ภาคที่ 2 บทที่ 90 ขอร้อง

มู่หนานจือ

เจียงเจิ้นหยวนได้ยินก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และเอ่ยว่า “เด็กสาวอย่างพวกเจ้านี่ ทำให้ข้าไม่รู้จะพูดอะไรดีจริงๆ ฝ่าบาทเพียงแค่ถามอ๋องเหลียวว่าตอนนี้เป็นอย่างไรเท่านั้น ก็ถูกพวกเจ้าแพร่ข่าวออกไปว่าจะพระราชทานงานสมรส นี่หากจะพระราชทานงานสมรสจริงๆ ยังไม่รู้ว่าจะลือกันแบบไหน? เอาล่ะ เจ้าวางใจ ไม่มีใครให้จ่างจูไปแต่งงานหรอก”

 

นางก็ไม่ได้อยากรู้ว่าฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้อ๋องเหลียวกับซื่อจื่อจิ้งไห่โหวหรือไม่กันแน่เสียหน่อย นางอยากให้ไป๋ซู่สมหวังต่างหาก!

 

เจียงเซี่ยนพึมพำอยู่ในใจ ทว่าบนหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีทางเป็นข่าวโคมลอย บางทีฝ่าบาทไม่ได้คิดเช่นนี้ เหล่าราชเลขาธิการอาจจะคิดก็ได้? ท่านก็ช่วยเป็นพ่อสื่อให้จ่างจูหน่อยเถอะ! ข้ากังวลมากว่าถึงเวลานั้นจวนเป่ยติ้งโหวจะตัดสินใจให้จ่างจูไม่ได้เหมือนกัน อย่างไรจ่างจูก็เติบโตในวังฉือหนิง แล้วก็เป็นเหมือนพี่น้องของข้า…ครั้งที่แล้วเฉาไทเฮาก็อยากให้จ่างจูแต่งงานกับหลี่เชียน หากไม่ใช่ว่าตอนหลังเกิดเรื่องที่ภูเขาวั่นโซ่วขึ้น เกรงว่าเวลานี้จ่างจูคงจะหมั้นหมายแล้ว”

 

เจียงเจิ้นหยวนเข้าใจความหมายของเจียงเซี่ยนแล้ว

 

เจียงเซี่ยนกลัวว่าจ่างจูจะแต่งงานกับคนเลวตามคำแนะนำของแม่สื่อ

 

เขามองเจียงเซี่ยนที่เหมือนโตขึ้นอีกเล็กน้อยตรงหน้า แล้วอดที่จะถอนหายใจอย่างใจหายไม่ได้

 

เวลาชั่วพริบตาเด็กทารกที่อ่อนแอเหมือนลูกแมวนั้นก็เติบโตเป็นหญิงสาวและรู้จักวางแผนเพื่อพี่สาวของตนเองแล้ว พูดถึงจ่างจูนั่นก็อายุมากกว่าเจียงเซี่ยนเพียงสิบวันเท่านั้น…เจียงเซี่ยนก็ถึงวัยที่ต้องคุยเรื่องแต่งงานแล้วเหมือนกัน!

 

เจียงเจิ้นหยวนแค่คิดเช่นนี้ ในใจก็เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างลึกซึ้ง

 

หลานสาวของเขาคนนี้เป็นญาติเพียงคนเดียวที่น้องชายแท้ๆ ของเขาทิ้งเอาไว้ อย่างไรก็ต้องหาผู้ชายดีๆ ที่เก่งกล้าสามารถ หน้าตาหล่อเหลา และสง่าผ่าเผยมาเป็นคู่ชีวิตให้นาง

 

ในสมองเจียงเจิ้นหยวนคิดถึงบรรดาตระกูลในเมืองหลวงที่สร้างคุณูปการต่อแคว้นอย่างใหญ่หลวงและวีรบุรุษหนุ่มที่ตนเองเคยได้ยินมาอย่างเร็วมาก ตัดสินใจว่ากลับไปแล้วหลายวันนี้จะให้ฮูหยินของตนเองออกไปนั่งคุยที่บ้านคนอื่น จะได้รู้จักกันมากขึ้น และมีคนให้เลือกในเบื้องต้นหลายๆ คน

 

เจียงเซี่ยนก็ถามถึงเรื่องของเจียงลวี่ “ทำไมถึงให้เขาไปกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร แม้แต่ค่ายทหารภูเขาตะวันตกก็ดีกว่าที่นั่น!”

 

ก่อนหน้านี้เจียงลวี่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพโหยวจีอยู่ที่กองบัญชาการต้าถง

 

กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครยังรับผิดชอบส่วยของแต่ละตลาดด้วย งานทั้งเยอะและจุกจิก หากไม่ใช่คนที่อยากหาประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากในนั้นก็จะไม่ชอบไป

 

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่ากองบัญชาการปัญจทิศรักษานครทำให้เจียงลวี่ดูแย่ลง

 

“นี่เป็นความต้องการของข้า” เจียงเจิ้นหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายเจ้าเป็นคนใจร้อน ก็จะได้ไปขัดเกลานิสัยที่กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครพอดี ทำให้เขาไม่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นง่ายมาก”

 

นี่ก็คือให้เจียงลวี่ไปฝึกฝนเพื่อหาประสบการณ์

 

ถือว่าเป็นการสอนลูกชาย

 

แน่นอนว่านางไม่อาจพูดจามั่วซั่วตามใจชอบได้

 

เจียงเซี่ยนยิ้มและเอ่ยว่า “งั้นเรื่องของจ่างจู…”

 

“เจ้าให้เวลาข้าคิดหน่อย” เจียงเจิ้นหยวนเอ่ย “ข้าไม่สะดวกไปบอกเรื่องนี้กับเฉาไทเฮาโดยตรง หาคนกลางจะดีที่สุด ไม่งั้นเฉาไทเฮาไม่ตกลงแล้วยังลากเจ้าออกมาอีก จะกลายเป็นอยากอวดฉลาด แต่สุดท้ายดันทำเรื่องโง่ลงไปแทน ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เราต้องค่อยๆ ปรึกษาหารือกัน…”

 

เจียงเซี่ยนโล่งอก

 

หากท่านลุงรับปากแล้วก็จะต้องทำได้อย่างแน่นอน

 

นางลากท่านลุงไปข้างหนึ่ง และถามเสียงเบาว่า “มีใครเสนอให้คุมขังเฉาไทเฮาหรือไม่?”

 

“ตอนนี้ยังไม่มี” เจียงเจิ้นหยวนรู้สึกว่าหลานสาวแบบนี้น่าสนใจมาก จึงเอ่ยเสียงเบาเลียนแบบนางว่า “ข้าคอยเตือนให้ฝ่าบาทต้องกตัญญูตลอด คนอื่นก็คงลำบากใจที่จะเสนอแล้วเช่นกัน แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป ข้าตกลงกับเสี่ยวโต้วจึที่อยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทแล้ว ต่อไปมีเรื่องอะไรเขาจะบอกข้า…”

 

เจียงเซี่ยนหน้าตาลำบากใจ

 

ชาติก่อนตอนที่นางป้อนสารหนูให้แม่นมฟางก็จับนางในที่เป็นคนรักของเสี่ยวโต้วจึไว้ด้วย นางยังคิดว่าสาเหตุที่เสี่ยวโต้วจึไม่ส่งเสียงเป็นเพราะถูกนางข่มขู่ ที่แท้เสี่ยวโต้วจึก็สมคบคิดกับลุงของนางตั้งนานแล้ว

 

จากตรงนี้ก็มองออกได้เหมือนกันว่าจ้าวอี้นั้นไม่น่าไว้ใจขนาดไหน แม้แต่หัวหน้าขันทีที่ไว้ใจที่สุดข้างกายก็เหยียบเรือสองแคมเช่นกัน

 

เจียงเจิ้นหยวนเห็นนางไม่สบายใจก็หัวเราะเล็กน้อย และเอ่ยว่า “งั้นข้าขอตัวก่อน มีเรื่องอะไร เจ้าก็ให้คนนำข่าวไปบอกข้าแล้วกัน พี่ชายเจ้าก็กลับมาแล้ว ไว้พวกเราเสร็จงานช่วงนี้แล้ว พวกเราทั้งครอบครัวมากินข้าวด้วยกันสักมื้อ”

 

เจียงเซี่ยนพยักหน้า นางยิ้มและมองตามหลังเจียงเจิ้นหยวนจากไป แล้วหันตัวกลับห้องอุ่นตะวันออกของวังฉือหนิง

 

ไทฮองไทเฮากำลังรอเจียงเซี่ยนกลับมาเล่นไพ่อยู่ นางสั่งให้เมิ่งฟางหลิงไปปูโต๊ะแล้วก็ถามเจียงเซี่ยน “ทำไมเจ้าเพิ่งกลับมาตอนนี้? ลุงของเจ้าบอกอะไรเจ้าหรือ?”

 

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเจียงเจิ้นหยวนไม่มีทางบอกอะไรกับเจียงเซี่ยน ทว่าเพียงแค่นางนึกถึงที่จ้าวอี้ให้หวังจ้านเข้าหน่วยองครักษ์และให้เจียงลวี่ไปกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างกั้นอยู่ในอกจนรู้สึกไม่สบายใจ อยากจะพูดออกมาก็รู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดีอีก จึงหวังว่าเจียงเจิ้นหยวนจะสามารถพูดอะไรกับเจียงเซี่ยนได้บ้าง

 

เจียงเซี่ยนรู้ว่าไทฮองไทเฮากังวล ชาติก่อนหลังจากเฉาไทเฮาตาย จ้าวอี้ก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัวอย่างสิ้นเชิง และเคยทำเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรมมากกว่านี้อีก

 

นางลูบมือของท่านยายอย่างแผ่วเบา และปลอบใจนางว่า “ท่านพี่อาจ้านกับท่านพี่อาลวี่เล่นมาด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต เวลานี้ทั้งสองคนยังออกไปล่าสัตว์ด้วยกัน ยังดีกันอยู่เลย! เสด็จยายก็อย่ากังวลไปเลยเพคะ ไม่ใช่ว่าท่านพี่อาจ้านผลักท่านพี่ลวี่ไปกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครสักหน่อย ท่านลุงบอกว่าท่านพี่อาลวี่มีชื่อเสียงตั้งแต่ยังหนุ่ม เกรงว่าต่อไปจะเย่อหยิ่งทะนงตน จึงตั้งใจโยนเขาไปดัดนิสัยที่กองบัญชาการปัญจทิศรักษานครเพคะ”

 

ไทฮองไทเฮาเหมือนยกภูเขาออกจากอก

 

เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ

 

ท่านยายจะมีชีวิตอยู่อีกไม่ถึงสองปีแล้ว

 

ไม่กี่วันก่อนนางยังเชิญหมอหลวงเถียนมาตรวจชีพจรปกติให้ท่านยายด้วย บอกว่าปกติดีทุกอย่าง แสดงว่าท่านยายถึงวัยและถึงเวลาแล้ว

 

งั้นก็ฉวยโอกาสช่วงที่ท่านยายยังอยู่กตัญญูต่อนางให้มากแล้วกัน!

 

เจียงเซี่ยนครุ่นคิดอยู่ในใจ แล้วก็อยู่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮา เล่นไพ่ สวดมนต์ คัดคัมภีร์ และอ่านหนังสือให้นางฟังอย่างอดทนมาก

 

ไม่นานเวลาก็ล่วงเข้าสู่เดือนสิบสองแล้ว

 

จ้าวอี้มาคารวะไทฮองไทเฮาเป็นครั้งที่สองหลังจากว่าราชการด้วยตนเอง

 

เจียงเซี่ยนหลบอยู่ในห้องของตนเองไม่ออกไป

 

ทว่าจ้าวอี้กลับมาหาโดยไม่ให้ใครรายงาน

 

เห็นนางอ่านหนังสือและพิงเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างอย่างเกียจคร้าน ทั้งหน้าขาวราวกับหิมะจนไม่มีสีแม้แต่นิดเดียว เขาก็รู้สึกไม่สบายใจมาก จึงหยิบหนังสือที่อยู่ใกล้มือนางมาดูชื่อเรื่อง และพบว่าเป็นนิยายที่แทรกโคลงประกอบดนตรีและเพลงเอาไว้ด้วย ความไม่สบายใจในใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธจัด

 

เขาโยนหนังสือลงบนพื้น และเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “เวลานี้แล้ว เจ้ายังมีกะจิตกะใจอ่านของแบบนี้ เจ้ากินดีอยู่ดีจึงไม่สนใจอะไรแล้วใช่หรือไม่…”

 

เป็นบ้าไปแล้วหรือ?

 

เจียงเซี่ยนมองเขาตาขวาง

 

ขันทีและนางในที่รับใช้ในห้องพากันคุกเข่าลงหมด

 

เจียงเซี่ยนสั่งไป่เจี๋ยอย่างเรียบเฉย “เก็บหนังสือของข้าขึ้นมา”

 

จ้าวอี้จ้องกลับไป

 

ไป่เจี๋ยตกใจจนตัวสั่นไม่หยุด เก็บก็ผิด ไม่เก็บก็ผิด นางมองเจียงเซี่ยนอย่างเสียใจ

 

เจียงเซี่ยนโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาออกไปให้หมด และถามจ้าวอี้อย่างเย็นชา “ที่นี่คือวังฉือหนิง ไม่ใช่วังเฉียนชิงของฝ่าบาท ฝ่าบาทจะระบายอารมณ์ก็กลับไประบายอารมณ์ที่ของฝ่าบาทเองนู่น! อย่ามาใช้หม่อมฉันเป็นเครื่องมือ”

 

จ้าวอี้ได้ยินก็โกรธจนผ่อนลมหายใจออกมา และเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ใช้เจ้าเป็นเครื่องมือ ข้า…ข้าก็แค่อารมณ์ไม่ดี”

 

“นี่ยังไม่ถือว่าใช้หม่อมฉันเป็นเครื่องมือ? งั้นฝ่าบาทยังต้องการอะไรอีก?” เจียงเซี่ยนประชดอย่างไม่พอใจ

 

จ้าวอี้กวาดภาชนะเครื่องเคลือบทั้งหมดบนโต๊ะของนางลงไปบนพื้น และเอ่ยด้วยความโกรธจนหน้าเขียวว่า “เสด็จแม่พาคนสกุลฟาง…พานางไปภูเขาวั่นโซ่วแล้ว ข้าหาไม่เจอจริงๆ ว่านางอยู่ที่ไหน?”

 

———————————-