บทที่ 92 กลับไปบ้านและแต่งตัวดี

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 92 กลับไปบ้านและแต่งตัวดี

โดยปกติแล้วการเดินทางจากสำนักไปเขาหมางนั้นใช้เวลาเพียงสามถึงสี่วัน แต่ในครั้งนี้ เฉินเฉียงใช้เวลาไปกว่าหกวันเต็ม

สามกิโลด้านตะวันตกของอาณานิคม เฉินเฉียงได้เห็นเพื่อร่วมงานเก่ากำลังเดินตรวจตราอยู่

เพียงการกระโจนครั้งเดียว เขาก็ได้ไปปรากฏอยู่ด้านหลังชายคนนี้ก่อนที่จะวางมือที่ไหล่ละพูดขึ้นมา “ลีเสี่ยวฟาน”

“ใครวะ”

ลีเสี่ยวฟานที่ตกใจได้กระโจนไปข้างๆพลางหันตัวมายกหอกแล้วชี้ไปที่อกของเฉินเฉียง

เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่เห็นต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยนา ว่าแต่เจ้านี่จะตอบสนองช้าไปหน่อยป่าว”

“เฉินเฉียง”

ลีเสี่ยวฟานร้องดังลั่นก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดไหล่ของเฉินเฉียงและพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

“ทำไมเจ้ากลับมาได้ล่ะ เห็นนายพลหลิงบอกว่าเจ้าไปเรียนต่อที่สำนักเต่าดำไม่ใช่เหรอ เป็นยังไงบ้าง ที่นั่นไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”

หลังจากโดนถามคำถามไปมากมาย เฉินเฉียงเองก็ไม่รู้จะตอบข้อไหนก่อนดีเหมือนกัน

และท่าทางของลีเสี่ยวฟานเองก็ทำให้เขาประทับใจไม่น้อย

เขาจำได้ว่าตอนที่พบกันครั้งแรก ชายคนนี้มึนตึงใส่เขา แต่ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้หลังจากไม่พบกันเพียงไม่กี่เดือน

“ฮ่าฮ่า ใจเย็นๆก่อนหน้า ว่าแต่คนอื่นเป็นยังไงบ้างเนี่ย แล้วนายพลล่ะ ยังประจำการอยู่นี่รึเปล่า”

“ทุกๆคนสบายดี ส่วนนายพลยังอยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้าเลิกงานแล้วจะพาไปหาแล้วกัน”

“ไม่ต้องรอเลิกงานหรอกน่า ไปตอนนี้นี่แหล่ะ”

เมื่อเห็นท่าทางลังเลของลีเสี่ยวฟานแล้ว เฉินเฉียงได้ดึงแขนของเขาแล้วพูดออกมา “ไม่ต้องกังวล ข้าไปดูรอบๆมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรแน่นอน”

การกลับมาของเฉินเฉียงนี้ได้สร้างสีสันให้กับอาณานิคมในทันที

หนึ่งก็คืออัจฉริยะของอาณานิคมได้กลับมาจากสำนักเต่าดำ

หลังจากผ่านไปสามเดือน นายพลหลิงเว่ยเองก็ได้ข้ามขั้นเป็นระดับนายพลวิญญาณแล้วเช่นเดียวกัน

แต่ด้วยทรัพยากรที่จำกัด ทำให้เขาพึ่งจะเปิดจุดลับได้เพียงจุดเดียวเท่านั้น

“เฉินเฉียง นี่…”

หลิงเว่ยตกตะลึงในสิ่งที่ไหลออกมาจากแหวนมิติของเฉินเฉียงกว่าสามสิบชิ้น

“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็แค่การเก็บเกี่ยวเล็กๆน้อยๆระหว่างทางกลับบ้านน่ะ”

เฉินเฉียงพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่พวกนี้คือเนื้อสัตว์ประหลาดที่เขาไปวนเวียนหามาให้กับอาณานิคม

หลิงเว่ยได้มองไปที่ซากของสัตว์ประหลาดเหล่านี้ ก่อนที่จะหยิบสัตว์ประหลาดที่เป็นก้อนกลมๆขึ้นมา

“ไข่ดินเหรอ….ระดับนายพลวิญญาณ…เฉินเฉียง เจ้าฆ่าไอ้บ้านี่ด้วยเหรอ อย่าบอกนะว่าเจ้าเองก็อยู่ระดับนายพลเวิญญาณแล้วน่ะ”

“ข้าเองพึ่งจะข้ามขั้นมาได้ไม่ถึงเดือนดีเลยครับ” เฉินเฉียงยอมรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะนำแหวนอีกวงหนึ่งออกมาให้หลิงเว่ย

“นายพลหลิง นี่คือสินสงครามที่ข้าได้มาจากพวกโจร สำหรับค่าแล้วมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก มันเหมาะสมกับอาณานิคมของพวกเรามากกว่า”

หลิงเว่ยได้รับแหวนที่ดูหรูหรามาจากเฉินเฉียง ก่อนที่จะส่องเข้าไปดูข้างใน

อย่าว่าแต่ผู้นำอาณานิคมอย่างเขาเลย แม้แต่ศิษย์สำนักเองเต่าดำเองก็ไม่มีของดีแบบนี้

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเขาดูของข้างในแล้วก็ตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา

มันคืออาวุธหลากหลายประเภทนับร้อยชิ้น แต่ละชิ้นล้วนแล้วดีกว่าอาวุธที่อาณานิคมเขาหมางมีอยู่ อย่างน้อยๆก็ขั้นหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมีแก่นคริสตัลอีกนับพัน ทุกอันแล้วแล้วแต่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น

เมื่อคิดถึงว่าตอนที่เขาและเฉินเฉียงไปทำภารกิจรังเจ็ดหมาป่าและกลับมา ผู้คุมภารกิจของตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทราได้มอบรางวัลค่าเข้าร่วมเป็นแก่นคริสตัลทหารขั้นสูงห้าก้อนซึ่งถือว่าล่อตาล่อใจมากแล้ว ไม่คิดว่าจากกันเพียงไม่กี่เดือน เฉินเฉียงกับมีทรัพยากรที่เหนือล้ำกว่ามากนัก

“เฮ้ออออ สำนักเต่าดำนี่ทรงพลังจริงๆ เฉินเฉียง สิ่งเหล่านี้จะช่วยเหลืออาณานิคมของพวกเราได้อย่างมาก”

“ข้าเองขอรับแหวนและอาวุธเหล่านี้ไว้แล้วกัน แต่กับแก่นคริสตัลนี้ เจ้าควรจะนำกลับไป”

หลังจากพูดจบ หลิงเว่ยได้ส่งคืนแก่นคริสตัลทั้งหมดให้เฉินเฉียง

“อ้าว ทำไมกันล่ะครับ”

หลิงเว่ยได้เรียกกัปตันจางผู้กำลังเดินลาดตระเวนอยู่ให้เข้ามา “กัปตันจาง นำไข่พวกนี้ไป คืนนี้พวกเราจะเลี้ยงต้อนรับอัจฉริยะของอาณานิคมของเราเป็นอย่างดี วันนี้ผ่อนคลายเรื่องสัตว์ประหลาดได้เลย”

หลังจากกัปตันจางนำไข่ดินออกไปแล้ว หลิงเว่ยก็ได้พูดขึ้นมา “เฉินเฉียง แก่นคริสตัลที่เจ้านำกลับมานั้นแน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องการ เพราะมันจะช่วยเสริมสร้างให้นักรบของพวกเรานั้นแข็งแกร่งขึ้น”

“อย่างไรก็ตาม การได้แก่นคริสตัลพวกนี้มานั้นอาจจะทำให้นักรบของพวกเราเองชะล่าใจ และอาจทำให้พวกเขาคิดว่าแก่นคริสตัลพวกนี้เป็นสิ่งที่หากันได้ง่ายๆ”

“หากเป็นแบบนี้ ต่อให้พวกเขาจะมีระดับการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งขึ้นมา แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขาจะตกลงในทันที”

“ข้าเองคิดหวังไว้ว่าแก่นคริสตัลที่อาณานิคมได้มาในทุกๆก้อนต้องมาจากการต่อสู้ของเหล่านักรบของเรา”

“มีเพียงการต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมอันโหดร้ายนี้อย่างต่อเนื่อง อาณานิคมของเราจะยิ่งเข้มแข็งมากขึ้น และนี่คืนหนทางรอดของอาณานิคมของพวกเรา”

เมื่อเฉินเฉียงได้ยินก็นำแก่นคริสตัลกลับไปด้วยความคิดเดียวกัน

ต่อให้เขาจะถือได้ว่าไม่ใช่คนของที่นี่แล้ว แม้นายพลหลิงเว่ยจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเขา แต่ด้วยแนวคิดที่สมกับการเป็นผู้นำอาณานิคมนี้เองทำให้เฉินเฉียงนับถือเขาขึ้นมาอย่างหมดใจ

อย่างไรก็ตาม เขาเองได้ส่งมอบแก่นคริสตัลที่เขาซื้อมาสองก้อนจากสำนักมอบให้กับหลิงเว่ย

“นายพลหลิง แก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางสองก้อนนี้สามารถอยู่ที่นี่ได้ ส่วนท่านจะเอามันไว้ตั้งโชว์หรือมอบให้ใครนั้นแล้วแต่ท่าน สิ่งนี้เป็นเพียงของขวัญเล็กๆน้อยๆที่ข้ามอบให้ท่านในฐานะที่เป็นสมาชิกของที่นี่คนหนึ่งได้รึเปล่า”

“ฮ่าฮ่า ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

หลิงเว่ยรับแก่นคริสตัลทั้งสองก้อนนี้ด้วยความยินดียิ่ง

“มามา เฉินเฉียง คืนนี้พวกเรามาดื่มกัน”

หลังจากงานเลี้ยงจบลง เฉินเฉียงได้กลับไปยังบ้านพักของทีมเก็บกู้ซากศพ

หลังจากเฉินเฉียงจากไปนั้น ที่นี่ก็เหลือเพียงเจ้าอ้วนและคนอื่นๆอีกหกคนที่ยังไม่อาจปลุกพลังสายเลือดได้

“พี่เฉียง พี่ต้องกลับมาเยี่ยมพวกเราบ่อยๆนา หากพี่ไม่กลับมาบ่อยๆล่ะก็ พวกเราคงจะอดกินเนื้อแบบนี้ไปอีกนานแสนนานแน่ๆ ช่างอร่อยจริงๆ”

ในค่ำคืนนี้ เจ้าอ้วนพูดคุยกับเฉินเฉียงโดยไม่คิดจะวางมือจากเนื้อสัตว์ประหลาดเลยสักเวลา

“เจ้าอ้วน ไปกับข้าหน่อยนะพรุ่งนี้ ข้าจะไปเยี่ยมหลุมศพปู่ซุนน่ะ”

เมื่อเห็นเจ้าอ้วนเคี้ยวเนื้อสัตว์ประหลาดในปากนี้ก็อดทำให้เฉินเฉียงนึกถึงค่ำคืนที่ปู่ซุนดื่มกับเขาตอนที่เข้าร่วมกับทีมลาดตระเวนครั้งแรกไม่ได้

วันถัดมา เฉินเฉียงและเจ้าอ้วนได้ไปยังหลุมศพของปู่ซุนด้วยกัน

“พี่เฉียง ตั้งแต่เจ้าจากไปนั้น พวกเราทั้งหกเองก็มาแวะเวียนมาหาปู่ซุนกันทุกสองวัน เราเองก็หวังจริงๆว่าจะได้กลับไปเป็นเหมือนวันก่อนๆที่พวกเราได้อยู่สนุกด้วยกัน”

เมื่อยืนต่อหน้าป้ายหลุมศพของซุนต้าฮู่ เฉินเฉียงได้รำลึกความหลังเกี่ยวกับคำมั่นที่ทั้งสองเคยให้กันไว้

“อย่ากังวลนะครับ ปู่ซุน ข้าจะต้องนำธงแห่งกองกำลังเทียนเว่ยมาให้จงได้”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้ใช้นิ้วปาดตัวอักษรที่เขาเคยได้สลักเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็ได้ยืนขึ้นก่อนที่จะดึงดาบดั้นเมฆออกมา

“เจ้าอ้วน ถอยไปหน่อย”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ตวัดดาบดั้นเมฆในมือของเขา

บังเกิดประกายแสงที่ตวัดไปมากลางอากาศ นี่คือแสงที่เกิดจากการร่ายรำเพลงดาบสายฟ้าทำลายวิญญาณที่เกือบจะสมบูรณ์แบบตามที่ซุนต้าฮู่เคยได้แสดงให้เฉินเฉียงดู ในขณะเดียวกัน ยิ่งเฉินเฉียงร่ายรำไปมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งดูทรงพลังและยากจะต่อกร

ด้วยการที่ตอนนี้เฉินเฉียงมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณ ถึงแม้ว่าเขาจะยังสำเร็จเคล็ดวิชานี้เพียงแค่ระดับต้น จึงไม่อาจจะทำได้เหมือนเท่าและยังไม่คุ้นเคยกับอีกสองกระบวนท่าที่เหลือ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้เจ้าอ้วนจ้องมองด้วยความตกตะลึงได้แล้ว

“พี่เฉียง สุดยอดดดด”

อย่างไรก็ตาม ตอนที่เฉินเฉียงกำลังร่ายกระบวนท่าที่ห้านั้น เสียงลมกรีดอากาศได้ดังขึ้น ตามมาด้วยคลื่นพลังที่แหลมคมได้พุ่งมาแต่ไกล และเล็งไปที่หัวของเฉินเฉียงและเจ้าอ้วน