ว ก็ควรช่วยจนถึงที่สุด