ฉินเทียนกำลังวิเคราะห์ข้อมูลที่ลวี่หลีให้มา ซึ่งค่อนข้างยากเพราะมีเพียงข้อมูลเหล่านี้เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขายังไม่พบเบาะแสใดๆ
ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับจับใจความสำคัญได้อย่างหนึ่ง
“ซูจิ่นซีจะทำสุราดอกเหมยให้ข้า? ”
ลวี่หลีไม่เข้าใจจุดประสงค์การเดินทางมาที่หอสุราตู้คังของซูจิ่นซีอย่างแท้จริง ทันใดนั้นนางก็รู้สึกน้อยใจแทนซูจิ่นซี
นางคิดว่าหากไม่ใช่เพราะต้องการทำสุราดอกเหมยให้ท่านอ๋องผู้นี้ คุณหนูก็คงคิดอย่างรอบคอบ ไม่รีบร้อนมายังหอสุราตู้คังแห่งนี้เป็นแน่!
“เพคะ! วันนี้ตอนที่ออกมาจากจวนท่านอ๋อง คุณหนูถามความชอบของท่านอ๋องจากแม่นมฮวา แม่นมฮวาจึงบอกว่าก่อนหน้านี้ท่านอ๋องชอบดื่มสุราดอกเหมยอยู่บ่อยๆ เพคะ”
ด้วยเหตุนี้ลวี่หลีจึงจับผลัดจับผลูเอาตามความคิดของตนและ ‘ปัดความผิด’ ให้เยี่ยโยวเหยาเนื่องจากมีส่วนทำให้ซูจิ่นซีหายตัวไป
เห็นได้ชัดว่าลมหายใจของเยี่ยโยวเหยาทำให้บรรยากาศโดยรอบอึมครึมขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าของฉินเทียนพลันเปลี่ยนแปลงไปด้วย เขามองไปที่ลวี่หลีอย่างกังวล
แม้แต่ตัวลวี่หลีเองก็ผงะกับคำพูดที่ตนพูดกับเยี่ยโยวเหยา นางรีบคุกเข่าลงบนพื้นอย่างไร้เสียง
หลังจากนั้นไม่นานเยี่ยโยวเหยาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ฉินเทียนเตรียมตัว ข้าจะพาคนค้นหอสุราด้วยตนเอง”
หอสุราตู้คังแห่งนี้ตั้งอยู่ในภูเขาชังชุ่ยที่เต็มไปด้วยอันตรายจากธรรมชาติ หอสุราถูกล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสองข้าง ด้านหลังเป็นหน้าผา มีทางลงเขาเพียงทางเดียวเท่านั้น
แทบจะทันทีที่ทราบว่าซูจิ่นซีหายตัวไป แม่ทัพฮั่วจีก็ได้นำคนไปปิดกั้นทางลงเขาเพียงทางเดียวนั้นแล้ว
องครักษ์เงาจากจวนโยวอ๋องที่ถูกแอบส่งไปไว้ข้างกายของซูจิ่นซี แม้ว่าจะมีเพียงสองคนเท่านั้นและไม่ใช่หน่วยทหารลับที่เก่งที่สุดของเยี่ยโยวเหยา ทว่าทั้งสองต่างก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ยังมีความสามารถที่แข็งแกร่งในการรับมือ หลังจากทราบว่าซูจิ่นซีหายตัวไป พวกเขาก็เป็นกลุ่มแรกที่ส่งคนไปเฝ้าทางลงจากภูเขา ทว่าก็ไม่พบร่องรอยของซูจิ่นซีเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าผู้ที่จับตัวซูจิ่นซีไปจะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเสียบปีกบินข้ามผ่านกลุ่มคนจากทั้งสองหน่วยและหลบหนีออกจากเขาชังชุ่ยนี้ไปได้
ดังนั้นเยี่ยโยวเหยายังคงเชื่อเช่นเดิมว่าซูจิ่นซียังคงอยู่บนเขาชังชุ่ยแห่งนี้
ตั้งแต่ที่ซูจิ่นซี…สตรีผู้นี้ปรากฎตัวขึ้นมา ฉินเทียนก็พบว่าเยี่ยโยวเหยาได้ขัดเกลาทัศนคติของตนมากกว่าหนึ่งครั้ง เยี่ยโยวเหยาได้ขัดเกลาและเปลี่ยนแปลงทัศนคติสามสิ่ง [1] ที่มีต่อโลกของเขาอย่างรวดเร็ว
ฉินเทียนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังเยี่ยโยวเหยาด้วยความประหลาดใจ
นี่ยังคงเป็นราชาผู้ชั่วร้าย ‘เยี่ยโยวเหยา’ ผู้มีใบหน้าเย็นชาอยู่หรือไม่?
การระดมคนเพื่อค้นหาสิ่งที่ต่ำต้อยเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ผู้สูงส่งอย่างเขาควรจะทำในฐานะท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์!
ที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเยี่ยโยวเหยานั้นมีประสิทธิภาพ เข้มงวด และแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน
ขอเพียงเยี่ยโยวเหยาเป็นผู้สั่งการเท่านั้น หลังจากนั้นก็ทำเพียงนั่งรอฟังผลลัพธ์ในตำแหน่งที่ของตนก็พอ
ทว่าบัดนี้ คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะนำคนไปค้นหาด้วยตนเอง เขาลงมือทำในสิ่งที่ฉินเทียนซึ่งเป็นหัวหน้าของทหารรักษาพระองค์ควรทำ
ฉินเทียนรู้สึกราวกับ ‘เทพเซียนเสด็จลงมายังโลกมนุษย์เพื่อไถนา’ มันสะเทือนความรู้สึกอย่างรุนแรงมากจนทำให้คนไม่อาจรับได้
ฉินเทียนยังไม่ทันฟื้นสติจากความประหลาดใจ เยี่ยโยวเหยาก็ออกไปด้านนอกแล้ว
เขารีบเรียกกำลังคนแล้วตามเยี่ยโยวเหยาไปค้นหาทั่วหอสุราอีกครั้ง
แท้จริงแล้วเยี่ยโยวเหยาคาดการณ์ไว้ไม่ผิด เวลานี้ซูจิ่นซีอยู่ในหอสุราจริงๆ
เพียงแต่นางก็ไม่ทราบว่าตนเองอยู่ที่ใด
ทั้งสี่ด้านเป็นเพียงผนังหนาที่เย็นเฉียบ ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ที่ปิดสนิทราวกับห้องลับ ด้านในจุดตะเกียงไว้ มีเตียงหนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว และเก้าอี้อีกสองตัว
นางตื่นนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินเสียงทะเลาะกันจากด้านนอกด้วย
“ผู้คุมกฎซิ่งต้องการนำสตรีนางนั้นกลับไปยังหนานเจียงเซี่ยนเพื่อมอบให้กับท่านประมุขหลาน เกรงว่าคงไม่เหมาะสมกระมัง? ผู้คุมกฎซิ่งอย่าลืมว่าทูตแห่งการสอนซ้ายขวาสองคน ไม่สามารถทนต่อผู้พิทักษ์เขตอย่างท่านที่ทำเกินกว่าอำนาจโดยตรงได้หรอก”
เป็นเสียงของผู้ชายที่กล่าวเตือนอย่างชัดเจน
“เหอะๆ เหตุใดข้าจะทำไม่ได้เล่า? หากไม่ใช่เพราะข้าที่เป็นผู้ทดสอบพิษบนร่างกายของนาง จนทำให้นางถูกพิษอย่างหนัก หลังจากนั้นตัวนางกลับเป็นผู้ถอนพิษเสียเอง เจ้ากับข้าสองคน เหตุใดจึงมาพบนางผู้มีปรีชาสามารถในการใช้พิษได้? พูดตามตรง ข้าคือคนที่พบสตรีผู้มีพรสวรรค์ในด้านพิษ เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องเป็นคนมอบนางให้กับท่านประมุขหลานด้วยตนเอง ทูตซ้ายพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางเช่นนี้ หรือว่าเจ้าคิดจะแย่งชิงผลงานกับข้าอย่างนั้นหรือ?
“ซิ่งหลิวหลีเจ้าอย่ามองข้ามความหวังดีของผู้อื่น ทูตอย่างข้าสามารถยืนอยู่กับเจ้าตรงนี้อย่างเปิดเผยก็ถือว่าไว้หน้าเจ้ามากพอแล้ว มิเช่นนั้น หากยืดตามสถานการณ์การสอนในแต่ละวัน หากวันนี้ทูตอย่างข้าคิดจะเอาชีวิตของเจ้าโดยตรงก็ย่อมได้ เพียงแค่รายงานกับเบื้องบนว่าเจ้าเสียสละเพื่อหน้าที่ เชื่อว่าต่อให้เป็นประมุขหลานก็คงไม่พูดมากไปกว่าหนึ่งคำเป็นแน่”
บุรุษผู้นั้นโกรธอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าสตรีนางนั้นกลับไม่ได้แสดงความอ่อนแอออกมาแต่อย่างใด
“เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก”
ซูจิ่นซีรู้สึกได้ว่าสองคนข้างนอกกำลังพูดถึงนาง
ตามที่สตรีผู้นั้นบอก พิษที่ซูจิ่นซีมีในร่างกายก่อนหน้านี้เป็นนางที่ทดสอบพิษเอง หรือว่านางจะเป็นผู้ที่ตนรู้จัก?
เป็นผู้ใดกัน?
หรือว่าจะเป็นคนของจวนสกุลซู?
ซูจิ่นซีย้อนนึกถึงคนเหล่านั้นในจวนสกุลซูอย่างรวดเร็ว ทว่าผ่านไปสักพักกลับนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด
ทันใดนั้นก็มีเสียงการต่อสู้และอาวุธปะทะกันจากทางด้านนอก
ชัดเจนว่า สองคนด้านอกกำลังต่อสู้กันแล้ว
ต่อสู้กันเองอย่างนั้นหรือ!
เดิมทีเวลานี้เป็นโอกาสอันดีที่สุดสำหรับซูจิ่นซีในฐานะตัวประกันที่จะหลบหนี น่าเสียดายที่มือและเท้าของนางถูกมัดเอาไว้ และปากก็ยังถูกยัดด้วยผ้าขนหนู
ซูจิ่นซีขยับตัวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
พวกเขาใช้เวลาต่อสู้กันราวหนึ่งถ้วยน้ำชา จากนั้นซูจิ่นซีก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ และเสียงสิ่งของหนักๆ ตกลงบนพื้น
ตามมาด้วยเสียงของสตรีนางนั้นที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“เจ้าเป็นหนึ่งในทูตทั้งสองแล้วอย่างไร? คิดจะมาเทียบวรยุทธและทักษะพิษกับข้า…ซิ่งหลิวหลี? ”
ซูจิ่นซีเดาว่าบุรุษผู้นั้นจะต้องถูกสตรีที่ชื่อว่าซิ่งหลิวหลีจัดการไปแล้วอย่างแน่นอน
นางกำลังครุ่นคิดในใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนักๆ ดังขึ้น ประตูหินของห้องลับถูกเปิดออกแล้ว
สตรีที่เดินเข้ามาสวมชุดคลุมสีเขียว คงเป็นซิ่งหลิวหลี
แม้ว่าซูจิ่นซีจะสามารถระบุว่าสตรีนางนั้นเป็นพนักงานของหอสุราตู้คังได้โดยอ้างอิงจากชุดสีเขียวนั่น ทว่านางคลุมใบหน้าของนางด้วยผ้าเช็ดหน้าสีเขียวซึ่งเป็นสีเดียวกันกับเสื้อผ้า ซูจิ่นซีจึงมองไม่เห็นว่าหน้าตาของนางเป็นอย่างไร
“ลุกขึ้นมา! ”
ซิ่งหลิวหลีดึงซูจิ่นซีลุกขึ้นจากเตียงอย่างหยาบคาย
“ฮือๆๆๆ… ”
ซูจิ่นซีถูกกระชากจนเจ็บปวด นางขืนตัวต่อต้านไปสองครา ทันใดนั้นดาบที่เย็นเฉียบก็วางพาดบนลำคอขาวเนียนของซูจิ่นซี
“หุบปาก หากร้องอีกข้าจะฆ่าเจ้า”
ซูจิ่นซีเชื่อ แม้ว่าสตรีผู้นี้จะไม่ฆ่าตน ทว่าในชั่วพริบตาดาบที่เย็นเฉียบและคมกริบนั้นจะต้องทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนคอของนางเป็นแน่
เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานบนผิวหนัง ซูจิ่นซีจึงสงบลงทันที
“พวกเจ้าสองสามคน ไปหาตรงนั้น พวกเจ้าอีกสองสามคน ไปหาฝั่งนั้น คนที่เหลือตามข้ามา! ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอก ดูเหมือนว่าจะมีคนมาเป็นจำนวนมาก
“โยวเหยา นี่เป็นห้องสุดท้ายแล้ว เจ้าแน่ใจนะว่าซูจิ่นซียังอยู่ที่หอสุรานี้”
“ค้น! ”
เป็นเสียงของเยี่ยโยวเหยากับฉินเทียน
ซูจิ่นซีมองผ่านช่องว่างของประตูห้องลับที่ยังปิดไม่สนิท
ห้องมืดไปเสียหน่อย ทว่าไฟจากภายนอกกลับสว่าง เมื่อมองผ่านกระดาษหน้าต่างแผ่นบาง ซูจิ่นซีก็สามารถมองเห็นได้ในทันที ด้านนอกห้องมีร่างสูงเย็นชาและมืดมนที่นางคุ้นเคย
“ฮือฮือ… ฮือฮือฮือ… ”
ซูจิ่นซีต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง นางพยายามส่งเสียงเตือนเยี่ยโยวเหยาถึงตำแหน่งที่นางอยู่ตอนนี้
“เสียงอันใดกัน? ”
ทันใดนั้นฉินเทียนที่อยู่ด้านนอกก็พูดขึ้น
……