คิดอะไรได้อย่างนั้นเสียจริง พวกนางได้ยินเสียงดัง ราวกับมีสิ่งของขนาดใหญ่บางอย่างกำลังเข้าใกล้มาทางนี้ พลังมารรอบด้านเคลื่อนไหวขึ้นมา ห่อล้อมพวกนางทั้งสามคนเอาไว้ราวกับอยากจะกลืนกินเข้าไป
บริเวณรอบด้านมืดมิด เห็นเพียงแต่พลังมารสีเขียวทุกทิศทั่วทาง
อวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้ล้วนใจไม่ดี ทั่วไปแล้ว หากจะสร้างโลกลับที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ จะต้องเป็นมารที่มีพลังแก่กล้า อย่างน้อยก็ต้องมีอายุกว่าร้อยปีขึ้นไป มารแบบนี้ยากในการรับมือ อีกทั้งพวกเขาทั้งสองคนยังเป็นมือใหม่ที่ไม่เคยผ่านการต่อสู้มาก่อน
“พวกเจ้าบังอาจบุกเข้ามาในโลกลับของข้า!” เสียงชายหนุ่มส่งออกมาจากฝั่งตรงข้าม เสียงนั้นดังก้องราวกับเสียงฟ้าร้อง
ได้ยินเพียงเสียง อวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้ก็รู้สึกหูดับไปชั่วขณะ ไป๋อวี้มือหนึ่งถือดาบไม้ท้อ มือหนึ่งหยิบยันต์ม่วงออกมาจากก้นถุง ก่อนจะส่งต่อให้อวิ๋นเจี่ยวอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนู ถือไว้ ดูท่าทางจะรับมือยาก”
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ปฏิเสธ นางรับมันมา ก่อนจะมองพลังมารที่เข้มข้นอย่างประหม่าที่ เสียงก้องกังวานราวกับเครื่องบดกำลังเคลื่อนผ่านเข้ามาใกล้ จากนั้นร่างขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า ร่างนั้นสูงอย่างน้อยเจ็ดแปดเมตรและกว้างกว่าหนึ่งเมตร ร่างนั้นสูงเรียวยาว เดินเข้ามาทางนี้ด้วยท่าทางที่แกว่งไปมา
ร่างนั้นเริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พลังมารที่อยู่รอบๆ ถูกผลักออก ในที่สุดก็เผยให้เห็นร่างที่แท้จริง เมื่อพวกนางเห็นร่างนั้นอย่างชัดเจนก็สูดลมหายใจเข้าพร้อมกัน มันเป็นปีศาจงูขนาดใหญ่ ครึ่งคนครึ่งงู ครึ่งบนเป็นชายหนุ่ม ส่วนครึ่งล่างนั้นหางงูยาว หางงูนั้นขนาดใหญ่มาก พื้นดินที่มันผ่านล้วนถูกลากเป็นทางยาว
มันพุ่งไปทางด้านนี้ ดวงตาสีแดงเข้มจ้องไปที่คนสามคนที่อยู่ข้างหน้า จิตสังหารอันมหึมายังคงพุ่งเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
พลังมารรอบตัวของมันแข็งแกร่งขึ้นสิบเท่าในทันที ไป๋อวี้รู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย จากนั้นรู้สึกขาอ่อนขึ้นมา น่า…น่ากลัวจริงๆ
“มนุษย์ชั่ว! พวกเจ้าสมควรตาย!” เมื่อเห็นทั้งสามคน ปีศาจงูก็ยิ่งโกรธ ใบหน้าสวยกลับกลายเป็นใบหน้าบิดเบี้ยว พร้อมกับปรากฏเกล็ดงูบนใบหน้า มุมปากฉีกออกถึงหูเผยให้เห็นเขี้ยวคมสองซีก ทันใดนั้นร่างใหญ่ก็พุ่งเข้าหาพวกเขา
“ชายแก่!” อวิ๋นเจี่ยวเรียก ไป๋อวี้ได้สติกลับมา จับยันต์ในมือแน่นและเตรียมจะโยนออกไป
อวิ๋นเจี่ยวก็ยกยันต์ในมือขึ้น ดูท่าทางสงครามระว่างมนุษย์และปีศาจกำลังจะปะทุขึ้น
เพี๊ยะ!
เสียงหนึ่งดังขึ้น
เห็นเพียงแต่ปีศาจงูขนาดใหญ่เท่าภูเขานั้นเหมือนจะได้รับการกระแทกจากอะไรบางอย่างอย่างหนัก ตามด้วยเสียงที่ดังขึ้น ก่อนจะลอยออกไป และไถลไปกับพื้นดินหลายสิบเมตร ก่อนที่จะหัวทิ่มเข้าพื้นไป ทำให้บริเวณด้านหน้าของทั้งสามคนปรากฏร่องที่มีความลึกไล่ตั้งแต่ตื้นไปยังลึกขนาดยาว
เมื่อมองดูที่พื้นระยะไกล จะเห็นเพียงส่วนหางแหลมของปีศาจงูเท่านั้น มันไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นอีก แม้แต่พลังมารที่อยู่รอบตัวก็สลายไปในทันที ท้องฟ้าสว่างสดใสขึ้น
“เสียงดัง!” คนที่ไม่ออกเสียงมาตลอดทางวางมือลง
อวิ๋นเจี่ยว “…”
ไป๋อวี้ “…”
-_-|||
ทันใดนั้นพวกนางมีความรู้สึกเหมือนรายการที่เตรียมตัวมากว่าครึ่งปี ยังไม่ทันเริ่มแสดงก็จบลงไปแล้วอย่างนั้น
รู้สึกอัดอั้นเป็นอย่างยิ่ง!
สักพัก…
“เจ้า…เจ้าหนู” ไป๋อวี้สีหน้าฉงน อดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของอวิ๋นเจี่ยว แล้วพูดด้วยเสียงเบา “ข้าคิดผิดไปหรือเปล่า ข้าคิดว่าที่อาจารย์ปู่ไม่ออกเสียง เพราะอยากจะทดสอบคาถาของพวกเรา”
“หยุดพูดได้แล้ว!” อวิ๋นเจี่ยวหน้าดำลง เมื่อกี้นางก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
พวกนางผิดไปแล้ว! ผิดไปแล้วจริงๆ ! อาจารย์ปู่บ้านเขาไม่เคยใจดีเช่นนี้!
○| ̄|_
“ข้า…พวก…พวกเราจะทำอะไรเมื่อกี้นะ” เหลือบมองปีศาจงูที่แน่นิ่งไป ชายชรายังตั้งสติไม่ได้
อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจ ส่ายหัวแล้วพูดว่า “หาคน! หาเด็กและเทียนซือเหล่านั้นให้เจอก่อน”
“อ่อ อ่อๆ” ชายชราถึงได้นึกขึ้นได้ กำลังจะถามว่าจะเริ่มหาจากตรงไหน
คนที่ตบปีศาจงูราวกับตบแมลงวันนั้นก็ได้เอ่ยขึ้น “จะเที่ยงแล้ว!” ถึงเวลากินข้าวแล้ว
ทั้งสองคน “…”
อวิ๋นเจี่ยวชะงักฝีเท้า ทันใดนั้นความรู้สึกหมดแรงก็ผุดขึ้นมา เป็นครั้งที่ N ที่รู้สึกเสียใจเข้าร่วมสำนักชิงหยาง นางถอนหายใจออกมาหนึ่งที ก่อนจะหยิบถุงกระดาษออกจากย่าม แล้วหันกลับมายื่นให้ “มีขนมอยู่บ้าง รอหาคนให้เจอก่อน แล้วค่อยกลับไปทำกับข้าว” อาจารย์ปู่บ้านตัวเอง จะปล่อยไว้ได้??
เยี่ยยวนเหลือบมองถุงกระดาษในมือนาง ขมวดคิ้วมุ่น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยังรับมันไป
ไป๋อวี้เดินขึ้นหน้า ก่อนจะพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “อาจารย์ปู่ ท่านสามารถ…”
เขายังพูดไม่ทันจบ เยี่ยยวนก็กระชับของในมือแน่นขึ้น สายตาของเขาเย็นชาขึ้น ก่อนจะจ้องเขม็งมา “หลบไป!” อยากตายหรือไง นี่เป็นของข้า!
ไป๋อวี้ที่เพียงแค่อยากถามว่าสามารถช่วยหาเด็กได้ไหม “…”
เขาทำผิดอะไรอีกแล้ว? น้อยใจ!
(ಥ_ಥ)
——————
ทันทีที่พลังมารรอบด้านสลายหายไป พวกเขาก็หาเจอได้ง่ายยิ่งขึ้น พวกนางค้นหาอยู่ไม่นานก็พบหลุมหนึ่ง ด้านในมีพลังมารจางๆ แพร่กระจายออกมา น่าจะเป็นรังของปีศาจงู
ภายในถ้ำมีเส้นทางอยู่เส้นหนึ่ง พวกเขาเดินตรงเข้าไปตามทาง เพียงชั่วครู่ก็เห็นข่ายพลังอันหนึ่งที่กั้นเอาไว้ ได้ยินเสียงคนส่งออกมาเบาๆ แต่ไม่ชัดเจนนัก ดูเหมือนจะถูกปิดปากเอาไว้
“ด้านในเป็นเทียนซือที่ทางสำนักเทียนซือส่งมาในหมู่บ้านหรือไม่” ชายชราถามเสียงดัง
นาทีถัดมา ได้ยินเสียงตอบรับออกจากด้านใน ท่าทางมีราวสามสี่คน
ชายชราสีหน้าดีใจ “เจ้าหนู พวกเขาอยู่ด้านใน ข่ายพลังนี้เจ้าทำลายได้ไหม”
“อืม ข้าลองดู” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า มองดูข่ายพลังนั้น พบว่าเป็นเพียงข่ายพลังปิดกั้นธรรมดา ไม่ถึงครึ่งนาที ข่ายพลังก็ถูกทำลาย แสงของข่ายพลังดับลง ก่อนที่ห้องเล็กขนาดสิบตารางเมตรทางด้านหลังจะปรากฏขึ้น
ชายสี่คนที่อยู่ในชุดของเทียนซือนอนกันระเนระนาดอยู่บนพื้น ในปากยังถูกพันด้วยบางอย่างที่คล้ายกับพลาสติกบาง พวกเขาหายใจรวยริน เมื่อมองดูอย่างละเอียด ถึงได้พบว่าที่พันอยู่บนตัวของพวกเขานั้นคือหนังงูที่ลอกออกมา
พวกนางรีบเข้าไปเพื่อที่จะดึงหนังงูออก แต่พบว่าหนังงูเหล่านั้นแข็งแรงมาก แม้แต่มีดก็ยังตัดไม่ขาด สุดท้ายต้องใช้ยันต์ในการเรียกไฟ ถึงจะช่วยเหลือพวกเขาออกมาได้
อาจเป็นเพราะถูกกักขังไว้ที่นี่เป็นเวลานาน พวกเขาสีหน้าเหลืองซีด ลมหายใจรวยริน แม้แต่แรงยืนยังไม่มี พลางหอบหายใจหนักพลางใช้น้ำเสียงแหบพร่าพูด “สะ…สหาย…มีของกินหรือไม่ พวกข้า…อดกิน…มาหลายวันแล้ว!”
พูดจบ สายตาของทั้งสามคนก็หันไปมองคนที่กำลังยืนเคี้ยวขนมอย่างสบายอยู่ด้านหลังสุด
อวิ๋นเจี่ยวและไป๋อวี้ผงะไป ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกันว่า
“ไม่มี!”
“ไม่มี!”
ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่!
ต้องไม่มี ไม่มีแน่นอน ไม่มีเท่านั้น!