ทันใดนั้นสีหน้าของซิ่งหลิวหลีก็เปลี่ยนไปมาก นางรีบเร่งมาปิดประตูหินของห้องลับ แล้วเปิดประตูลับไปในทิศทางตรงกันข้ามห้องลับอย่างรวดเร็ว ซิ่งหลิวหลีตัดเชือกที่ผูกติดกับเท้าของซูจิ่นซีทั้งสองข้างให้ขาดเป็นสองท่อน แล้วลากซูจิ่นซีผ่านประตูลับเข้าไปในเส้นทางปริศนา
แทบจะในเวลาเดียวกัน เยี่ยโยวเหยาก็มาถึงห้องที่ซูจิ่นซีอยู่ก่อนทุกคน ด้วยความเร็วที่ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ในเวลานี้ ทุกอย่างได้ถูกซิ่งหลิวหลีจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…ชายชุดดำที่ถูกพิษจนสลบอยู่บนพื้น คาดไม่ถึงว่า จู่ๆ จะกระโดดขึ้นมายึดประตูไว้อย่างสุดกำลังด้วยฝ่ามือ เพื่อต้านทานเยี่ยโยวเหยาที่กำลังจะพังประตูเข้ามา
เพียงชั่วเวลาพริบตาเดียว สองยอดฝีมือต่างก็ประลองกัน ท่ามกลางจุดสูงสุดของยอดเขา
รอบข้างมีผู้คนมากมาย ทว่าฉินเทียนกับหลินเฟิงที่มักจะอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยา บัดนี้พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ด้านในด้วยทักษะฝีมือที่ไม่เลว ทำให้พวกเขาไม่ทันสังเกตว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น
ด้านนอกต่อสู้กันอย่างดุเดือด ซูจิ่นซีที่ถูกซิ่งหลิวหลีลากเข้าไปในเส้นทางปริศนาก็ตกใจจนหัวใจเต้นแรงเช่นกัน
เส้นทางปริศนามีเพดานที่ต่ำลงมาเล็กน้อย ทั้งสองคนจึงต้องก้มตัวลง ทว่าซิ่งหลิวหลีกลับลากซูจิ่นซีให้วิ่งไปตลอดทางไม่ได้หยุด
ร่างกายกระแทกเข้ากับกำแพงหลายครั้ง หินที่ยื่นออกมาก็ราวกับคมมีด ชั่วพริบตาเดียวผิวหนังของซูจิ่นซีก็ถูกข่วนจนมีรอยเลือด มันไหลซึมออกมาตามเสื้อผ้าบางๆ อย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด
ในที่สุดทั้งสองคนก็ออกมาจากเส้นทางปริศนาได้
ด้านนอกเป็นป่าไผ่ พระจันทร์และดวงดาวส่องแสงพร่างพราว กระจัดกระจายอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน
อาศัยแสงจันทร์ที่เจิดจรัส ซูจิ่นซีสังเกตว่าสถานที่ที่พวกตนออกมานั้นดูเหมือนจะอยู่ด้านล่างหน้าผา ทางออกของเส้นทางปริศนาตั้งอยู่บนหน้าผาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้และเถาวัลย์นานาพันธุ์ อีกทั้งยังมีกลไกซ่อนอยู่อีกด้วย
ผ้าขนหนูที่ปิดปากของซูจิ่นซีคลายออกเล็กน้อยจากการวิ่ง ซูจิ่นซีใช้กำลังดันปลายลิ้นให้ผ้าขนหนูนั้นตกลง
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? จะพาข้าไปที่ใด? ”
ซูจิ่นซีก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ถามอย่างระมัดระวังตัว
ซิ่งหลิวหลีไม่คาดว่าซูจิ่นซีจะสามารถใช้ปลายลิ้นดันผ้าขนหนูให้ตกลงมาได้
หลังจากประหลาดใจ ซิ่งหลิวหลีก็หัวเราะเยาะเย้ย
“ซูจิ่นซี คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ”
“เจ้ารู้ชื่อข้า? เจ้าเป็นผู้ที่อยู่ข้างกายข้าหรือ? เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? ”
ซูจิ่นซีสามารถจับประเด็นสำคัญในคำพูดของซิ่งหลิวหลีได้ นางถามคำถามอีกสามข้อติดต่อกัน ไม่ใช่เพื่อให้ซิ่งหลิวหลีตอบคำถามของตน ทว่าเพื่อทดสอบเพิ่มเติมว่าซิ่งหลิวหลีเป็นผู้ที่ตนรู้จักหรือไม่
ซิ่งหลิวหลีเรียกชื่อซูจิ่นซีออกมา เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้คาดคิดถึงคำพูดที่ผิดพลาดของตน ครู่หนึ่งแสงสว่างในดวงตาก็สั่นไหว นางหรี่ตาลงเล็กน้อย
การตอบสนองนี้ถูกซูจิ่นซีสังเกตได้อย่างไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ตอบให้ตรงคำถาม! ”
ปากของซูจิ่นซีถูกปิดอีกครั้ง จากนั้นซิ่งหลิวหลีก็ลากนางเข้าไปในส่วนลึกของป่าไผ่
ในลานด้านหลังของหอสุราตู้คัง ทันใดนั้นบุรุษยอดฝีมือชุดดำก็ออกมาจากในห้อง ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ต้องการโจมตีเยี่ยโยวเหยาจริงๆ ทว่าทำเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้เยี่ยโยวเหยาเข้าไปในห้องได้
หลังจากที่ทั้งสองต่อสู้กันได้สองกระบวนท่าโดยไม่อาจรู้แพ้ชนะ บุรุษชุดดำก็ถือโอกาสนี้กระโดดขึ้นไปบนหลังคาแล้วหลบหนีไปในความมืด
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ให้คนตามไปจับตัวกลับมา
“ลูกพี่ฉิน พบห้องลับห้องหนึ่ง”
มีคนเอ่ยเรียกฉินเทียน
ฉินเทียนและเยี่ยโยวเหยาจึงเข้าไปด้านในห้องพร้อมกัน
ประตูหินของห้องลับถูกเปิดออก ด้านในมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก มันคือสถานที่ที่ซิ่งหลิวหลีซ่อนซูจิ่นซีก่อนหน้านี้
“ตรงนี้ยังมีห้องลับอีกหนึ่งห้อง”
ไม่นานก็พบเส้นทางปริศนาที่อยู่ทิศตรงกันข้ามกับประตู
“โยวเหยา เมื่อครู่ข้าได้ยินเหมือนเสียงของสตรี ซูจิ่นซีจะต้องถูกคนผู้นั้นย้ายไปจากตรงนี้อย่างแน่นอน คำนวณตามเวลาแล้ว พวกนางคงหนีไปได้ไม่ไกลนัก ข้าจะพาคนไปนำซูจิ่นซีกลับมา”
“ไม่ต้อง! ” เสียงเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาเอ่ยขึ้น “หาที่พักก่อน อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ฉินเทียนไม่กล้าเชื่อหูของตนเอง
เยี่ยโยวเหยาจะใช้ซูจิ่นซีเป็นเหยื่อล่อเพื่อจับปลาตัวใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่?
เท่าที่ฉินเทียนทราบ เยี่ยโยวเหยาแอบสืบสวนองค์กรการทำงานของไหวเจียงในจงหนิงมาตลอด วิธีการของผู้ที่จับตัวซูจิ่นซีไปในครั้งนี้เหมือนกับการทำงานของผู้ช่วยไหวเจียงคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าจะไม่มีสิ่งใดที่เยี่ยโยวเหยาทำไม่ได้ ทว่าเยี่ยโยวเหยาผู้ซึ่งมีอำนาจมากล้นจนไม่มีผู้ใดเทียบได้ก็ยังได้รับความเดือดร้อนจากบุคคลเหล่านั้น จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว
เยี่ยโยวเหยาควรรู้ดียิ่งกว่าผู้ใด ว่าหากซูจิ่นซีตกอยู่ในกำมือคนของไหวเจียงแล้ว นางต้องเผชิญกับอันตรายมากเป็นแน่
ทว่าคาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะเอ่ยคำพูดเช่นนั้นออกมา
แม้ว่าการกระทำของเยี่ยโยวเหยามักจะทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ได้เสมอ ทว่าฉินเทียนกลับรู้สึกว่ามันทำให้เขามองความคิดของเยี่ยโยวเหยาไม่ออกมากยิ่งขึ้น
ท้ายที่สุดแล้วเยี่ยโยวเหยาสนใจความเป็นความตายของซูจิ่นซีหรือไม่?
ซูจิ่นซีในใจของเยี่ยโยวเหยามีค่ามากเพียงใด?
ซิ่งหลิวหลีพาซูจิ่นซีเดินไปทางใต้ พวกนางเดินไปตามถนนบนภูเขาที่เงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง บนภูเขาไม่มีผู้คนมากนัก
ระหว่างทางพวกนางพบยอดฝีมือสองคน ดูเหมือนทั้งคู่ต้องการแย่งชิงซูจิ่นซีจากซิ่งหลิวหลี ทว่ากลับถูกซิ่งหลิวหลีจัดการไปได้ทั้งคู่
ซิ่งหลิวหลีได้รับบาดเจ็บ ส่วนซูจิ่นซีเพียงได้รับประสบการณ์ที่น่ากลัวโดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ
เดินทางมาได้หนึ่งวันหนึ่งคืน จนถึงเย็นของวันต่อมา ซิ่งหลิวหลีคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ นางหาที่พักในเมืองห่างไกล ทั้งสองจึงได้พักผ่อน
ภายใต้แสงเทียน ซิ่งหลิวหลีจัดการกับบาดแผลบนหลังของตนอย่างยากลำบาก ตำแหน่งของแผลอยู่ไกลจากเงื้อมมือ ทำให้นางทำแผลได้ลำบากเล็กน้อย
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมองดูอยู่ตลอด
ซิ่งหลิวหลีดูเหมือนจะเข้าใจการแสดงออกของซูจิ่นซีที่พยายามจะช่วย นางจึงก้าวไปข้างหน้าและหยิบเอาผ้าขนหนูออกจากปากของซูจิ่นซี พร้อมทั้งคลายมัดสองมือสองเท้าให้นาง จากนั้นซิ่งหลิวหลีก็ยื่นผ้าสะอาดให้ซูจิ่นซีหนึ่งผืน
“อย่าคิดจะเล่นลูกไม้อันใด มิเช่นนั้น… ”
ซิ่งหลิวหลีไม่พูดอันใดอีก นางปากริชออกไปเสียบลงบนโต๊ะทันที
ในใจของซูจิ่นซีหวาดผวาเล็กน้อย
นางยังไม่ทันได้ทำอันใด อย่าเพิ่งขู่นางได้หรือไม่?
ซูจิ่นซีในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่เด็กก็ไม่เคยพบเจอกับเหตุการณ์เลวร้ายที่ทำให้ตกใจกลัวแม้แต่น้อย ดังนั้นนางที่อยู่ในโลกนี้จึงมีความกล้าที่น้อยนิดเสียจริง
แม้คิดจะหนี นางไม่มีวรยุทธไม่เป็นไร ทว่าขาสองข้างก็ยังถูกมัดอยู่ไม่ใช่หรือ?
เมืองนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาและป่าไม้ที่แห้งแล้ง นางจะหนีไปที่ใดได้กัน?
“ยังไม่ลงมืออีก! ”
ซิ่งหลิวหลีเผยแผ่นหลังขาวเนียนวาววับของตน ทว่าเวลาผ่านไปนานแล้วซูจิ่นซีก็ยังไม่ลงมือรักษาบาดแผลเสียที ซิ่งหลิวหลีจึงเอ่ยอย่างหมดความอดทน
ซูจิ่นซีไม่แสดงสีหน้าใดๆ นางแช่ผ้าขนหนูในน้ำร้อนและซักให้เรียบร้อย แม้แต่ศัตรู ซูจิ่นซีก็ปฏิบัติต่อนางในฐานะผู้ป่วยและจัดการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง
ใช้เวลาเพียงไม่นาน บาดแผลก็ได้รับการรักษาไปพอสมควรแล้ว เพียงแค่ผูกผ้าขาวสะอาดก็เป็นอันเสร็จ
เนื่องจากบาดแผลอยู่ด้านหลัง เพื่อยึดผ้าพันแผลให้แน่น จึงต้องพันรอบร่างกายของซิ่งหลิวหลีอีกรอบ
ทั้งหน้าและหลังของซิ่งหลิวหลีถูกพันด้วยผ้าพันแผล และด้วยความบังเอิญ ซูจิ่นซีจึงสังเกตเห็นส่วนบริเวณรอบๆ คิ้วและหูของซิ่งหลิวหลีที่ปิดผ้าไว้ไม่สนิท ทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกคุ้นเคยทว่ากลับไม่สามารถอธิบายได้
มันยิ่งเพิ่มความมั่นใจแก่ซูจิ่นซีมากขึ้นว่าซิ่งหลิวหลีเป็นคนที่ตนรู้จักอย่างแน่นอน
นางเป็นผู้ใดกันแน่?
ซูจิ่นซีอยากดึงผ้าที่อยู่ใกล้มือเพียงนิ้วเดียวเพื่อหาคำตอบเสียจริง
ทว่าซูจิ่นซีก็ทราบดีถึงความแตกต่างทางศักยภาพในการต่อสู้ระหว่างตนเองกับซิ่งหลิวหลี
หากคิดจะดึงผ้าคลุมหน้าของซิ่งหลิวหลีออก โอกาสสำเร็จแทบเป็นศูนย์
ในเมื่อไม่สามารถจัดการได้ด้วยกำลัง เช่นนั้นก็มีเพียงปัญญาเท่านั้น
สิ่งที่ซูจิ่นซีเก่งที่สุดคือการถอนพิษ และสิ่งที่ดีที่สุดแน่นอนว่าคือการวางยาพิษ
ซูจิ่นซีใช้เวลาอยู่นานเพื่อเลือกพิษในระบบถอนพิษอย่างระมัดระวังและรอบคอบ สุดท้ายก็หยิบยาพิษชนิดหนึ่งที่ไม่มีกลิ่นไม่มีรสออกมา
นี่เป็นช่องว่างของเวลาสามพันปีต่อมา สิ่งของเหล่านี้ได้ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เดิมทีช่วงเวลาในภพนี้ยังไม่มีส่วนประกอบเหล่านั้น
ดังนั้นจึงทำให้สิ่งของระดับสูงต้องสูญเปล่าอย่างฟุ่มเฟือย ซูจิ่นซีเคยผ่านมาก่อน นางจึงพิจารณาอย่างรอบคอบและละเอียดถี่ถ้วนเป็นอย่างยิ่ง
ซูจิ่นซีรู้ว่าซิ่งหลิวหลีรู้จักพิษ ทว่าไม่รู้ว่านางใช้ได้เก่งเพียงใด กอปรกับที่ซูจิ่นซีไม่รู้วรยุทธ ดังนั้นนางต้องลงมือเพียงครั้งเดียวและต้องแน่ใจว่าจะสำเร็จแน่นอน
มิฉะนั้น หากโต้กลับไม่สำเร็จ ไม่เพียงแต่ซูจิ่นซีไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของซิ่งหลิวหลีเท่านั้น ซูจิ่นซียังจะตกอยู่ในกำมือของซิ่งหลิวหลีอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นต้องน่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นตอนที่กำลังแบกซิ่งหลิวหลี ซูจิ่นซีจึงรีบถูพิษที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่นบนแขนของตนอย่างเร่งรีบ
เมื่อนำผ้าไปพันรอบตัวของซิ่งหลิวหลีจนถึงด้านหน้า ซูจิ่นซีก็จงใจขยับแขนที่ทาพิษเข้าไปใกล้ๆ จมูกของซิ่งหลิวหลีเล็กน้อย
เมื่อพันกลับมาถึงด้านหลังของซิ่งหลิวหลี ก็พบว่านางไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย ในใจของซูจิ่นซีจึงรู้สึกมีความสุข
“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม”
“สี่”
“ห้า”
“ล้ม… ”
ซูจิ่นซีแอบนับเลขหนึ่งถึงห้าในใจ จากนั้นซิ่งหลิวหลีก็ล้มลงบนพื้นอย่างที่นางคาดไว้
ซูจิ่นซีแตะที่ตัวของซิ่งหลิวหลีอย่างโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าบีบบังคับข่มขู่ข้า ทำร้ายข้า หากตอนนี้เจ้ามีความสามารถก็ลุกขึ้นมาสิ! เล่นยาพิษหรือ? ไม่ดูเสียเลยว่าข้าเป็นผู้ใด ต่อหน้าข้า…ซูจิ่นซี เจ้ายังอ่อนหัดไปเสียหน่อย ไหนให้ข้าดูสิว่าเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”
พูดจบ นิ้วเรียวยาวทั้งห้าที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อก็เอื้อมไปยังใบหน้าของซิ่งหลิวหลีที่มีผ้าคลุมอยู่