ภาคที่ 2 บทที่ 91 สิ่งของ

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนหรี่ตามองจ้าวอี้ ประกายความเย็นชาเหมือนคมดาบแล่นผ่านไปในดวงตา

 

นางค่อยๆ เอ่ยว่า “คนสกุลฟาง? ฝ่าบาทเรียกแม่นมของฝ่าบาทว่าคนสกุลฟาง?”

 

จ้าวอี้ตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าซีดเผือด

 

ในห้องเงียบกริบจนไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว และกดดันจนทำให้คนขาดอากาศหายใจ

 

ทว่าความเงียบนี้ก็เป็นเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น จ้าวอี้ก็หัวเราะขึ้นมา และทำลายความเงียบในห้องด้วยการเอ่ยว่า “เจ้ายังไม่ยอมรับว่าเจ้าใจแคบอีก เจ้าดูสิ ข้าร้อนใจขนาดนี้ เจ้ากลับเอาแต่จับผิดข้า ข้าแค่พูดผิดไปประโยคหนึ่ง เจ้าทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้ ยังต้องชี้ให้เห็นให้ได้อีก…”

 

เจียงเซี่ยนอยากหยิบกระจกมาให้จ้าวอี้ลองส่องมาก ให้เขาดูสีหน้านิ่งสนิทและไม่เป็นธรรมชาติของเขาในเวลานี้

 

แต่นางก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น

 

ในเมื่อปล่อยวางแล้วก็ต้องปล่อยวาง

 

นางบอกตนเอง แล้วตะโกนเรียกฉิงเค่อเข้ามาเสียงดัง ชี้เศษของแตกบนพื้น พลางเอ่ยว่า “เก็บกวาดเสีย จดรายชื่อแล้วเอาไปให้กรมวังลงบันทึก” แล้วเอ่ยกับจ้าวอี้ว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาททำของในห้องของหม่อมฉันแตกหมดแล้ว อย่างไรก็ให้ห้องของหม่อมฉันไม่มีแม้แต่ถ้วยชาสำหรับดื่มชาไม่ได้กระมัง? ฝ่าบาทต้องชดใช้ให้หม่อมฉัน! ต้องให้หม่อมฉันเลือกของในท้องพระคลังของฝ่าบาทได้ตามใจชอบ!”

 

จ้าวอี้เพิ่งจะได้ของสะสมมาจากท้องพระคลังของเฉาไทเฮา สวมเสื้อผ้าสวยงามเดินในค่ำคืนที่มืดมิด ไม่มีสถานที่ที่คุยสักแห่ง พอได้ยินก็รู้สึกในทันใดว่าแม้เจียงเซี่ยนจะกำเริบเสิบสาน ทว่าก็ไม่ขัดหูขัดตาเขาที่สุด จึงยิ้มเป็นพระจันทร์เสี้ยวทันที และเอ่ยหลายครั้งว่า “เจ้าเลือกได้ตามสบาย เจ้าเลือกได้ตามสบาย ของในท้องพระคลังของข้าเจ้าเลือกได้ตามสบายเลย” แถมยังเสนอความคิดให้นาง “ข้าเพิ่งจะได้หยกเหอเถียนแกะสลักที่หายากมากมา ด้านบนเป็นสีชมพูแกะสลักเป็นป่าต้นท้อ ตรงกลางเป็นสีขาวทำเป็นพื้นที่ว่าง ด้านล่างเป็นสีน้ำเงินอมเขียวแกะสลักเป็นนาข้าว ฝีมือแกะสลักประณีตมาก เดี๋ยวข้าให้เจ้าดู”

 

เจียงเซี่ยนรู้จักหยกแกะสลักชิ้นนี้

 

ชาติก่อนจ้าวอี้ให้คนสกุลฟางเป็นรางวัล คนสกุลฟางตั้งชื่อให้มันว่า ‘ธารดอกท้อ’ แล้วก็วางไว้บนโต๊ะชาของเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างในตำหนักของนาง

 

ตอนหลังคนสกุลฟางตายไป นางไม่ได้ถามก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหยกแกะสลักชิ้นนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว

 

นางได้ยินแล้วก็รู้สึกรังเกียจ

 

ทว่าคำพูดของจ้าวอี้ก็เตือนนางเช่นกันว่า ไม่ช้าก็เร็วนางต้องออกไปจากวัง มีของที่นางใช้ประจำหลายอย่างที่นางตัดสินใจจะนำพวกมันออกไปจากวังด้วย

 

เจียงเซี่ยนเลิกคิ้วถามจ้าวอี้ “ให้หม่อมฉันดูหรือมอบให้หม่อมฉัน?”

 

สองประโยคนี้แตกต่างกัน

 

ประโยคแรกเพียงแค่ให้เจ้ามีไว้ แต่ไม่ใช่สมบัติของเจ้า

 

ประโยคหลังคือมอบให้เจ้า และเป็นของของเจ้าเองแล้ว

 

จ้าวอี้ทำเหมือนที่เจียงเซี่ยนคิด เขาเอ่ยทันทีโดยไม่คิดด้วยซ้ำ เพื่อแสดงความใจกว้างของตนเองว่า “แน่นอนว่ามอบให้เจ้าอยู่แล้ว! ข้าจะให้ท้องพระคลังลงบัญชีไว้”

 

ใช้ได้นี่นา!

 

สีหน้าของเจียงเซี่ยนคลายความโกรธไปเล็กน้อย

 

จ้าวอี้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก จึงเริ่มเอ่ยเรื่องของคนสกุลฟางอีกครั้ง “เจ้าว่า เสด็จแม่จะทำอะไรกันแน่? แม่นมฟางดูแลข้ามานานขนาดนี้ แม้จะไม่มีความดีความชอบ แต่ก็ทุ่มเททำงานอย่างหนัก หากจะแต่งตั้งตำแหน่งให้เป็นรางวัล ก็แต่งตั้งไปเลย ถ้าเป็นเรื่องอื่น…” เขาอาจจะคิดถึงอะไรบางอย่าง สายตาจึงมืดมน “ก็ต้องบอกข้าสักคำ…ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ขาดนางไม่ได้…ถึงข้าจะตกลง เหล่าราชเลขาธิการในราชสำนักก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดีนี่นา…”

 

“งั้นฝ่าบาทมาหาหม่อมฉันทำไม?” เจียงเซี่ยนได้ยินเขาบ่นเหมือนผู้หญิงก็รำคาญ “ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ ส่งคนไปถามไทเฮาก็จบแล้ว ฝ่าบาทดูพระองค์เองตอนนี้สิว่าเหมือนอะไร?”

 

นางยังไม่ทันได้พูด จ้าวอี้ก็ตาสว่างแล้ว และเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าเป็นฮ่องเต้ ส่งคนไปถามก็จบแล้ว พวกเขายังกล้าไม่บอกข้างั้นหรือ?”

 

ไม่กล้าปิดบังเจ้า แต่หลอกเจ้าได้!

 

เจียงเซี่ยนพึมพำในใจ

 

ทว่าจ้าวอี้กลับเหมือนได้ความคิดดีแล้ว จึงเรียกซุนเต๋อกงเข้ามาเสียงดัง และให้เขาไปถามที่อยู่ของคนสกุลฟางที่ภูเขาวั่นโซ่ว ส่วนจ้าวอี้เองก็รีบหันตัวจะกลับวังเฉียนชิง

 

เจียงเซี่ยนยิ้มเยาะ พลางเอ่ยว่า “คนอื่นบอกว่าบ่าวสาวเข้าหอแล้ว โยนแม่สื่อข้ามกำแพง[1] นี่ฝ่าบาทยังไม่ได้เป็นเจ้าบ่าวก็ทิ้งแม่สื่ออย่างหม่อมฉันไว้ข้างๆ แล้ว…ของที่ฝ่าบาทรับปากหม่อมฉันล่ะเพคะ?”

 

“โอ้!” จ้าวอี้ตบหน้าผาก ท่าทางลืมแล้ว และรีบสั่งให้เสี่ยวโต้วจึพาฉิงเค่อไปเลือกของที่ท้องพระคลังของเขา เขาต้องรีบรับกลับไปอนุมัติฎีกาที่วังเฉียนชิง

 

เจียงเซี่ยนยังรั้งเขาไว้งั้นหรือ!

 

นางทำตามความทรงจำในอดีต จดรายการของที่อยากเอาไปมอบให้ฉิงเค่อ และให้ฉิงเค่อตามเสี่ยวโต้วจึไปหยิบของในท้องพระคลัง

 

แม้เสี่ยวโต้วจึจะรู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าบางทีของพวกนี้อาจจะเป็นของที่เมื่อก่อนเจียงเซี่ยนเคยเห็นที่ตำหนักของเฉาไทเฮาและหมายตาไว้ จึงกดความแปลกใจอันเจือจางนั้นลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจ และนำฉิงเค่อไปยังท้องพระคลัง

 

 

ถึงตอนกลางคืน ตำหนักของเจียงเซี่ยนก็คึกคักขึ้นมา

 

‘หิมะหยุดตรงดั่งใจ’ ของหวังซีจือ ‘ภาพสระน้ำปลายฤดูใบไม้ร่วง’ ของจ้าวจี๋ ‘ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’ ที่พระถังซัมจั๋งอธิบายด้วยตนเองเล่มหนึ่ง ‘ตำราเกี่ยวกับชา’ เรื่องหนึ่ง ‘คู่มือกล้วยไม้’ เล่มหนึ่ง ไหและคนโทสีเขียวฟ้าที่หรู่เหยาผลิตออกมาชุดหนึ่ง ไข่มุกเรืองแสงขนาดเท่าไข่ห่านสองเม็ด จานฝนหมึกเถา[2]ชิ้นหนึ่ง จานฝนหมึกตวน[3]หนึ่งชิ้น…ยังมีหยกไขมันแพะที่แกะสลักเป็นทรงดอกบัวและรากบัวสีขาวนวลชิ้นหนึ่ง มากมาย ไม่น้อยกว่าสี่สิบหรือห้าสิบชิ้น

 

ไทฮองไทเฮาอดที่จะเบิกตาโตไม่ได้ และเอ่ยว่า “เป่าหนิง นี่เจ้าจะย้ายบ้านหรือ?”

 

ส่วนไทฮองไท่เฟยกลับรู้สึกว่าดอกบัวและรากบัวสีขาวนวลชิ้นนั้นสวยมาก จึงเข้ามาลูบใบบัวสีเขียวขจีที่งอกอยู่บนรากบัวนั้น และยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮา ทอดพระเนตรสิเพคะ ใต้ดอกบัวข้างใบบัวยังมีแห้วสีดำห้อยอยู่หลายลูกด้วย เหมือนเพิ่งดึงขึ้นมาจากน้ำ แวววาว และฝีมือประณีตมากจริงๆ”

 

เจียงเซี่ยนหัวเราะและเอ่ยว่า “งามใช่ไหมล่ะเพคะ! ถึงเวลานั้นค่อยหาโถกระจกใสสักชิ้น เติมน้ำและวางลงไป ดูไกลๆ ก็เหมือนกับของจริง”

 

เมื่อก่อนนางอนุมัติฎีกาจนเหนื่อยแล้วก็จะเดินไปดูดอกบัวนี้หน้าชั้นวางของ นางยังตั้งชื่อให้หยกแกะสลักชิ้นนี้ด้วยว่า ‘มหาสมุทรไร้เกลียวคลื่น’…

 

คิดถึงตรงนี้ นางก็เหลือบตาลง

 

ไทฮองไทเฮาถูกพวกไทฮองไท่เฟยพยุงไปดูดอกบัวและรากบัวสีขาวนวลชิ้นนั้นหน้าโต๊ะ แต่ไป๋ซู่กลับบีบมือนางเบาๆ และเอ่ยอย่างกังวลว่า “เป่าหนิง เจ้ามีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า?”

 

ในภาพจำของนาง เจียงเซี่ยนไม่ค่อยสนใจของนอกกายนัก เครื่องประดับเงินทองก็ดี หรือข้าวของเครื่องใช้ก็ตาม หากคนที่รับใช้ข้างกายชอบก็จะให้เป็นรางวัลไปเสียหมด

 

ทว่าครั้งนี้นางกลับขอของมาจากจ้าวอี้เยอะขนาดนี้ ถึงแม้บางชิ้นจะมีค่ามาก บางชิ้นจะธรรมดามาก…

 

เจียงเซี่ยนเพียงแค่ไม่ชอบทิ้งของของตนเองไว้ในวังให้คนทำลายเท่านั้นเอง

 

แต่ความรู้สึกแบบนี้คนอื่นจะรู้ได้อย่างไร?

 

นางเม้มปากยิ้ม และเอ่ยว่า “เห็นว่าดีก็เลยเอามาใช้น่ะสิ! ข้าก็ไม่ได้เอาต้นปะการังกับโคมไฟปี้สี่ในท้องพระคลังของฝ่าบาทมาเสียหน่อย”

 

ไป๋ซู่ได้ยินก็ยิ้มตลอด และเอ่ยว่า “เจ้าน่ะ ชักจะเอาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ ท้องพระคลังของฝ่าบาทก็กล้าย้ายของ ตอนนี้ฝ่าบาทไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

 

เจียงเซี่ยนแค่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร และให้คนเก็บของทั้งหมดให้เรียบร้อย เหลือแค่ ‘ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’ ไว้คัดคัมภีร์เป็นครั้งคราว

 

เพียงชั่วพริบตาก็ถึงวันที่ห้าแล้ว ว่ากันว่าซุนเต๋อกงกลับมามือเปล่า เฉาไทเฮาไม่ยอมรับว่าคนสกุลฟางอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วอย่างเด็ดขาด จ้าวอี้ตัดสินใจฉลองเทศกาลล่าปา[4]กับเฉาไทเฮาที่ภูเขาวั่นโซ่ว

 

ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางส่งสาส์นเข้ามาว่า อยากรับเจียงเซี่ยนกลับไปฉลองเทศกาลล่าปาที่จวนเจิ้นกั๋วกง

 

แม้ไทฮองไทเฮาจะไม่อยากให้ไป ทว่าก็ยังอนุญาต

 

ถึงเวลานั้นไป๋ซู่ก็จะกลับบ้านเหมือนกัน วังฉือหนิงก็เหลือเพียงไทฮองไทเฮาและไทฮองไท่เฟยแล้ว

 

เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็รู้สึกโดดเดี่ยว นางจึงนัดกับไป๋ซู่ว่าวันที่แปดกินโจ๊กล่าปาแล้วจะกลับวังมารับประทานอาหารค่ำพร้อมกับไทฮองไทเฮาและไทฮองไท่เฟย

 

———————————–

 

 

[1] บ่าวสาวเข้าหอแล้ว โยนแม่สื่อข้ามกำแพง หมายถึง หลังแต่งงานก็ลืมแม่สื่อไปอย่างง่ายดาย

 

[2] จานฝนหมึกเถา จานฝนหมึกที่ทำจากหินสีเขียวคุณภาพดีจากแม่น้ำเถา

 

[3] จานฝนหมึกตวน จานฝนหมึกที่ทำจากหินลำธารตวน อำเภอเกาเย่า

 

[4] เทศกาลล่าปา ตรงกับวันที่ 8 เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน