ทั้งสี่คนตะลึงไป สายตาจ้องมองไปยังบางคน ทันใดนั้นเสียงเคี้ยวขนมของคนบางคนดังก้องไปทั้วห้อง
ทั้งสี่คน “…”
นี่เรียกไม่มี? เจ้ากำลังล้อข้าเล่น
“แค่ก คือ…” อาจเป็นเพราะตัวเองก็รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ อวิ๋นเจี่ยวจึงกระแอมไอหนึ่งที ทันใดนั้นก็หาคำอธิบายที่สมบูรณ์แบบได้ ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “พวกท่านไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ตอนนี้ไม่อาจกินของที่แข็งเกินไปได้ มิเช่นนั้นจะไม่ดีต่อร่างกาย รอกลับไปค่อยหาอาหารเหลวอย่างข้าวต้มกินจะดีที่สุด และต้องห้ามกินเยอะ”
“…” จริงหรือ? เจ้าแน่ใจว่าไม่ได้เป็นเพราะไม่อยากให้นะ? ทั้งสี่คนยังคงสงสัย แต่เมื่อเห็นนางทำสีหน้าจริงจัง ก็ดูไม่เหมือนกับหลอกพวกเขา
“เจ้าหนูพูดถูก!” ไป๋อวี้รีบเสริมทันที ก่อนจะพูดขึ้นอีกประโยค “นางเป็นหมอ พวกท่านฟังนางจะดีกว่า”
ดวงตาของพวกเขาเป็นประกาย ความสงสัยบนใบหน้าก็หายไป อย่างนี้นี่เอง ส่งผลให้สีหน้าของพวกเขายิ่งซาบซึ้งมากขึ้น แม้ว่าเขาจะลุกขึ้นไม่ได้ แต่เขาก็ยังกำหมัดแน่นด้วยมือที่สั่นเทา “ขอบคุณสหาย…ที่ช่วยพวกข้าไว้ แต่ไม่รู้ว่า…ปีศาจงูตัวนั้น…”
“ไม่ต้องห่วง ปีศาจงูถูกกำจัดแล้ว” ไป๋อวี้ชำเลืองมองไปยังอาจารย์ปู่ จากนั้นมองไปยังสภาพที่น่าอนาถของทั้งสามคน สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว หยิบถุงน้ำที่อยู่ด้านข้างแล้วยื่นให้ “ดื่มน้ำก่อนเถอะ จะได้รู้สึกดีขึ้น”
พวกเขาทั้งสี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ได้เกรงใจอะไรกับเขามาก พวกเขารับมาแล้วดื่มไปหลายอึกอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าของพวกเขาก็ดีขึ้น
“จริงสิ แล้วเด็กพวกนั้นล่ะ?” อวิ๋นเจี่ยวมองไปรอบๆ พบว่าไม่มีคนอื่นในห้องนี้ “พวกเขาไม่ได้อยู่กับพวกท่าน?”
เทียนซือทั้งสี่มองหน้ากันครู่หนึ่ง สีหน้าของพวกเขาดำลง ก่อนจะพูดว่า “ข้าละอายใจ วันนั้นพวกข้าทั้งสี่ขึ้นเขามาเพื่อจับปีศาจ แต่สุดท้ายกลับสู้มันไม่ได้ จึงถูกจับและขังไว้จนบัดนี้ ในระหว่างนี้พวกข้าก็ไม่เห็นเด็กที่ถูกลักพาตัวเลย”
“หรือว่ามีห้องอื่นในถ้ำนี้” ไป๋อวี้เดา “พวกเขาถูกขังอยู่ที่อื่น?” แต่เห็นได้ชัดว่าที่นี่มีทางเดียวเท่านั้น
ทันใดนั้น พวกเขาขมวดคิ้ว สีหน้าดูเป็นกังวล อวิ๋นเจี่ยวก้าวไปข้างหน้าและเริ่มมองไปรอบห้องอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ นางจึงต้องถอยกลับไปที่นอกห้องบริเวณข่ายพลังปิดกั้น
นางเหลือบมองข่ายพลังที่ถูกทำลายไปอีกครั้ง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะกำแพงหิน ทันใดนั้นรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของข่ายพลังเล็กน้อย นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“ทำไมหรือ เจ้าหนู” พบอะไร
“อาจมีข่ายพลังอีกอันที่นี่” ปีศาจที่สร้างโลกลับได้ จะสร้างแค่ข่ายพลังปิดกั้นง่ายเช่นนี้ได้อย่างไร
“หือ?” ไป๋อวี้ตกใจ มองกำแพงหินอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะมีข่ายพลังตรงไหน “ข้าจะลองดู!” พูดจบเขาก็หยิบ ยันต์ออกมาใบหนึ่งแล้วติดเข้าไปที่กำแพงหิน เพียงชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปัง’ กำแพงหินก็เปิดออกทันที เผยให้เห็นข่ายพลังสีแดง
“มีจริงด้วย!” ไป๋อวี้ตะลึง เขามองดูข่ายพลังอย่างละเอียด ยิ่งมองก็ยิ่งเวียนหัว เห็นได้ชัดว่ามันซับซ้อนกว่าอันก่อนอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงถอยออกมาหนึ่งก้าว “เจ้าหนู ยกให้เจ้า”
อวิ๋นเจี่ยวก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะเริ่มทำลายข่ายพลังอีกครั้ง เทียนซือทั้งสี่ภายในห้องก็ฟื้นกำลังกลับมาเล็กน้อยพวกเขาพิงกำแพงหินก่อนจะค่อยๆ เดินออกมา พวกเขามองไปยังคนสองคนที่ทำลายข่ายพลัง และกำลังจะนำอาวุธวิเศษออกมาให้พวกเขายืม ทันใดนั้นก็ได้ยินอวิ๋นเจี่ยวพูดขึ้น
“เสร็จแล้ว!”
“…” เร็วมาก!
ทั้งสี่คนตะลึง แต่ก่อนที่พวกเขาจะตอบสนอง อวิ๋นเจี่ยวโบกมือให้พวกเขาและพูดว่า “ถอยก่อน ออกห่างไปหน่อย!”
พวกเขาถอยหลังพร้อมกันทันที นาทีถัดมา เห็นเพียงแต่ไฟสีแดงบนข่ายพลังนั้นดับลง กำแพงหินทั้งหมดส่งเสียงดังเหมือนกับกำแพงที่ถูกผลักล้ม ก้อนหินค่อยๆ ตกลงมา ก่อนที่จะปรากฏทางเดินขึ้น
ในเวลาเดียวกัน พลังมารที่แข็งแกร่งกว่าปีศาจงูตัวก่อนก็ลอยออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกนางต่างตกตะลึง เบิกตาโตมองไปยังทางเดิน “นี่…เป็นไปได้อย่างไร”
ปีศาจงูเมื่อกี้นี้ แม้พวกนางจะไม่ได้เดินเข้าไปดู แต่แรงที่อาจารย์ปู่ใช้เมื่อกี้ ไม่ตายก็ต้องพิการ ตามหลักแล้วพลังมารของมันควรจะสลายไป เหตุใดถึงได้มีพลังมารมากมายออกมาจากที่นี่?
“หรือว่า…ปีศาจงูตัวนั้นไม่เป็นไร” แค่แกล้งตาย? ไป๋อวี้คาดเดา
“ไม่แน่” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว ครุ่นคิดอย่างรอบคอบก่อนจะพูดว่า “ไป๋อวี้…ท่านจำได้ไหมว่านายน้อยฉีบอกว่าปีศาจตัวนั้นคอยตามรังควานเขาตลอดเวลา”
“ใช่” ไป๋อวี้พยักหน้า “เพราะว่ารักจึงเกิดความแค้น และจับเด็กในหมู่บ้านไป”
อวิ๋นเจี่ยวกดเสียงต่ำ ถึงได้พูดต่อ “แต่ปีศาจงูที่เราเจอเมื่อกี้…”
ไป๋อวี้ผงะ ก่อนจะอุทานออกมา “เฮ้ย ปีศาจงูตัวนั้นเป็นตัวผู้!” นายน้อยฉีบอกว่าปีศาจที่เขาเจอเป็นปีศาจสาว แสดงว่า “ที่นี่ยังมีปีศาจอีกตัว!”
ทันทีที่พูดจบ เทียนซือทั้งสี่บริเวณด้านหลังสูดลมหายใจเข้าพร้อมกัน ปีศาจตัวเดียวก็ยากจะรับมือแล้ว ไม่คิดว่าจะมีสองตัว
“เจ้าหนู ทำอย่างไรดี” ไป๋อวี้มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวด้วยความเคยชิน
“เข้าไปดูก่อน!” ในเมื่อมาแล้ว ต้องลองดูถึงจะรู้ว่าช่วยเด็กเหล่านั้นออกมาได้ไหม “ท่านพยุงพวกเขาทั้งสี่คนไว้ อย่าให้หลุดไป”
อวิ๋นเจี่ยวกำชับ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในทางเดินนั้น ไป๋อวี้สีหน้าเป็นกังวล เขาพยุงเทียนซือที่บาดเจ็บทั้งสี่เดินตามอยู่ด้านหลัง มีเพียงเยี่ยยวนที่เคี้ยวขนมยังคงเดินอยู่ด้านหลังสุดด้วยสีหน้าสบาย
พวกเขาเดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็พบว่าข้างในเริ่มสว่างขึ้น ที่มาของแสงสว่างมาจากปากถ้ำที่อยู่ไม่ไกล ไม่เหมือนกับเป็นทางไปสู่อีกห้องหนึ่ง แต่เป็นทางออก
ไม่ถึงห้านาที พวกเขาถึงได้เดินออกจากทางเดินนั้น สิ่งที่น่าแปลกคือที่นี่ไม่ใช่ภูเขาด้านหลังของหมู่บ้านหลี่อัน แต่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงร้องของนก บริเวณรอบด้านปลูกเต็มไปด้วยต้นไม้ มีลำธารใสไหลผ่าน นอกจากนี้ยังมีหอเล็กที่สวยงามริมลำธารด้วย ชั้นบนของหอเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดที่ สวยงามราวกับสรวงสวรรค์
พวกเขาต่างตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าภายในถ้ำจะมีทิวทัศน์เช่นนี้อยู่ ยังไม่ทันที่จะชื่นชม เสียงที่แฝงไปด้วยความโกรธเล็กน้อยดังออกมาจากด้านในหอ “เจ้าจะมากี่ครั้งก็เหมือนเดิม ข้าบอกแล้วว่าข้าจะไม่เปลี่ยนใจ”
จากนั้นประตูของหอก็เปิดออก หญิงสาวชุดสีชมพูเดินออกมาจากด้านใน หน้าตาดูคุ้นเคยเล็กน้อย นางพลางพูดพลางเดิน “ถ้าเจ้าห้ามข้าอีก ข้าจะ…”
ประโยคยังพูดไม่ทันจบก็ชะงักไป เมื่อนางเห็นคนบริเวณปากถ้ำ สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางจ้องมองด้วยความระแวง “พวกเจ้าเป็นใคร!?” พูดจบ พลังมารรอบตัวก็ส่งออกมาโดยไม่มีการปิดบังใดๆ