หลังเขาที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดถึง ที่จริงแล้วก็คือภูเขาร้างที่ติดด้านหลังของหมู่บ้าน เนื่องจากบนภูเขาไม่มีต้นไม้ที่มีราคาอะไร ส่วนมากเป็นวัชพืชและก้อนกรวด ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีคนขึ้นไปด้านบน ภูเขาไม่ได้ใหญ่มาก เทียบกับเขาขุยซานที่เป็นที่ตั้งของชิงหยางแล้วก็เล็กอยู่ไม่น้อย
ผู้ดูแลและหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่า หลังจากเหล่าเทียนซือที่หายไป พวกเขาได้รวมคนในหมู่บ้านจำนวนมากขึ้นเขามาตามหา แต่กลับหาไม่เจอ ตามทางที่พวกเขาเดินมายังสามารถเห็นร่องรอยของการตามหาคนก่อนหน้านี้ ทั้งสามคนเดินตามเส้นทางเล็กที่มีอยู่จากการเดินของคนก่อนหน้านี้ ไม่ได้ใช้แรงมากก็ปีนขึ้นไปถึงยอดเขา อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ร่องรอยน่าสงสัยยังไม่มี
“เจ้าหนู” ไป๋อวี้หันไปมองคนด้านข้าง เดาว่า “หรือว่าปีศาจตัวนั้นหนีไปแล้ว?”
“ไม่แน่” อวิ๋นเจี่ยวมองไปรอบด้าน อาจเป็นเพราะยืนอยู่ที่สูง หมู่บ้านด้านล่างเขาเล็กราวกับกระดานหมาก นางตะลึงไป ก่อนจะครุ่นคิดเวลาที่เดินขึ้นเขามา จากนั้นนางนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วพูดว่า “ท่านได้เอายันต์ทำลายภาพบังตามาไหม”
“ยันต์ทำลายภาพบังตา?” ไป๋อวี้ผงะ “ยันต์ไก่อ่อนเช่นนั้นเอามาทำไม” ยันต์ทำลายภาพบังตาเป็นยันต์ขั้นต่ำกว่ายันต์ขจัดมารเสียอีก ปกติแล้วมีแต่ผีที่อ่อนแอมากเท่านั้นถึงจะใช้ภาพบังตาหลอกคน หากคนที่มีสติมั่นคงแน่วแน่ก็จะไม่ถูกหลอกจากภาพลวงเหล่านั้น แต่ว่าเจ้าหนูถามเช่นนี้จะต้องมีประโยชน์เป็นแน่ เขาครุ่นคิดก่อนจะเสริมขึ้น “ยันต์ทำลายภาพบังตาไม่มี มีแต่ยันต์เสียงสะเทือนได้หรือไม่”
ยันต์เสียงสะเทือนเป็นยันต์ประเภทใช้เสียงในการโจมตี เสียงที่ส่งออกมาเพียงพอที่จะทำลายภาพลวงตาต่างๆ
“ได้ ให้ข้าใบหนึ่ง” อวิ๋นเจี่ยวยื่นมือออกไป
ไป๋อวี้รีบควักยันต์ออกจากกระเป๋าหนึ่งใบ ก่อนจะส่งออกไป จากนั้นจึงถามขึ้น “เจ้าพบอะไร”
“ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจ” อวิ๋นเจี่ยวรับมาพลางตอบ “ลองก่อนค่อยว่ากัน”
พูดจบก็โบกยันต์เสียงสะเทือนในมือขึ้น ทันใดนั้นเสียงระฆังที่ดังกระแทกหูก็ดังขึ้นจากบนยอดเขา ต๊ง! เสียงนั้นก้องไปทั่วทั้งภูเขา ยันต์นั้นส่งคลื่นเสียงที่มองไม่เห็นออกไปรอบด้าน
พืชพรรณและกรวดหินที่อยู่รอบด้านตกลงมาและกลิ้งออกไป คลื่นเสียงซัดลงไปยังด้านล่างของภูเขา แต่หยุดอยู่กลางภูเขาอย่างกะทันหัน ราวกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างขวางเอาไว้ มิติบิดเบี้ยวไป กระจายออกไปทีละชั้นเหมือนคลื่นน้ำ ทอดยาวไปทางด้านบน ก่อตัวเป็นส่วนโค้งโปร่งใส ส่วนโค้งนั้นครอบคลุมตำแหน่งบริเวณกลางเขาไว้พอดี
“นี่…อะไร” ไป๋อวี้งงงวย คลื่นนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่เคยมีมาก่อน
อวิ๋นเจี่ยวก็ตะลึงเช่นกัน นางเพียงแค่คำนวณเวลาที่ใช้ในการขึ้นเขา และส่วนสูงของภูเขานี้ รู้สึกว่าพวกนางปีนขึ้นมาได้รวดเร็วและง่ายดายเกินไป ไม่คิดว่าบนภูเขานี้จะมีบางอย่างซ่อนเอาไว้จริงๆ แต่ว่าฝาครอบโปร่งใส่นี้คือ…
นางมองไปยังคนด้านข้างที่ไม่พูดไม่จา สีหน้าสบายราวกับมาเที่ยว
“อาจารย์ปู่…”
เยี่ยยวนหันมามองนาง ก่อนจะพูดออกมาว่า “โลกลับ”
“โลกลับ?” เนื้อหาในตำราเรียนมากมายแวบเข้ามาในหัวของอวิ๋นเจี่ยว ทันใดนั้นนางก็พบข้อมูลที่คุ้นเคย “โลกลับของเผ่ามาร!”
“อืม” เยี่ยยวนพยักหน้า กำลังเตรียมจะชื่มชม
ไป๋อวี้ที่อยู่ด้านข้างดันโพล่งออกมา “อะไรนะ? โลกลับอะไร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน? เจ้าหนู เจ้า…” ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็มีสองสายตามองมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม เขาจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดลงไปอย่างเงียบๆ อย่ารังแกคนแก่ที่ความจำไม่ค่อยดีสิ
“โลกลับเป็นโลกที่เผ่ามารใช้พลังของตัวเองสร้างขึ้นมา ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง”
อวิ๋นเจี่ยวส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่าให้เขาหัดอ่านตำราบ้าง จากนั้นถึงได้อธิบายต่อ “โลกนี้หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้สร้าง คนอื่นจะไม่สามารถเข้าออกได้ และยากต่อการรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน”
เห็นได้ชัดว่าปีศาจตัวนั้นได้นำเอาส่วนหนึ่งของภูเขานี้สร้างเป็นโลกลับ ดังนั้นพวกเขาถึงได้ขึ้นเขามาอย่างง่ายดาย เพราะว่าที่จริงแล้วภูเขานี้ขาดไปหนึ่งในสาม
“เช่นนี้ เด็กและเทียนซือที่หายไป มีความเป็นไปได้ว่าถูกขังในโลกลับนี้” ไป๋อวี้ดีใจ
“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า กวาดตามองไปยังกลางเขาอีกครั้ง เพียงแต่การสร้างโลกลับจะต้องใช้พลังอย่างมาก ทำไมปีศาจนี้ยังทำเช่นนี้ อีกทั้งยังสร้างโลกลับไว้ใกล้ขนาดนี้
“ถ้าเช่นนั้นยังจะรออะไร พวกเรารีบเข้าไปช่วยคนเถอะ” ไป๋อวี้รีบหันหลังเดินไปทางกลางเขา
อวิ๋นเจี่ยวก็เดิมตามขึ้นไป สักพักทั้งสามคนก็หยุดลงบริเวณที่คลื่นปรากฏขึ้นเมื่อสักครู่นี้
“เจ้าหนู เราจะเข้าไปอย่างไร” ไป๋อวี้มองไปรอบด้าน หากเดินขึ้นหน้าอีกก้าวหนึ่ง พวกเขาจะถูกส่งไปยังอีกฟากของโลกลับ และไม่นานก็คงจะไปถึงตีนเขา อีกทั้งยังไม่มีร่องรอย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านหาไม่เจอ “บุกเข้าไปเลย?”
อวิ๋นเจี่ยวครุ่นคิด สักพักถึงได้พูดขึ้น “โลกลับนี้ใช้พลังมารในการก่อเกิด เผ่ามารกลัวสายฟ้าที่สุด หรือไม่ท่านลองเรียกสายฟ้าดู?” ถึงแม้อาจจะไม่สำเร็จ
“ได้!” ในเวลาต่อมา ได้ยินเพียงเสียงดัง แสงสีเขียวส่องประกายขึ้นตรงหน้า ราวกับว่ามีบางอย่างแตกออกจากกัน แม้ว่าทิวทัศน์ตรงหน้าจะไม่เปลี่ยน แต่กลับรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างแตกหักไป
“ได้…ได้แล้ว! แตกจริงๆ ด้วย!” ง่ายขนาดนี้? ไป๋อวี้ทำหน้าเหลือเชื่อ ไม่คิดว่าครั้งเดียวจะสำเร็จ เขาเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
อวิ๋นเจี่ยวก็ตะลึง ไม่ได้บอกว่าโลกลับของเผ่ามารแข็งแกร่งเกินทำลายเหรอ ทำไมแตกง่ายเช่นนี้
เมื่อโลกลับแตก พวกนางก็รับรู้ถึงพลังสีเขียวที่ส่งออกมาจากด้านในอย่างไม่ขาดสายทันที
“ระวังพลังมาร ติดยันต์เร็วเข้า!” ชายชราได้สติ รีบควักยันต์ป้องกันออกมาสามใบ ใบหนึ่งแปะไว้บนตัวเอง อีกใบแปะไว้บนอวิ๋นเจี่ยว เมื่อหันกลับมาหยิบใบสุดท้ายและกำลังจะติดลงบนตัวของอาจารย์ปู่ เขาก็พบว่าทั้งร่างของเขาสะอาดสะอ้าน พลังมารที่วิ่งกระจัดกระจายกระเด็นออกไปก่อนที่จะถึงตัวเขา ราวกับว่าพวกมันจงใจหลีกเลี่ยง
อาจารย์ปู่คงไม่ต้องการ เขาเก็บยันต์ใบสุดท้ายลง
อวิ๋นเจี่ยวหยิบยันต์ส่งสารที่ผู้ดูแลของสาขาสำนักเทียนซือให้นางเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมา เมื่อโลกลับหายไป ยันต์นี้ก็ส่องแสงสีแดงออกมาเล็กน้อย
“สว่างแล้ว!” ไป๋อวี้มองยันต์ในมือนาง สีหน้าดีใจ “ดูท่าเทียนซือทั้งหลายนั้นอยู่ในโลกลับนี้ เจ้าหนู ติดต่อได้หรือไม่”
“ไม่ได้!” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหน้า “ที่นี่มีพลังมารเข้มข้นมากเกินไป ประสิทธิภาพของยันต์ลดลงอย่างมาก” สัญญาณอ่อนเกินไป ติดต่อไม่ได้
“เข่นนั้นพวกเรารีบหาคนให้เจอเถอะ” ไป๋อวี้ทำท่าจะพุ่งเข้าไป
“เดี๋ยว!” อวิ๋นเจี่ยวรั้งเขาเอาไว้
“ทำไม” เขาตะลึง “พวกเขาไม่ได้อยู่ในโลกลับหรือ”
“ท่านบอกเองว่านี่เป็นโลกลับของเผ่ามาร” นางอยากจะกรอกตา “ท่านว่าด้านในนอกจากพวกเขาแล้วยังมีอะไรอีก” ไก่อ่อนจะเป็นกองหน้าได้อย่างไร!
“…”
โฮก…
หลังจากสิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงคำรามส่งออกมาจากด้านใน พลังมารที่เดิมก็เข้มข้นมากอยู่แล้วยิ่งเข้มข้นมากขึ้นหลายเท่า ท้องฟ้าที่เดิมทียังสว่างอยู่นั้นก็มืดมิดลง
ไป๋อวี้ “…”
ทำอย่างไรดี รู้สึกไม่อยากเข้าไปแล้ว