ไป๋ซู่ตกลงอย่างดีใจ
ถึงวันที่หก เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ก็เริ่มเก็บสัมภาระ
หิมะเริ่มตกและปลิวว่อนในอากาศ เกล็ดหิมะเหมือนขนปุยสีขาวของเมล็ดพันธุ์หลิวในเดือนสาม พอตกลงบนพื้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ว้าว!” ไป่เจี๋ยดื้อวิ่งไปยื่นมือรับเกล็ดหิมะเหล่านั้นใต้ชายคา “นี่เป็นหิมะที่ตกรอบแรกของปีนี้เลย!”
เมิ่งฟางหลิงที่รับคำสั่งจากไทฮองไทเฮาให้มาช่วยเจียงเซี่ยนเก็บสัมภาระได้ยินก็เอ่ยว่า “หิมะในฤดูหนาวที่เหมาะกับเวลาเป็นสัญญาณบอกว่าปีที่จะมาถึงเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์ อีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว หากหิมะยังไม่ตก ก็เกรงว่าปีหน้าเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วจะไม่ใช่ปีที่อุดมสมบูรณ์”
คำพูดของนางทำให้เจียงเซี่ยนอึ้งไป
ในความทรงจำของนาง ปีหน้าไม่ใช่ปีที่อุดมสมบูรณ์จริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่ใช่ปีที่อุดมสมบูรณ์ พอถึงฤดูกาลที่ต้องหว่านเมล็ดแล้ว อากาศกลับหนาวขึ้นมาอีก หิมะตกติดต่อกันหลายครั้ง จนถึงวันมังกรเชิดหัววันที่สองเดือนสองถึงจะหยุด การไถดินเพื่อเตรียมการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิของทั้งภาคเหนือถูกเลื่อนออกไปหมด เหลียวตงพื้นที่ของอ๋องเหลียวได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง อ๋องเหลียวยังเคยเขียนฎีกาสำหรับเรื่องนี้โดยเฉพาะเพื่อขอให้ราชสำนักเปิดยุ้งฉางแจกจ่ายเสบียงอาหารช่วยเหลือ ทว่าสุดท้ายจ้าวอี้ไม่อนุญาต…
ไม่รู้ว่าครั้งนี้ภูเขาจะเป็นอย่างไร?
เจียงเซี่ยนยืนอยู่ข้างหน้าต่างที่ฉลุลาย กำลังเหม่อมองเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนในอากาศ ก็เห็นเสี่ยวโต้วจึพาขันทีสองคนวิ่งเหยาะๆ ฝ่าหิมะมาตลอดทาง
นางอดที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
มีนางในเข้ามารายงานแล้ว
เจียงเซี่ยนให้เขาเข้ามา
เสี่ยวโต้วจึรีบเข้ามาคารวะนาง และเอ่ยว่า “ข้ารับคำสั่งมาจากฝ่าบาท อยากเชิญท่านหญิงไปเยี่ยมไทเฮาที่ภูเขาวั่นโซ่วกับฝ่าบาทขอรับ”
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าไม่อาจปฏิบัติกับจ้าวอี้เหมือนคนปกติได้แล้ว
นางเอ่ยว่า “เจ้าไปทูลฝ่าบาทว่าเขาบอกช้าไปแล้ว ข้ารับปากป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าว่าจะกลับไปฉลองเทศกาลล่าปาที่จวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว”
เสี่ยวโต้วจึนึกถึงที่ฮ่องเต้เปิดท้องพระคลังของตนเองเพื่อมอบของเอาใจเจียงเซี่ยน ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่ประโยคเดียว จึงขานรับว่า “ขอรับ” อย่างนอบน้อม และกลับไปรายงาน
เจียงเซี่ยนก็เร่งให้ไป๋ซู่ไปเร็วหน่อย “ไม่รู้ว่าเขาสมองผิดปกติตรงไหน จะให้ข้าไปฉลองเทศกาลล่าปากับเฉาไทเฮาที่ภูเขาวั่นโซ่วเป็นเพื่อนเขา ตอนที่เฉาไทเฮาว่าราชการแทนก็ไม่หน้าหนาขนาดนี้ ตอนนี้เขากลับคิดจะให้ข้าทิ้งไทฮองไทเฮาไปอยู่เป็นเพื่อนไทเฮาให้เขา…ข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว”
ไป๋ซู่ได้ยินก็ตกใจมาก กลัวว่าชักช้าแล้วสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงรีบลากนางไปรายงานไทฮองไทเฮา พอได้รับความเห็นชอบจากไทฮองไทเฮาแล้ว ทั้งสองคนก็รีบออกจากวัง
จวนเจิ้นกั๋วกงอยู่ที่ตรอกเสี่ยวฉือยงข้างพระราชวังต้องห้ามไม่ไกลนัก ทว่าจวนติ้งเป่ยโหวกลับอยู่ที่ตรอกเหรินโซ่ว ที่หนึ่งอยู่ทางตะวันตก อีกที่หนึ่งอยู่ทางเหนือ พวกนางออกทางประตูเสินอู่แล้วคุยกันสองสามคำว่า “รีบกลับนะ” ก็แยกกัน
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เจียงเซี่ยนก็ถึงจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว
เดิมทีจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นเพียงบ้านที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นสี่ส่วนและมีทางเข้าออกสองทาง ตอนที่องค์หญิงหย่งอันแต่งงาน ไทฮองไทเฮาคิดว่าตระกูลเจียงก็มีกันเพียงสองคนพี่น้อง อาศัยอยู่ใกล้กันหน่อย เวลาปกติจะได้ดูแลกันและกัน จึงให้กรมวังซื้อบ้านที่แบ่งพื้นที่เป็นสามส่วนและมีทางเข้าออกสองทางด้านตะวันออกของจวนเจิ้นกั๋วกงทำเป็นจวนองค์หญิงให้องค์หญิงหย่งอัน หลังจากองค์หญิงหย่งอันกับเจียงเจิ้นอิงแต่งงาน ก็ทำให้สวนดอกไม้ทั้งสองฝั่งทะลุถึงกัน ทั้งสองบ้านจึงไม่จำเป็นต้องออกจากจวนก็สามารถไปนั่งคุยเล่นที่บ้านของกันและกันได้ หลังจากเจียงเจิ้นอิงกับองค์หญิงหย่งอันเสียชีวิต ฮ่องเต้องค์ก่อนออกราชโองการ บ้านทางฝั่งตะวันออกนี้จึงกลายเป็นจวนท่านหญิงเจียงเซี่ยน นอกจากแผ่นป้ายที่แขวนอยู่เหนือประตูแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งปกติจวนเจิ้นกั๋วกงก็ช่วยดูแลแทน
รถม้าของเจียงเซี่ยนยังคงเข้าไปทางประตูข้างของจวนเจิ้นกั๋วกงเช่นเดิม และจอดลงหน้าประตูฉุยฮวา[1]
ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงได้รับข่าวแล้ว จึงพาเหล่าพ่อบ้านและแม่บ้านที่ค่อนข้างหน้าตาดีในจวนมาต้อนรับนางหน้าประตูฉุยฮวา
เจียงเซี่ยนเข้าไปคารวะและทักทายฝางจื่อชิงฮูหยินแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง เจียงเซี่ยนมุ่งหน้าไปยังจวนองค์หญิงที่อยู่ข้างๆ ระหว่างทางป้าสะใภ้ใหญ่ก็พูดถึงงานเลี้ยงของสมาชิกในครอบครัวครั้งนี้ “เป็นความคิดของลุงเจ้า บอกว่าปีนี้หาได้ยากที่จะอยู่กันทุกคน และยังเชิญครอบครัวของอาเจ็ดกับอาสิบหกมาด้วย”
ตระกูลเจียงจัดลำดับตามอายุของคนในรุ่นเดียวกัน อาเจ็ดเป็นบิดาของเจียงหาน อาสิบหกเป็นบิดาของเจียงจ้ง เจียงหานปีนี้อายุสิบห้าปี แม่แท้ๆ เสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร แม่เลี้ยงยังน้องสาวอีกคนหนึ่งชื่อเจียงอวิ้น ปีนี้อายุเจ็ดขวบ แต่เจียงจ้งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัว ปีนี้อายุสิบสามปี ปีเดียวกับเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนยิ้มและเอ่ยว่า “ทำไมครั้งนี้ท่านลุงถึงมีความสุขมากขนาดนี้?”
ฝางจื่อชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากเฉาไทเฮาประทับที่ภูเขาวั่นโซ่ว ลุงใหญ่ของเจ้าก็อารมณ์ดีมากมาตลอด ไม่กี่วันก่อนยังอารมณ์ดีมากจนไปเฟิงไถมารอบหนึ่ง ซื้อส้มจี๊ดกับดอกดารารัตน์กลับมาเยอะมาก บอกว่าตอนที่ฉลองปีใหม่ปีนี้ก็ต้องให้บรรยากาศคึกคักและฉลองด้วยกันสามครอบครัวเหมือนเดิม!”
“คนเยอะก็ย่อมคึกคักหน่อย” เจียงเซี่ยนเอ่ยพลางระลึกความทรงจำ “มีอยู่ปีหนึ่งที่พวกเราสามครอบครัวฉลองปีใหม่ด้วยกัน ท่านลุงใหญ่ยังบอกให้พวกเราทำโคมไฟที่ตกแต่งสีสันสวยงาม และจัดเทศกาลโคมไฟในบ้านด้วย!”
“เขาก็ชอบพาพวกเจ้าทำอะไรตามใจชอบ” ฝางจื่อชิงพึมพำ ทว่าในน้ำเสียงกลับมีความสุขและความภาคภูมิใจจนปิดไม่มิด
มีคนแบบนี้ชอบตนเองคงจะรู้สึกมีความสุขมาก แต่ก็หาได้ยากมากเช่นกันกระมัง?
เจียงเซี่ยนดีใจแทนลุงของตนเอง
คนทั้งกลุ่มผ่านสวนดอกไม้ไปที่เรือนหลักของจวนองค์หญิง
ในเรือนเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว พอเลิกม่านเข้าไป ไอร้อนก็ปะทะหน้า เหมือนถึงเดือนสามแล้ว
ฝางจื่อชิงเร่งให้นางพักผ่อนสักครู่ “…เส้นทางขรุขระตลอดทาง เหนื่อยแย่แล้วหรือไม่? รีบหวีผมล้างหน้า แล้วนอนสักตื่น พวกเรารอลุงกับพี่ใหญ่ของเจ้าเลิกงานและรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน เจ้าว่าได้หรือไม่?”
“ได้เจ้าค่ะ!” ตระกูลเจียงมีอาหารจานเด็ดของตนเอง ซึ่งอร่อยมากทุกอย่าง
ฝางจื่อชิงจึงทิ้งแม่บ้านของจวนองค์หญิงไว้ และกลับไปที่เรือนหลักของจวนเจิ้นกั๋วกง
เจียงเซี่ยนอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นเสื้อซับใน ไม่นานก็หลับสนิท จนกระทั่งป้าสะใภ้ใหญ่ส่งคนมาบอกว่าเจียงเจิ้นหยวนกับเจียงลวี่ต่างกลับจวนแล้ว นางถึงหวีผม ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ และไปที่เรือนหลักของจวนเจิ้นกั๋วกง
เจียงลวี่เจอนางก็ดีใจมาก เขาหัวเราะและคุยกับนางเรื่องอับอายของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครอยู่นานมาก ตลกจนฝางจื่อชิงที่บางครั้งได้ยินด้วยหูข้างเดียวก็หัวเราะตามไปด้วย
ทั้งครอบครัวรับประทานอาหารเย็นอย่างมีความสุข และย้ายไปดื่มชาที่ห้องพักผ่อน
เจียงเจิ้นหยวนไล่คนรับใช้ในห้องออกไป และถามเจียงเซี่ยนอย่างจริงจัง “เป่าหนิง เดิมทีเรื่องนี้ไม่ควรพูดต่อหน้าเจ้า แต่เจ้าเป็นเด็กที่มีความคิด ข้าจึงคิดว่าลองถามเจ้าดีกว่า…เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องแต่งงานของตนเอง?”
ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงกับเจียงลวี่ต่างจ้องมองนาง
เจียงเซี่ยนไม่ได้เขินอายเหมือนผู้หญิงทั่วไป นางตั้งใจคิดอยู่พักหนึ่ง ก็คิดไม่ออกว่าสามีในอนาคตจะหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่
นางถึงพบว่าเป็นคนมาสองครั้งแล้ว นางกลับไม่เคยชอบผู้ชายเหมือนไป๋ซู่ หานถงซิน หรือคุณหนูใหญ่ไช่เลย
ทว่าตอนที่ความคิดนี้ฉายวาบผ่านไป เงาของหลี่เชียนกลับเข้ามาในใจนางในทันใด
นางรีบส่ายหน้า ไล่เงานี้ออกไปจากความทรงจำ
เขาอาจจะเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุด แม่ทัพที่ดีที่สุด หรือขุนนางที่วางกลยุทธ์ดีที่สุด…แต่ไม่ใช่สามีที่ดีที่สุด
ตัวเขาแบกสกุลหลี่และชีวิตของตนเองกับคนในครอบครัวจำนวนมากมายอยู่ เวลาที่เทียบสิ่งเหล่านี้กับนาง นางก็กลายเป็นเบาดุจขนห่านป่า
ความคิดเช่นนี้ก็ฉายวาบผ่านไปในใจนางอย่างกะทันหันเหมือนเงาร่างของหลี่เชียนเช่นกัน
เจียงเซี่ยนมือสั่นเล็กน้อย
ชาติก่อนตอนที่หลี่เชียนบุกเข้ามาในวังฉือหนิง นางก็รู้อยู่แก่ใจแล้วใช่หรือไม่?
เพียงแต่หลอกตนเอง และไม่อยากยอมรับก็เท่านั้น
ไม่อยากยอมรับว่าในใจของหลี่เชียนมีสิ่งที่สำคัญมากกว่านาง
ไม่ว่านางให้เขาเท่าไร เขาก็ไม่มีทางเลือกนาง
ดังนั้นนางจึงไม่เคยเกลียดคนสกุลฟางที่หลอกนาง จ้าวอี้ที่ทรยศนาง จ้าวเซี่ยวที่ดูถูกนาง และจ้าวสี่ที่วางยาพิษฆ่านางจริงๆ …เกลียดก็แต่หลี่เชียน
เกลียดจนทุกครั้งที่เจอหลี่เชียนก็อดที่จะรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้
ทว่าความเกลียดนี้ก็เพียงแค่เกลียดที่เขาไม่ใส่ใจนางเท่านั้น
เกลียดที่เขาแสร้งทำเป็นมีน้ำใจกับคนอื่น ปฏิบัติกับนางเหมือนดอกไม้ที่อยู่ในกระจกและพระจันทร์ที่อยู่ในน้ำ ทนการคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าและความยากลำบากไม่ไหว…
เจียงเซี่ยนเจ็บปวดเหมือนถูกมีดคว้าน จึงไม่อาจควบคุมความรู้สึกของตนเองไว้ได้อีก น้ำตาร่วงลงมาหยดใหญ่ๆ เหมือนไข่มุก และไม่นานก็ทำให้สายตาพร่าเลือน
————————————
[1] ประตูฉุยฮวา ประตูที่เป็นเส้นแบ่งเขตและทางที่เชื่อมถึงกันเพียงแห่งเดียวระหว่างเรือนด้านในกับเรือนด้านนอกของเรือนสี่ประสาน