เล่ม 3 เล่มที่ 3 ตอนที่ 73 คาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ตั้งแต่เรียนรู้เรื่องพิษ ซูจิ่นซีก็ไม่เคยล้มเหลวในการวางยาพิษผู้คน ทว่าวันนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงผิดพลาด

        เมื่อซูจิ่นซีกำลังจะถอดผ้าคลุมของซิ่งหลิวหลีออก ทันใดนั้นดวงตาของซิ่งหลิวหลีก็เปิดขึ้น ซูจิ่นซีตกใจกลัวถอยกลับไปสองก้าวทันที

        ตกใจแทบแย่!

        โชคดีที่ตนเองสวมรองเท้าปักแบบโบราณ ไม่ใช่รองเท้าส้นสูงของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด มิเช่นนั้น ส้นรองเท้าของนางต้องหักเป็นแน่

        ซูจิ่นซีไม่อยากจะเชื่อเลย

        นางมั่นใจว่าตนเองปลอดภัยแล้วแน่นอน นางเลือกวางยาพิษที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่นของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ทว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ซิ่งหลิวหลีไม่หลงกลอุบายนี้?

        ในกรณีนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ซิ่งหลิวหลีจะพบยาพิษชนิดนี้ หรือหากนางพบมันเข้า ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่นางจะสามารถถอนพิษได้

        นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?

        ความเป็นจริง ซูจิ่นซีไม่มีเวลาคิดเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียด

        เพราะสายตาของซิ่งหลิวหลีคมราวกับมีดดาบ นางค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้น และจ้องตรงไปที่ซูจิ่นซีราวกับหมาป่าผู้หิวโหยดุร้าย ในวินาทีต่อมาก็กลืนกินซูจิ่นซีเข้าไปในท้อง

        ในใจของซูจิ่นซีสั่นสะท้าน นางก้าวถอยหลังอีกสองก้าว หลบไปยังที่ที่ตนเชื่อว่าปลอดภัย

        “เจ้า… เจ้าไม่เป็นอันใดได้อย่างไร? ”

        ซิ่งหลิวหลียิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากและคว้ากริชที่เสียบไว้บนโต๊ะขึ้นมา นางเดินเข้ามาหาซูจิ่นซีทีละก้าวๆ

        ซูจิ่นซีรู้สึกได้ถึงรัศมีที่เต็มไปด้วยไอสังหารของซิ่งหลิวหลี

        ต่อให้ซูจิ่นซีจะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเจตนาแห่งการฆ่าที่รุนแรงเช่นนี้ก็ต้องหวาดกลัวอยู่บ้าง

        น่าเสียดายที่ด้านหลังของซูจิ่นซีเป็นกำแพง ทำให้นางไม่สามารถหลบหนีได้อีกแล้ว

        เมื่อซิ่งหลิวหลีอยู่ห่างจากซูจิ่นซีเพียงก้าวเดียว ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็กัดริมฝีปากกล่าวว่า “ซิ่งหลิวหลี แม้เจ้าจะฆ่าข้าแล้ว ทว่าสามีของข้า…เยี่ยโยวเหยาจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”

        นี่เป็นไพ่กษัตริย์ใบสุดท้ายของนาง

        เยี่ยโยวเหยาผู้เย็นชา ไร้ความปราณี ชื่อเสียงความชั่วร้ายเหล่านี้ราวกับแพร่สะพัดไปจนทำให้ผู้คนตกใจกลัวอยู่ไม่น้อย

        เมื่อไม่มีวิธีอื่นแล้ว ซูจิ่นซีจึงได้พูดถึงเยี่ยโยวเหยาขึ้นมา อาจทำให้ซิ่งหลิวหลีกลัวได้บ้างกระมัง?

        คิดไม่ถึงว่าซิ่งหลิวหลีจะหยุดเดินจริงๆ นางไม่ได้เข้ามาใกล้ซูจิ่นซีอีก

        ในใจของซูจิ่นซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก

        ชื่อเสียงของเยี่ยโยวเหยาโด่งดังจนสามารถปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายได้จริงๆ หรือนี่!

        ทว่าในไม่ช้า ข้อเท็จจริงก็โค่นล้มความคิดของซูจิ่นซี

        สายตาของซิ่งหลิวหลียิ่งน่ากลัวกว่าเดิม ราวกับถูกกระตุ้นด้วยบางอย่าง กริชคมในมือของนางวางพาดบนลำคอขาวเนียนของซูจิ่นซีโดยไม่ลังเล

        เพราะว่าใช้แรงเยอะเกินไป ผิวขาวเนียนจึงถูกใบมีดคมบาดจนเลือดไหลออกมาอย่างรวดเร็ว

        ซูจิ่นซีถูกทำให้ตกใจกลัวจนถึงขีดสุด นางไม่กล้าขยับเลยแม้แต่น้อย ซูจิ่นซีจ้องไปที่ดวงตาทั้งสองของซิ่งหลิวหลีอย่างระมัดระวังยิ่ง

        “ซูจิ่นซี ยกเอาเยี่ยโยวเหยามาพูด เจ้าคู่ควรหรือ? ”

        ซูจิ่นซีเม้มริมผีปาก ไม่พูดจาสิ่งใด

        “หากไม่ใช่เพราะใบหน้านี้ของเจ้าสวยพอใช้ได้ เยี่ยโยวเหยาจะมองเจ้ามากขึ้นได้อย่างไร? ”

        ทันใดนั้นการแสดงออกบนใบหน้าของซูจิ่นซีก็สับสนเล็กน้อย

        “เจ้าว่า หากข้ากรีดใบหน้านี้ของเจ้าจนเละ เยี่ยโยวเหยายังจะสนใจเจ้าอีกหรือไม่? ว่าอย่างไร? ”

        พูดแล้ว ซิ่งหลิวหลีก็ค่อยๆ ขยับกริชในมือไปที่แก้มของซูจิ่นซี

        ไม่มีสตรีนางใดที่ไม่รักในความงาม ซูจิ่นซีก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน

        หากพูดว่ากริชเมื่อครู่ที่บาดลำคอของนางเป็นเพียงร่องรอยของความหวาดกลัว เช่นนั้นบัดนี้มันก็พุ่งตรงไปยังก้นบึ้งหัวใจเสียแล้ว

        ทว่าซูจิ่นซีมักสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านเสมอเมื่อพบเจอกับเหตุการณ์คับขัน นางจะไม่ขาดสติอย่างแน่นอน

        ความคิดของซูจิ่นซีขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้านางก็คิดวิธีเบี่ยงเบนความสนใจของซิ่งหลิวหลีได้แล้ว

        “เจ้าชอบเยี่ยโยวเหยา? ”

        ทันใดนั้นสายตาของซิ่งหลิวหลีพลันสั่นไหว หลังจากที่ถูกคนยั่วเย้าพูดเปิดเผยความคิดในใจ

        “เจ้า… เจ้าพูดจาไร้สาระ! ”

        ซูจิ่นซีมั่นใจอย่างยิ่งว่าซิ่งหลิวหลีเป็นสตรีที่ชอบเยี่ยโยวเหยา

        ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ซูจิ่นซีต้องการรู้ว่าสตรีผู้สวมหน้ากากที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยครั้งแล้วครั้งเล่านี้เป็นผู้ใดกันแน่

        เมื่อพิจารณาอย่างระมัดระวังเป็นเวลานาน ซิ่งหลิวหลีก็ยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากราวกับไม่ยอมรับตนเอง ซูจิ่นซีจึงเอ่ยหยั่งเชิงไปอีกขั้น

        “ตั้งแต่เด็กก็ไม่มีแม่ ไม่เป็นที่ยอมรับของนายหญิง เจ้ากับข้าเติบโตมาด้วยกัน ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับข้าบนโลกใบนี้ กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้าก็ยังหักหลังข้าได้”

        ซิ่งหลิวหลีตอบกลับโดยไม่หยุดคิดแม้แต่น้อย “ซูจิ่นซี ทั้งหมดนี้ล้วนสมน้ำหน้าเจ้าแล้ว”

        ซูจิ่นซีตะลึงเล็กน้อย

        เดิมทีซูจิ่นซีไม่มั่นใจในการหยั่งเชิง ไม่คิดว่าซิ่งหลิวหลีจะเป็นคนสกุลซูจริงๆ

        “ทำอย่างไรได้เล่า ความรักนั้นตื้นลึกดั่งสายน้ำ! ”

        ซูจิ่นซีซ่อนความคิดทุกอย่างไว้ในใจ ดวงตาของนางสบกับสายตาของซิ่งหลิวหลี นางจงใจแสดงสีหน้าปวดใจ

        ซิ่งหลิวหลีชะงัก ทันใดนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้น

        “ซูจิ่นซี หากไม่มีเยี่ยโยวเหยา บางทีข้าอาจจะปฏิบัติต่อเจ้าราวกับเป็นพี่น้องแท้ๆ ตลอดไป ทว่า… เจ้ามีสิทธิ์อันใด?  อาศัยอันใดกัน ในเมื่อเห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนโง่เขลาที่ไม่มีสิ่งใดเลย แม้แต่ไท่จื่อยังผลักไสเจ้า ไม่ต้องการเจ้าให้เป็นที่อัปยศอดสูแก่ตน ทว่าเจ้ากลับมีชีวิตราบรื่นอย่างดี ได้รับความรักความโปรดปรานจากเยี่ยโยวเหยา? ”

        ซูจิ่นซีไม่ได้พูดสิ่งใด

        ทันใดนั้นซิ่งหลิวหลีก็หยิบเข็มขัดหยกครึ่งเส้นของบุรุษออกมาจากแขนเสื้อ

        เมื่อมองจากร่องรอย เข็มขัดหยกราวกับถูกแรงที่แข็งแกร่งทำให้ขาด แม้จะมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ทว่ามังกรดำที่ปักด้วยไหมสีทองบนเข็มขัดหยกนั้นกลับดูเหมือนจริงและสมบูรณ์มาก

        ลายปักบนเข็มขัดหยกเส้นนี้ ซูจิ่นซีเหมือนเคยเห็นที่ใดมาก่อน

        “ซูจิ่นซี เหตุใด? เหตุใดจึงเป็นเจ้า? ทั้งที่เขารู้ดีว่าเจ้าเป็นความอัปยศอดสูที่ไท่จื่อส่งมาให้ ทว่าเขายังคงเต็มใจลดศักดิ์ศรีของตนและไปยังจวนสกุลซูเพื่อสื่อสารรักกับเจ้าเป็นการส่วนตัว? เหตุใดตอนนั้น แม้รู้ดีว่าผู้ที่เขาโปรดปรานเป็นคนโง่ เขากลับยินยอมแต่งเจ้าเข้ามาเป็นภรรยาและโปรดปรานเจ้ามากเพียงนี้? ซูจิ่นซี เหตุใดกัน? มีที่ใดที่ข้าไม่เหมือนเจ้า? ”

        ทันใดนั้นก็เกิดเสียง “ตูม” ดังขึ้น จิตใจของซูจิ่นซีราวกับฟ้าถล่มดินทลาย

        ซูจิ่นซีไม่มีความคิดต้องการหยั่งเชิงหรือวิเคราะห์ว่าผู้ใดคือซิ่งหลิวหลีอีกต่อไปแล้ว นางถูกคำพูดสองประโยคของซิ่งหลิวหลีสั่นสะเทือนจนพูดอันใดไม่ออก

        สิ่งที่ซิ่งหลิวหลีกำลังพูดถึงคือเหตุการณ์ที่ซูจิ่นซีพึ่งข้ามภพมายังโลกใบนี้ ตอนที่ซูจิ่นซีถูกยาปลุกกำหนัดกระตุ้นและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเยี่ยโยวเหยาในสวนหลังจวนสกุลซูนั่น

        เหตุการณ์นั้นเป็นอุปสรรคที่ซูจิ่นซีไม่สามารถก้าวข้ามเพื่อเอาชนะหัวใจของนางได้เลย

        หากไม่ใช่เพราะกลิ่นน้ำหอมหลงเสียนบนร่างของเยี่ยโยวเหยาและการตรวจพบพิษที่เหมือนกันทุกประการถึงสองครั้งของระบบถอนพิษ ซูจิ่นซีคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนในวันนั้นคือเยี่ยโยวเหยา

        ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว ซูจิ่นซีคิดเสมอว่าเยี่ยโยวเหยาเป็นเหมือนกับนางในวันนั้น เพราะแสงสลัวทำให้เขามองเห็นใบหน้าของนางได้ไม่ชัดเจน เขาจึงไม่รู้ว่าคนในวันนั้นเป็นนาง

        ทว่าตามข้อมูลของซิ่งหลิวหลี ดูเหมือนเยี่ยโยวเหยาจะรู้ก่อนที่จะแต่งงานกับซูจิ่นซีในฐานะภรรยาของเขา

        ทันใดนั้นในใจของซูจิ่นซีก็รู้สึกสับสนไปหมด จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

        ซูจิ่นซีต้องการทราบว่า ผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว เยี่ยโยวเหยาคิดอย่างไรกันแน่

        ซูจิ่นซีหวนนึกถึงคืนวันอภิเษกสมรสที่ทั้งร่างของเยี่ยโยวเหยาเต็มไปด้วยรังสีแห่งความอาฆาต เย็นชา และน่าสะพรึงกลัว

        หากนางเดาไม่ผิด เวลานั้นเยี่ยโยวเหยาคงรู้แล้วว่าคนในสวนหลังจวนสกุลซูเป็นนาง

        ตอนนั้นเขาคงโกรธมากจริงๆ กระมัง?

        และคิดจะฆ่านางจริงๆ เช่นกัน!

        หลังจากนั้นไม่ว่าซิ่งหลิวหลีจะพูดสิ่งใด ซูจิ่นซีก็ไม่ได้ฟังเลยแม้แต่ประโยคเดียว

        เช้าวันต่อมา ซูจิ่นซียังไม่ทันตื่นก็ถูกซิ่งหลิวหลีดึงขึ้นจากเตียงอย่างรุนแรง ซิ่งหลิวหลีมัดมือทั้งสองข้างของซูจิ่นซีเสียใหม่ และยัดนางเข้าไปในรถม้าคันหนึ่ง

        หน้าต่างของรถม้าถูกปิดสนิท ซูจิ่นซีไม่มีโอกาสได้เห็นสถานการณ์ภายนอก และไม่มีโอกาสทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ที่ตามหานางเช่นกัน

        ผู้ที่ตามหานาง?

        เยี่ยโยวเหยาจะตามหานางหรือไม่?

        นางหายตัวไปอย่างกะทันหัน เขาจะเป็นห่วงนางหรือไม่?

        ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ยิ้มเย้ยที่มุมปาก

        เลิกโง่ได้แล้ว!

        แม้จะมีข่าวลือนับพันว่านางเป็นที่โปรดปรานของเยี่ยโยวเหยา ซึ่งมันทำให้ทุกคนเกิดความริษยาโกรธแค้น

        ทว่าความจริงเป็นเช่นไร มีเพียงในใจของนางเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด

        ระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยา เดิมที่ไม่มีอันใดเกินเลย

        นางจะคาดหวังหาความกังวล ความห่วงใย กระทั่งความตระหนกตกใจจากเขาจนเกินความจำเป็นได้อย่างไร?