ภาคที่ 2 บทที่ 89 ความแตกต่าง

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนเห็นไป๋ซู่เข้าใจเจตนาของตนเองก็วางใจ และคุยกับหานถงซินอย่างจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวนัก

หานถงซินไม่พอใจเป็นอย่างมาก พลางทำปากจู๋ คิดจะไปก็เจ็บใจ ไม่ไปก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ นางคิดอยู่นานมาก ไทฮองไทเฮาส่งคนมาเชิญพวกนางไปห้องอุ่นตะวันออก “…เห็นว่าห้องครัวทำเฉาก๊วยมาใหม่ ดอกเก๊กฮวยตูมสีขาวจากถงเซียงก็ส่งบรรณาการมาแล้ว เชิญท่านหญิงทั้งสามและคุณหนูไปดื่มชาและรับประทานของว่างเจ้าค่ะ”

เจียงเซี่ยนปฏิเสธทันที และเอ่ยกับนางในที่มาเชิญพวกนางว่า “ข้าเหนื่อยนิดหน่อย คงไม่ไปแล้ว ขอให้ท่านป้าทั้งสองกับเหล่าฮูหยินรับประทานให้อร่อย”

ไป๋ซู่ก็ไม่มีทางไปอยู่แล้ว นางเอ่ยว่า “ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านหญิงเจียหนานที่นี่”

หานถงซินทำอะไรไม่ได้จึงลากไช่หรูอี้ออกไปข้างนอกอย่างโกรธจัด

เพียงแต่นางยังไม่ทันเดินออกจากตำหนักตงซาน ก็ทนไม่ไหวจนต้องซุบซิบกับไช่หรูอี้แล้ว “เจ้าดูสิ ว่านางใช้ชีวิตอย่างกำเริบเสิบสานแค่ไหน! แต่ทุกคนกลับยังคิดว่านางสงบเสงี่ยม เฉลียวฉลาด โดนลมนิดเดียวก็ล้ม เสแสร้งทั้งนั้น…”

“หุบปาก!” ไช่หรูอี้อดที่จะเอ่ยไม่ได้ “ที่นี่คือวังฉือหนิง! หากเจ้าไม่กลัวสร้างปัญหาให้ท่านหญิง เจ้าก็พูดให้เต็มที่”

หานถงซินอดทนอดกลั้น สุดท้ายก็ไม่เอ่ยถึงความผิดของเจียงเซี่ยนอีก

ทว่าในห้องนั้นไป๋ซู่กลับถามเจียงเซี่ยนอย่างงุนงง “ท่านหญิงชิงอี๋มาทำอะไรกันแน่? ฝ่าบาทจะพระราชทานงานสมรสให้ซื่อจื่อจิ้งไห่โหวกับอ๋องเหลียวจริงๆ หรือ?”

นั่นมันกำลังพระราชทานงานสมรสที่ไหนกัน นั่นมันกำลังฆ่ากันต่างหาก!

เจียงเซี่ยนเอ่ยในใจ รู้สึกว่าคำถามนี้นางตอบได้ยากมากจริงๆ

ชาติก่อนก็ไม่มีเรื่องแบบนี้…

นางคิดอีกทีก็นึกถึงการปรากฏตัวก่อนเวลาของหลี่เชียน

บางทีชาติก่อนอาจจะเคยเกิดขึ้น เพียงแต่นางไม่ได้สังเกต?

เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าไม่ต้องกังวล ขอเพียงเจ้ายินดี ข้าก็มีวิธีทำให้เจ้าได้แต่งงานกับเฉาเซวียน ส่วนคนอื่น ข้าคงไปยุ่งมากขนาดนั้นไม่ได้”

ไป๋ซู่ไม่อาจพูดอะไรได้แล้ว

ผ่านไปไม่กี่วัน เจียงเจิ้นหยวนกลับมาจากภูเขาวั่นโซ่วก็เข้าวังมาคารวะไทฮองไทเฮา

ทั้งสองคนนั่งคุยอยู่ในตำหนักหลัก โดยไม่มีนางในและขันทีคอยรับใช้ข้างกาย ทว่ากลับรั้งเจียงเซี่ยนไว้ตามที่เจียงเจิ้นหยวนต้องการ

ไทฮองไทเฮาไม่ค่อยพอใจนัก

เจียงเจิ้นหยวนอธิบายว่า “มอบปลาให้คนอื่นมิสู้สอนวิธีจับปลาให้เขา[1] ถึงแม้เป่าหนิงจะร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก แต่อย่างไรนางก็เป็นสายเลือดของตระกูลเจียงของพวกเรา ก็ควรจะเป็นกำลังของตระกูลเจียงของพวกเราเช่นกัน เรื่องเล็กน้อยแบบนี้คงไม่ถึงกับทำให้นางรับไม่ไหว”

หลังจากไทฮองไทเฮาสวรรคต นางมักจะออกจากวังอยู่เสมอ

เพียงแต่คำพูดนี้ไม่อาจพูดต่อหน้าไทฮองไทเฮาได้ มันไม่เป็นมงคล

ไทฮองไทเฮาคิดว่าอย่างแย่ที่สุดเจียงเซี่ยนก็จะแต่งงานไปกับตระกูลขุนนางระดับสูงในราชสำนัก ทว่าทั้งเมืองหลวงผู้ชายที่เหมาะจะแต่งงานด้วยนั้นมีไม่กี่ตระกูลที่สะอาดหมดจด ก็สมควรให้เจียงเซี่ยนเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าเช่นกัน

ดังนั้นนางจึงไม่คัดค้านอีก

เจียงเจิ้นหยวนปฏิบัติเหมือนกับเป็นสมาชิกคนสำคัญในครอบครัว เขาสบตาเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถึงเรื่องราวที่พบเจอในช่วงหลายวันนี้ “ข้ายังคงบัญชาการกองบัญชาการห้าทัพด้วยตนเองเหมือนเดิม เจียงลวี่ย้ายกลับมาจากต้าถง และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการในเมืองของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร หวังจ้านดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยซ้ายของหน่วยองครักษ์ ฝ่าบาทยึดกองกำลังรักษาพระนครกับหน่วยหน้าไปให้ไทเฮาใช้งาน และแต่งตั้งเฉาเซวียนเฉิงเอินกงเป็นผู้บัญชาการ หลี่เชียนอดีตองครักษ์วังคุนหนิงเป็นรองผู้บัญชาการ ส่วนหลี่เหยาดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม”

ไทฮองไทเฮาฟังอยู่ก็ขมวดคิ้วตลอด

หน่วยองครักษ์เป็นทหารที่ติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้และเฝ้าพระราชวังต้องห้าม ทว่ากองบัญชาการปัญจทิศรักษานครกลับเฝ้าเมืองหลวงและปริมณฑล แน่นอนว่าหน่วยองครักษ์ได้รับความไว้วางใจมากกว่า ฮ่องเต้ให้หวังจ้านเข้าหน่วยองครักษ์ และกลับให้เจียงลวี่ไปกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร…แม้ว่าฮ่องเต้ไม่กี่รุ่นที่ผ่านมาต่างหวาดกลัวคนของตระกูลเจียงมาก แต่บัลลังก์ของจ้าวอี้ยังไม่มั่นคง บรรยากาศแห่งความดีความชอบจากการติดตามฮ่องเต้ของตระกูลเจียงยังสลายไปไม่หมด เขาก็เริ่มลำเอียงแล้ว และยิ่งกว่านั้นเขายังมอบกองกำลังรักษาพระนครให้เฉาไทเฮา…เด็กคนนี้หุนหันพลันแล่นเกินไป…

เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงตระกูลเจียง ตระกูลหวัง และฮ่องเต้ หากพูดอย่างไม่น่าฟังก็คือ ตระกูลเจียงมีประสิทธิภาพมากกว่าตระกูลหวัง ทว่าฮ่องเต้ทำแบบนี้ก็เท่ากับใช้กำลังบีบบังคับยุแยงให้ตระกูลเจียงกับตระกูลหวังแตกคอกันตอนที่ตระกูลเจียงกับตระกูลหวังยังเครื่องร้อนอยู่

ไทฮองไทเฮาไม่อาจตำหนิใครได้ไปชั่วขณะ บวกกับได้ยินชื่อหนึ่งที่นางลืมไปตั้งนานแล้วอีก จึงเอ่ยเปลี่ยนเรื่องไปโดยไม่รู้ตัวว่า “หลี่เชียน? ลูกชายคนโตของหลี่ฉางชิงแม่ทัพฝูเจี้ยนน่ะหรือ?”

แน่นอนว่าเจียงเจิ้นหยวนไม่ได้มาเพื่อขอการสนับสนุนจากไทฮองไทเฮา เขาเพียงแค่มาบอกไทฮองไทเฮาด้วยความเคารพ และเขาอยากรู้ความคิดของเจียงเซี่ยนมากกว่า อยากรู้ว่าเจียงเซี่ยนคิดอย่างไรกับการจัดการแบบนี้ พอได้ยินไทฮองไทเฮาเอ่ยขึ้นมา เขาก็พยักหน้า และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วันนั้นที่ภูเขาวั่นโซ่ว หลี่เชียนก็เป็นคนที่คอยติดตามอยู่ข้างพระวรกายไทเฮาตลอด ไทเฮาอยากให้หลี่ฉางชิงไปเป็นพวกรองอะไรทำนองนั้นที่ค่ายทหารภูเขาตะวันตก แต่ฝ่าบาทไม่เห็นด้วย และให้หลี่ฉางชิงไปเป็นรองที่ค่ายทหารเสินจีแล้วขอรับ”

เจียงเซี่ยนใจเต้น

ค่ายทหารเสินจีคุมอาวุธปืน แต่หลายปีมานี้ท้องพระคลังว่างเปล่า จึงไม่มีกำลังสนับสนุนอาวุธปืนของค่ายทหารเสินจี อีกไม่นานค่ายทหารเสินจีก็เสื่อมโทรมแล้ว วิธีการผลิตอาวุธปืนของค่ายทหารเสินจีอยู่ในมือของกรมกลาโหม ทว่าค่ายทหารเสินจีกลับมีอาวุธปืนที่เลิกใช้เยอะมาก หลี่ฉางชิงมาจากตระกูลโจร เห็นอะไรก็ปล้นอันนั้น แล้วเขาจะปล่อยพวกอาวุธปืนที่อยู่ในค่ายทหารเสินจีไปได้อย่างไร

นางต้องเตือนท่านลุงหรือไม่กันแน่?

หากตระกูลหลี่มีวิธีการผลิตอาวุธปืนอย่างง่ายๆ แล้วกลับไปที่ซานซีบ้านเกิดของตนเองอีก ต้องเหมือนเสือติดปีกอย่างแน่นอน และจะโจมตีเมืองหลวงได้อย่างราบรื่นมากกว่าชาติก่อน ทำให้จ้าวอี้เป็นฮ่องเต้องค์สุดท้าย ได้รับพระสมัญญานามว่า ‘ซุ่น’ หรือ ‘ไอ’…ทว่าหากหลี่เชียนได้เปรียบแล้วยังไม่ยอมรับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเหมือนชาติก่อน…

เจียงเซี่ยนกำมือแน่นจนเป็นหมัด ลังเลเป็นครั้งแรกหลังจากฟื้นคืนชีพ

แน่นอนว่าไทฮองไทเฮาไม่รู้ว่าเจียงเซี่ยนกำลังคิดอะไร นางยังคงพูดถึงหลี่เชียนอยู่เช่นเดิม “เขาไม่รู้ว่าคนสกุลเฉาจะแอบฟื้นอำนาจที่ภูเขาวั่นโซ่วงั้นหรือ?”

“ตอนนั้นอาจจะไม่รู้” เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยอย่างนอบน้อม “มารู้ทีหลังก็สายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่อย่างไรครั้งนี้ก็ถือว่าตระกูลหลี่ได้ล้างชื่อเสียงของตระกูลโจรแล้ว เวลานี้ทุกคนต่างแอบพูดถึงหลี่เชียนว่าเขาซื่อสัตย์จงรักภักดี และเป็นชายชาตรี”

ไทฮองไทเฮาไม่เชื่อข้อแก้ต่างเหล่านี้ นางเอ่ยว่า “เมื่อก่อนเฉาไทเฮายังอยากให้จ่างจูแต่งงานกับเขา แต่ข้าไม่ได้ตกลง เวลานี้คิดดูแล้วยังดีที่ไม่ได้ตกลง เพราะหากจ่างจูแต่งงานไปจริงๆ ฝั่งหนึ่งคือครอบครัวตนเอง อีกฝั่งก็ครอบครัวสามี จะใช้ชีวิตอย่างไรล่ะ!”

“ไทฮองไทเฮาตรัสถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเจิ้นหยวนพูดคุยตามไทฮองไทเฮาครู่หนึ่งด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และลุกขึ้นขอลากลับ

เจียงเซี่ยนไปส่งเขา และบอกเจียงเจิ้นหยวนถึงความกังวลที่นางมีต่อหลี่ฉางชิงหน้าประตูวังฉือหนิง

เจียงเจิ้นหยวนยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าก็คิดเหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาจะทำอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ ดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เจียงเซี่ยนฟังอยู่ สีหน้าฉายแววลังเล

เจียงเจิ้นหยวนจำเป็นต้องเป็นฝ่ายเอ่ยเองว่า “เจ้ายังมีเรื่องอะไรจะบอกข้าอีกหรือ?”

เจียงเซี่ยนก็เอ่ยถึงไป๋ซู่ตามคำพูดของไทฮองไทเฮา “ท่านลุงว่า ให้ไป๋ซู่แต่งงานกับเฉาเซวียนเป็นอย่างไร?”

เจียงเจิ้นหยวนแปลกใจมาก พลางเอ่ยว่า “ทำไมเจ้าถึงมายุ่งกับเรื่องนี้?”

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “เวลานี้สถานการณ์ไม่มั่นคง ฝ่าบาทเพิ่งจะว่าราชการด้วยพระองค์เอง อ๋องเหลียวกับซื่อจื่อจิ้งไห่โหวต่างยังไม่แต่งงาน ไม่กี่วันก่อนถงซินเข้าวังมาเป็นเพื่อนท่านป้าทั้งสอง อยู่ต่อหน้าข้าก็กลุ้มมาก จ่างจูอยู่กับข้ามานานขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา นิสัย หรือชาติกำเนิด การศึกษาล้วนเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลวง พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ข้าอยากให้นางได้แต่งงานกับคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางกันดี จึงอยากขอให้ท่านช่วยสักหน่อย…ถึงแม้เฉาเซวียนจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็รู้จักกัน ข้ายังคงเชื่อในความดีของเขา…”

———————————

[1] มอบปลาให้คนอื่นมิสู้สอนวิธีจับปลาให้เขา หมายถึง ถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นมิสู้ถ่ายทอดวิธีในการเรียนรู้ให้เขา