ตอนที่ 95 การปฏิบัติตัวต่อลูกจ้าง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 95 การปฏิบัติตัวต่อลูกจ้าง

กิจการของร้านค้าในเมืองดำเนินไปดีมาก คุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้เห็นแล้วจึงวางใจ พวกเขาสองคนไม่เคยถามเลยว่าขายออกไปได้มากเท่าใด ไม่ว่ากิจการจะดำเนินไปด้วยดีหรือไม่ก็ตาม

ถ้ากิจการดำเนินไปด้วยดีก็แน่นอนว่าจะต้องทำรายได้เป็นจำนวนมหาศาล แต่พวกเขาจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ และไม่จำเป็นต้องถามไถ่ในเรื่องนี้อีกด้วย

แต่ถึงอย่างนั้นคุณแม่จี้ก็ยังรู้สึกปวดใจอยู่ดีเมื่อเห็นซูตานหงซื้อจักรยานสามล้อให้พี่ชายรองซู ทว่านางก็ไม่พูดอะไร

คุณพ่อจี้เห็นท่าทางเจ็บปวดของนางจึงพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เด็ก ๆ มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขามีความคิดของตัวเอง เรามาช่วยเหลือสนับสนุนพวกเขากันเถอะ อย่าไปบ่นว่าอะไรพวกเขาเลย”

แล้วเขาก็พูดต่อ “รถคันนี้เหมาะกับจิ้นตั๋งแล้วล่ะ นอกจากขี่ได้ก็ใช้บรรทุกไก่ได้โดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถเดินทางไปกลับได้บ่อยขนาดนี้หรอกจริงไหม? เพราะเดินทางทีมันต้องใช้เวลานานจนไม่สามารถทำการใหญ่ได้”

“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนี่ ก็แค่คิดว่าตานหงจะหน้าใหญ่ใจโตเกินไปแล้ว” คุณแม่จี้ตอบเขา

เมื่อใดที่นางนึกถึงราคาเป็นพัน ๆ หยวนของรถสามล้อคันนี้ขึ้นมา นางก็รู้สึกปวดใจในทันที

แต่ก็ทำได้แค่มาบ่นให้ฟังกันเองเท่านั้น พวกเขาไม่มีทางพูดต่อหน้าซูตานหงหรอก

ตอนนี้ซูจิ้นตั๋งกลับมาขนไก่ไปขายวันละครั้งแล้ว ไม่ต้องบอกเลยว่าธุรกิจนี้เป็นอย่างไร

กิจการในช่วงนี้ไม่ได้ร้อนแรงเหมือนเมื่อก่อน แต่การขายไก่ได้วันละ 3 หรือ 4 ตัวก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน และแม่ไก่ที่เหลือไว้เพื่อขยายพันธุ์ก็จะเริ่มออกไข่แล้ว

เป็นเพราะเก็บแม่ไก่ฝูงนี้ไว้ออกไข่นี่เอง จึงทำให้พวกมันกินอาหารดีขึ้น เมื่อแม่ไก่ตัวหนึ่งเริ่มออกไข่ แม่ไก่ที่เหลือก็ทยอยออกไข่ตามแล้ว

เดิมทีมีแม่ไก่อยู่ทั้งหมดมากกว่า 200 ตัว มีเพียง 60 หรือ 70 ตัวนี้ที่ถูกเก็บไว้ให้ออกไข่ ส่วนที่เหลือนั้นถูกจับไปขาย ดังนั้นแม่ไก่ทั้ง 60-70 ตัวนี้จึงได้รับอาหารดี ๆ อย่างเต็มที่ ทำให้ออกไข่กันอย่างรวดเร็ว

ในจำนวนแม่ไก่ที่ออกไข่นี้ส่วนมากออกไข่กันวันละฟอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแม่ไก่อีก 10 กว่าตัวที่มีความสามารถในการออกไข่อยู่ด้วย พวกมันออกไข่ได้วันละ 2 ฟองเลยทีเดียว!

เรื่องนี้ทำให้คุณแม่จี้ตื่นเต้นดีใจ และเพิ่มอาหารให้พวกมันกินอย่างไม่รอช้า

ในทุ่งนาฤดูนี้มีผักป่าขึ้นเป็นจำนวนมาก นางจึงไปตัดมาให้พวกมันกิน แถมยังสั่งให้เด็กบางคนในหมู่บ้านไปขุดไส้เดือนมาให้เป็นอาหารไก่อีกด้วย ซึ่งถ้าใครขุดหาไส้เดือนได้ก็จะได้ลูกกวาดเป็นรางวัล

เด็ก ๆ ในหมู่บ้านรู้เรื่องนี้ก็ดีใจมากเช่นกัน ทำให้แม่ไก่เหล่านี้ได้รับอาหารจำพวกเนื้อทุกวัน และออกไข่กันเร็วขึ้น

ดังนั้นหลังจากเปิดร้านไปได้ครึ่งเดือนก็เริ่มมีการขายไข่ไก่เพิ่มเติมจากที่ขายไก่อยู่แล้ว เพราะถ้าพวกเขาขายแต่ไก่ก็จะได้รับรายได้แค่ทางเดียว หงเจี่ยเองก็เคยแวะไปที่ร้าน ในตอนที่ซูตานหงฝากคุณแม่จี้เลี้ยงดูเด็ก ๆ ทั้งสอง เธอก็ได้นำไก่หนึ่งตัวและไข่ตะกร้าหนึ่งไปที่บ้านของหงเจี่ย จากนั้นก็พาหล่อนไปดูร้าน

หงเจี่ยเห็นโลกมามาก ดังนั้นหล่อนจึงแนะนำอะไรดี ๆ ให้กับเธอ

อย่างเช่นขณะที่พวกเขาขายไก่อยู่นั้น พวกเขาก็ขายผักผลไม้อย่างอื่นไปด้วยได้ ซึ่งจะทำให้ร้านดูน่าดึงดูดลูกค้ามากขึ้น

ซูตานหงไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ เพราะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของซูจิ้นตั๋ง เขาคงรวบรวมผักผลไม้จากบ้านฝั่งแม่หรือในหมู่บ้านของเธอมาขายได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องของเขา โดยที่ซูตานหงไม่คิดที่จะมาร่วมทำด้วย

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็จะทำให้ซูจิ้นตั๋งมีรายได้เพิ่มขึ้น

ซูตานหงเห็นแล้วว่าพี่ชายคนรองมีสีหน้าเปี่ยมความมั่นใจมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า

นี่คือสิ่งที่ซูตานหงต้องการจะเห็น

“บนภูเขาไม่มีไก่พอที่จะขายแล้วล่ะ” คุณแม่จี้บอกเมื่อเห็นเธอกลับมาในเย็นวันนั้น

“ถ้าไม่มีไก่ขายแล้วก็พอก่อนเถอะค่ะ ช่วงนี้หลาย ๆ คนเหนื่อยกันหมดแล้ว” ซูตานหงบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก

หลายวันที่ผ่านมานี้ช่างเป็นเวลาที่เหน็ดเหนื่อยจริง ๆ นอกจากต้องไปช่วยงานในสวนแล้ว จี้หงจวินยังต้องไปทำงานในที่นาของตัวเองด้วย ซึ่งตอนนี้มันก็ใกล้ได้เวลาลงกล้าข้าว ปลูกมันเทศ และพืชอื่น ๆ แล้ว

“เสียค่าจ้างต่อเดือนเยอะขนาดนี้ ให้ทำงานนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ได้นะ ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะให้ขึ้นเขาไปทำอะไร?” คุณแม่จี้พูด

ซูตานหงฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คุณแม่คะ คุณกับคุณพ่อสมควรพักกันได้แล้ว เหลือเพียงรอให้เจี้ยนอวิ๋นกลับมา จะจัดการสวนยังไง เจี้ยนอวิ๋นจะเป็นคนมาทำหน้าที่นี้ เมื่อเขากลับมาถึงแล้วเราถึงจะงานยุ่งกันอีกครั้ง พรุ่งนี้แม่ไปซื้อเนื้อหมูให้หน่อยนะคะ ซื้อให้ครอบครัวของสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินคนละ 2 ชั่ง เนื้อ 2 ชั่งต่อครอบครัวนี่ก็น่าจะพอเป็นรางวัลสำหรับการทำงานหนักในหลายวันมานี้แล้วน่ะค่ะ”

“จำเป็นต้องให้ด้วยเหรอ?” คุณแม่จี้ถาม

“ใช่ค่ะ จำเป็นต้องให้ พวกเขาต่างเป็นลูกจ้างระยะยาวของครอบครัวเรากันทั้งนั้น แล้วก็ช่วยคุณพ่อทำงานบนภูเขามาตลอด แล้วพวกเขาก็เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันกับเรา ย่อมเป็นที่ไว้วางใจมากกว่าคนนอกหมู่บ้านอยู่แล้ว” ซูตานหงอธิบาย

คุณแม่จี้ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เมื่อขึ้นไปบนภูเขาแล้ว นางก็บอกเรื่องนี้กับคุณพ่อจี้

คุณพ่อจี้ฟังแล้วก็พยักหน้า “คุณเชื่อตานหงเถอะ ไปซื้อเนื้อติดมันให้พวกเขา”

ผู้คนในยุคนี้ต่างชอบกินเนื้อติดมันกันทั้งนั้น ไม่ชอบกินเนื้อแดงล้วนเลย

คุณพ่อจี้ไม่คัดค้านอะไรใด ๆ สำหรับเรื่องนี้ จากที่เขาเห็นแล้ว เขายังรู้สึกเลยว่าบ้านสามเป็นคนที่คิดการใหญ่ การซื้อน้ำใจคนอื่นเช่นนี้ดูเป็นภาพที่งดงามแค่ไหนกันนะ?

เงินเดือนต่อเดือนนั้นถือว่ามากก็จริง แต่เรื่องของเงินเดือนก็ส่วนของเงินเดือน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็ส่วนของความสัมพันธ์ การมีความสัมพันธ์แบบมิตรสหายนอกเหนือจากความสัมพันธ์แบบเจ้านายลูกจ้างนั้นถือว่าดีกว่ามาก

จี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งต่างเป็นคนดีทั้งคู่ เขามองสองคนนี้อยู่ตลอด พวกเขาไม่เคยงอมืองอเท้าหรือโยนกลองให้ใคร มีอะไรให้ทำก็ทำ สั่งอะไรไปก็ทำตามที่สั่ง ซึ่งในจุดนี้ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรเลย แถมภรรยาของพวกเขาทั้งสองคนยังไปมาหาสู่ที่บ้านของตานหงเป็นระยะ และให้การดูแลเธอในตอนที่เจี้ยนอวิ๋นไม่อยู่บ้าน

คุณพ่อจี้เป็นผู้ชาย เขาจึงมีเหตุมีผลมากกว่า และไม่สนใจในเรื่องที่คุณแม่จี้เอาแต่พูดว่าเสียดายเงินเลย

แต่ถึงจะเสียดายเงิน คุณแม่จี้ก็จัดการเรื่องต่าง ๆ ได้ดี นางส่งเนื้อติดมัน 2 ชั่งไปให้ภรรยาของลูกจ้างแต่ละคน และพูดจาไพเราะกับพวกหล่อนว่าให้นำไปทำอาหารให้สามีของพวกหล่อนกินให้เต็มที่ไม่ต้องเก็บไว้ พวกเขาทำงานหนักกันมาระยะหนึ่งแล้ว หลังจากเจี้ยนอวิ๋นกลับมา พวกเขาก็ต้องไปตัดแต่งทรงพุ่มต้นไม้ในสวนอีก ดังนั้นต้องเติมพลังให้เต็มที่

หลี่อวี้ซุ่ยภรรยาของสวี่อ้ายตั๋งกับหวังหงฮวาภรรยาของจี้หงจวินได้ยินดังนี้ก็ดีใจมาก

เดิมทีทั้งสองครอบครัวต่างเป็นครอบครัวที่ยากจนภายในหมู่บ้านนี้ พวกเขาต้องอาศัยที่นาของตนเองประทังชีพ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะต้องใช้ชีวิตอย่างขัดสนเพียงใด

ตอนนี้ทั้งสองครอบครัวปรับปรุงบ้านใหม่แล้ว และกำลังมีชีวิตที่ดีขึ้น ทุกคนได้กินเนื้ออยู่ตลอดตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ซึ่งเป็นชีวิตที่เป็นไปไม่ได้เลยในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ที่ต้องดื่มน้ำข้าวประทังหิว

วันเวลาของพวกเขาก็เป็นเช่นนี้ ต้องขอบคุณทุกคนในหมู่บ้านที่รู้ว่าพวกเขาทำงานนี้ได้ ซึ่งเป็นงานที่หลายคนรู้สึกอยากทำเหลือเกิน

ภรรยาเจ้าของสวนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในช่วงปีใหม่ทั้งสองบ้านล้วนได้เนื้อและผักเพิ่มจากเดิม แล้วดูวันนี้สิ คนที่เป็นสามีต่างมีได้ทำงานมากมาย ทั้งไปช่วยงานที่ร้านในเมืองกับตักน้ำมารดต้นผลไม้ในสวน แถมยังต้องทำงานในที่นาของตัวเองอีก

แต่ถึงงานจะยุ่ง พวกเขาก็ได้กินอิ่มทุกวัน เมื่อใดก็ตามที่อยากกินเนื้ออะไรขึ้นมา ภรรยาเจ้าของสวนก็จะนำมาให้

ทั้งสองครอบครัวล้วนมีความสุขมาก

พวกหล่อนจะเชิญคุณแม่จี้มานั่งที่บ้าน แต่คุณแม่จี้บอกว่าต้องกลับไปเลี้ยงหลาน ๆ นางจึงปฏิเสธพวกหล่อนไป พร้อมกับบอกว่าหากมีเวลาก็มานั่งเล่นที่บ้านได้

เมื่อคุณแม่จี้จากไป หลี่อวี้ซุ่ยกับหวังหงฮวาก็บอกสามีของพวกหล่อนว่าให้ขยันทำงานมาก ๆ ชีวิตความเป็นอยู่อันแสนสุขของครอบครัวขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว!

ทั้งสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินทำเพียงพยักหน้า ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องล้อเล่น พวกเขาไม่อาจเสียเจ้านายแบบนี้ไปได้หรอก ไม่อย่างนั้นการอาศัยแค่ที่นาผืนเล็ก ๆ ที่บ้านของพวกเขาจะหาเลี้ยงครอบครัวได้หรือ? ถ้าพวกเขาไม่อุทิศตัวไปกับการทำงาน ก็จะมีคนอีกเป็นจำนวนมากจ้องจะมาแทนที่พวกเขา

……………………………………………