ตอนที่ 50 ปกป้อง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 50 ปกป้อง

สองคนพ่อลูกคุยสารทุกข์สุกดิบกันมากมาย อาทิเช่นเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ดำเนินการ ณ เรือนซีซาน หรือเช่นเรื่องที่ฟู่ต้ากวนเจรจาหารือกับพ่อค้าข้าวทั้งหลายเป็นต้น

สุดท้ายฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยปากขอดูหนังสือสัญญาที่ฟู่ต้ากวนทำขึ้นระหว่างคนในโรงกลั่นสุรา ฟู่ต้ากวนหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่าหาได้มีสัญญาใด ๆ ไม่ เพียงแต่ทำให้พวกเขากลายเป็นทาสรับใช้ในจวนเพียงเท่านั้น เพราะหากเป็นทาสรับใช้จึงจะใช้งานได้อย่างสบายใจ

ฟู่เสี่ยวกวนมองดูพ่อของเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะขึ้นมา ฟู่ต้ากวนงุนงง ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยว่า “ขิงนั้นยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด”

 “เรื่องราวในหลินเจียงนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี วันพรุ่งนี้ข้าจะเดินทางกลับไปยังเรือนซีซาน”

 “เหตุใดจึงกลับไปเร็วเยี่ยงนี้?” ฟู่ต้ากวนคล้ายกับไม่อยากให้ไปนัก ลูกชายเพิ่งจะเดินทางกลับมายังมิได้แม้แต่ร่วมรับประทานอาหาร

 “มีเรื่องมากมายรอข้าไปดำเนินงาน คนที่มีความสามารถและไว้ใจได้นั้นน้อยเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาญาติสนิท……ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านเองก็ยังไม่แก่ หาภรรยาเพิ่มอีกสักสองสามคนเถิด”

“ไร้สาระ ! ”

……

……

เช้าตรู่ในวันต่อมา ท้องฟ้ามืดครึ้มมีเมฆน้อยลอยต่ำ นกนางแอ่นบินว่อน อากาศร้อนอบอ้าวคาดว่าจะมีฝนตกหนัก

พวกเขาทั้งสามคนออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ก่อนพายุฝนจะกระหน่ำลงมา จึงรีบมุ่งหน้าไปยังเรือนซีซาน

 “เหตุใดจึงต้องรีบร้อนเช่นนี้ ? ” ซูม่อเอ่ยถามขึ้น

 “ข้าเกรงว่าป้ายจึที่หาได้แสนยากลำบากนั้นจะถูกพายุฝนลูกนี้กระหน่ำจนเสียหาย”

“สิ่งนั้น……สำคัญยิ่งอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อครั้นที่หวางเอ้อค้นพบป้ายจึ ซูม่อและชุนซิ่วก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาจำได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนดึงขากางเกงขึ้นแล้วรีบวิ่งลงไปในนาทันที

 “แท้จริงแล้วเป็นเพราะหายาก ไม่รู้ว่าสองสามวันมานี้พวกเขาหาเจออีกหรือไม่ หากมีเพียงต้นเดียวและทำให้มันตายไป คงต้องรอให้ถึงปีหน้าจึงจะมีโอกาสอีกครั้ง”

ซูม่อมิได้เอ่ยถามอันใดต่อ เขาสะบัดแซ่เสียงดัง “ย่ะ ! ! ! ” รถม้าออกตัวไป

เมฆหนาขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะเป็นยามกลางวัน แต่แสงอาทิตย์กลับยิ่งน้อยลงไปทุกที ฟู่เสี่ยวกวนมองออกไปยังท้องฟ้าสีเทาดำแล้วขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจ

เมื่อรถม้าขับเคลื่อนผ่านหุบเขานั้นและเมื่อเข้าใกล้หยางเจียผิง ฝนเม็ดใหญ่ราวกับถั่วก็เทลงมาห่าใหญ่

ซูม่อสวมหมวกและเสื้อคลุม เขาหันมาถามฟู่เสี่ยวกวนอีกครั้งหนึ่งว่า “จะหยุดหรือเดินหน้าต่อไป ? ”

“เดินหน้าไป ! ”

ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมา รถม้าที่โดดเดี่ยวนี้ฝ่าลมฝนและเคลื่อนตัวผ่านสายฝนอันหนาแน่นไปอย่างรวดเร็ว

ท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ สายฟ้าคล้ายมังกรฉีกพาดผ่านท้องฟ้า จากนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังก้องอยู่เหนือศีรษะพวกเขา

ชุนซิ่วรู้สึกประหม่ามากมือของนางดึงอยู่ที่เสื้อ ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองและถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดคนเราจึงมองเห็นสายฟ้าผ่าก่อน แล้วจึงได้ยินเสียงฟ้าร้องตามมาเสมอ ? ”

ชุนซิ่วรู้สึกว่าคำถามนี้น่าประหลาดเสียจริง แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเยี่ยงนี้มิใช่หรือ ? จะมีเหตุผลอันใดกัน ?

นางส่ายหน้า ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยต่อไปว่า “มีอยู่ 2 ประการ ประการที่หนึ่งนั้นกล่าวกันว่าเดิมทีสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องนั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน หากแต่สายฟ้าถูกส่งผ่านลงมาเร็วกว่าเสียงฟ้าร้อง ดังนั้นคนเราจึงมองเห็นแสงฟ้าแลบก่อนได้ยินเสียงฟ้าผ่า อย่างที่สองเนื่องจากคนเรามีตาอยู่ด้านหน้าส่วนหูอยู่ด้านหลัง ดังนั้นตาจึงมองเห็นก่อนตามมาด้วยหูที่ได้ยินเสียง เจ้าคิดว่าอย่างใดถูกต้อง ? ”

ชุนซิ่วครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยตอบว่า“เนื่องจากตาอยู่ด้านหน้าหูอยู่ด้านหลังใช่หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “ฉลาดยิ่งนัก ! ”

ชุนซิ่วเขินอาย คุณชายเอ่ยชมนางเสียที

เนื่องจากเป็นเพียงหัวข้อคั่นในการสนทนา ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้ตั้งใจจะอธิบายสิ่งที่น่าเบื่อ อย่างเช่นการแพร่กระจายของแสงและเสียงนี้

เขาส่งสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง เขามองเห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงในระยะประชิด……

ซูม่อดึงสายบังเหียนไว้ในมือของเขา ม้ายกขาขึ้นจากความเจ็บปวด เขาลุกขึ้นยืน แต่ตัวกลับเซไปด้านหน้า เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังจะล้มลงสู่พื้น ฟู่เสี่ยวกวนดึงชุนซิ่วไว้ และเห็นซูม่อรีบทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วและบังคับม้าเอาไว้ ไม่ให้วิ่งไปข้างหน้าหรือเลี้ยวไปทางขวา รถม้าถูกเหวี่ยงออกไปจนเสียศูนย์ ซูม่อวางมือจากม้าแล้วรีบกลับมาถีบรถม้าให้ตรง รถม้าทั้งสองคันวิ่งสวนกันได้อย่างหวุดหวิด

ซูม่อรีบขึ้นบังคับม้า เขามิได้นั่งบนที่สารถี แต่ขึ้นขี่อานม้าโดยตรงและเร่งม้าให้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ชุนซิ่วตกใจเสียจนหน้าซีด ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เหงื่อออกเช่นกัน

แต่ซูม่อกลับทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

ปากเสียจริงหนอข้า ฟู่เสี่ยวกวนคิดในใจ

หลังจากนั้นการเดินทางก็มิได้พบกับอุปสรรคใด ๆ อีก แต่ฝนยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย

รถม้าเดินหน้ามาถึงหมู่บ้านเซี่ยชุน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตรงไปยังเรือนซีซาน หากแต่หยิบหมวกและเสื้อคลุมขึ้นมาสวมใส่แล้วลงจากรถม้า

เขาเดินไปยังท้องนาตรงที่พบเจอป้ายจึ ซูม่อและชุนซิ่วรีบเดินตามหลังไป

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ฟู่เสี่ยวกวนก็เห็นคนหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ในทุ่งนาสวมหมวกและถือร่มไว้ในมือ

ฟู่เสี่ยวกวนรีบถอดรองเท้าออกแล้ววิ่งไปยังนา คนผู้นั้นหันหลังมามอง ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า คุณชาย !

ฝนตกกระหน่ำเช่นนี้ คุณชายกลับเดินทางมายังที่นี่ !

เขาคือหวางเฉียง ลูกชายของหวางเอ้อ เขาได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้ดูแลป้ายจึนี้อย่างดี ในวันที่ฝนตกพายุกระหน่ำเช่นนี้ เขาเดินทางมาก็เพื่อกางร่มให้แก่ป้ายจึต้นนี้

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งยอง ๆ ลงข้างหวางเฉียง หวังเฉียงเองได้แต่ยิ้มออกมา เขาก็เช่นกัน ชุนซิ่วเห็นภาพนั้นก็รู้สึกตื้นตันเสียจนน้ำตาไหลลงมารวมกับสายฝน

“คุณชายขอรับ ป้ายจึแข็งแรงดีไม่มีปัญหาใด ๆ ”

 “อืม ข้าบอกเจ้านะว่าป้ายจึนี้ต่อไปจะออกรวงเพิ่มมากมายมหาศาล บัดนี้พื้นที่เพาะปลูก 1 หมู่ให้ผลผลิตมากสุด 200 ชั่ง แต่หากมีป้ายจึนี้ อาจจะให้ผลผลิตมากถึง 500 หรือ 1,000 ชั่งทีเดียว”

“จริงหรือขอรับ ? ” หวางเฉียงมีท่าทีไม่เชื่อนัก

 “จงจำไว้เถิดว่า ข้านั้นมิเคยหลอกลวงผู้ใด ดังนั้นเจ้าจงดูแลรักษาป้ายจึนี้ให้ดี พวกเราจึงจะมีความหวัง”

 “ข้าน้อยเชื่อในคุณชายขอรับ คุณชายคือผู้ที่ร่ำเรียนตำรามา พ่อข้ากล่าวว่าคุณชายสั่งการอันใดก็ให้ทำตามทุกประการ”

 “ฟังคำพูดของพ่อเจ้าไม่ผิดแน่ อ้อ แล้วพ่อเจ้าเล่า ? ”

 “พวกเขาอยู่ที่นั่น เนื่องจากฝนตกหนักจึงมองไม่เห็น อีกทั้งยังมีแม่ข้า ภรรยาที่กำลังจะแต่งงาน ว่าที่พ่อตาแม่ยาย……อยู่กันครบหน้า พวกเราหาป้ายจึนี้ได้ถึง 10 ต้น และให้ปุ๋ยตามคำสั่งของคุณชาย คุณชายเคยกำชับว่าต่อให้ทั้งนานี้ตายหมด ก็จะให้ป้ายจึตายมิได้ ดังนั้นพวกเราจึงช่วยกันรักษามันไว้”

ฟู่เสี่ยวกวนมองออกไป ฝนตกหนักเสียจนมองไม่เห็นพวกเขาจริง ๆ เขาถอนหายใจยาว 10 ต้น ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง !

 “คุณชายท่านวางใจเถิดขอรับ ป้ายจึแต่ละต้นมีคนดูแลประจำอยู่ ฝนตกแรงเช่นนี้ท่านรีบกลับไปเสียเถิด ร่างกายอันมีค่าของท่านหากเจ็บป่วยคงแย่เป็นแน่ ข้าเองก็คงถูกพ่อทุบตีอีกด้วย”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก เขาตบบ่าหวางเฉียงจากนั้นก็เดินขึ้นไปยังคันนา ปัดเศษที่ติดมากับรองเท้าแล้วก้าวขึ้นรถ ตรงไปยังเรือนซีซาน

เขาคาดไม่ถึงว่าเกษตรกรพวกนี้จะจดจำคำสั่งของเขาและนำไปปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดถึงเพียงนี้

หวางเฉียงกล่าวว่าพวกเขาค้นพบเกสรตัวผู้ที่ไม่อาจผสมพันธุ์ได้ถึง 10 ต้น เพียงจินตนาการถึงหวางเฉียงที่อดทนหาป้ายจึท่ามกลางแดดแผดเผาและเม็ดเหงื่อไหลย้อยไปตามร่างกาย แค่นี้ก็รู้สึกตื้นตันใจเสียมากล้น

และเพื่อปกป้องป้ายจึเหล่านี้ พวกเขาทั้งครอบครัวตากลมตากฝนกางร่มให้กับพวกมัน !

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประทับใจมาก และตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อตอบแทนพวกเขา