เล่ม 3 เล่มที่ 3 ตอนที่ 74 เทียนอีเหมินและคุณชายจิ่ว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

แท้จริงแล้วซูจิ่นซีไม่รู้เลยว่า เยี่ยโยวเหยาอยู่ข้างนางเมื่อคืน และยังอยู่ข้างห้องของนางกับซิ่งหลิวหลีอีกด้วย

        บทสนทนาระหว่างพวกนางสองคน เยี่ยโยวเหยาใช้กำลังภายในเพื่อเพิ่มการได้ยิน ทำให้ฟังได้อย่างชัดเจนไม่ขาดช่วงแม้แต่น้อย

        เช้าวันต่อมา เมื่อซิ่งหลิวหลีพานางออกเดินทาง เยี่ยโยวเหยาและฉินเทียนก็คอยติดตามข้างหลังพวกนางไปติดๆ อาจพูดได้ว่าทิศทางการเคลื่อนไหวบนเส้นทางนี้อยู่ในการควบคุมของเยี่ยโยวเหยาทั้งหมดแล้ว

        ทว่าระหว่างทางนี้ ซูจิ่นซีต้องทนทุกข์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

        หากกล่าวว่าซิ่งหลิวหลีที่อยู่กับซูจิ่นซีตั้งแต่วันแรกยังพอมีประโยชน์ ท่าทางก็ถือว่าใช้ได้ เช่นนั้นวันที่สองก็เรียกได้ว่านางเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

        ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถม้าหยุดพักระหว่างทาง ซิ่งหลิวหลีก็จับซูจิ่นซีไว้แน่น แล้วโยนซูจิ่นซีออกจากรถอย่างไม่สงสาร

        และยกตัวอย่างเช่น ซิ่งหลิวหลีส่งของกินให้ซูจิ่นซี เมื่อซูจิ่นซีกำลังจะใช้มือหยิบ ซิ่งหลิวหลีก็โยนของกินลงใต้เท้าทันที ให้ซูจิ่นซีเรียนรู้การกินอย่างสุนัข เมื่อซูจิ่นซีไม่ยินยอม ซิ่งหลิวหลีก็ก้าวเท้าข้ามซูจิ่นซีและเหยียบลงไปบนนิ้วมือของซูจิ่นซี เพื่อแสดงการใช้อำนาจบีบบังคับ

        แสงแดดที่ร้อนแรงในยามสาย ซิ่งหลิวหลีมัดซูจิ่นซีไว้ข้างนอกรถม้าให้นางสัมผัสกับแสงแดดที่แผดเผาตลอดทาง

        และยังมีตัวอย่างอื่นๆอีกมากมาย…

        ไม่ว่าจะอย่างไร ระหว่างทางซิ่งหลิวหลีก็คอยคิดหาวิธีทรมานซูจิ่นซีในรูปแบบต่างๆ

        เมื่อถึงยามที่ดวงอาทิตย์ลาลับ ซูจิ่นซีก็แทบจะหมดลมหายใจ

        ซูจิ่นซีผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเล็กน้อย ริมฝีปากของนางแตกระแหง ดวงตาหมองคล้ำ ซิ่งหลิวหลีตะคอกใส่นางเป็นเวลานาน ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่มีแม้แต่เสียงที่จะเอื้อยเอ่ยตอบกลับ น้ำเสียงของนางแหบแห้งไม่น่าฟังเสียยิ่งกว่าเสียงการ้อง

        ตกดึก ฝนก็ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ซิ่งหลิวหลีหาวัดร้างที่เต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพังเพื่อหลบฝน ทว่านางกลับมัดซูจิ่นซีไว้บนต้นฮวาเจียวในสำนักสงฆ์

        ซูจิ่นซีไม่กล้าขยับตัวมั่วซั่วเลยแม้แต่น้อย

        ไม่ต้องพูดถึงมือและเท้าที่กระดิกไม่ได้จากการถูกแช่แข็ง ทว่าเพียงแค่ขยับ หนามของฮวาเจียวก็จะทิ่มเข้าไปในผิวหนัง อีกทั้งยังมีน้ำฝนที่สาดลงมาทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกปวดแสบปวดร้อน

        ซูจิ่นซีไม่รู้ว่า สตรีนางหนึ่งจะมีวิธีการทรมานมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างวิปริตเสียจริง

        หัวใจของซิ่งหลิวหลีโหดร้ายทารุณถึงเพียงนี้ ผู้ที่หยิ่งยโสเช่นเยี่ยโยวเหยาจะชายตามองคนอย่างนางได้อย่างไร?

        กลัวก็เพียงแต่ว่า แม้นางจะชอบเยี่ยโยวเหยาไปตลอดชีวิต เยี่ยโยวเหยาก็คงไม่มองนางไปมากกว่านี้กระมัง?

        เมื่อนึกถึงตรงนี้ หัวใจที่อ้างว้างของซูจิ่นซีก็สดชื่นขึ้นมาไม่น้อย

        ในเวลาเดียวกันนี้ ณ บ้านชาวนาผู้หนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากวัดร้างไม่ไกล

        ร่างงามสง่าของเยี่ยโยวเหยาสวมเสื้อคลุมลายเงินสีดำ กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างกองไฟ

        หลังจากฟังหลินเฟิงรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในวันนี้ของซูจิ่นซี ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็กำหนังสือในมือแน่น ใบหน้ามืดมนเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

        หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาก็โยนหนังสือในมือลงไปในกองไฟ และออกคำสั่งด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า “คืนนี้ลงมือ ช่วยซูจิ่นซี“

        ทันใดนั้น ฉินเทียนที่อยู่ด้านข้างก็งงงวยเล็กน้อย

        เยี่ยโยวเหยาไม่ได้บอกว่าจะให้ซูจิ่นซีเป็นเหยื่อล่อ เพื่อปูทางหลอกตกปลาใหญ่หรอกหรือ?

        เหตุใดจึงเปลี่ยนใจกะทันหันเล่า?

        หรือว่า… เจ็บปวดใจได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

        ในวัดร้าง

        ซิ่งหลิวหลีใช้กิ่งไม้เขี่ยกองไฟอย่างเบื่อหน่าย เปลวไฟพลิ้วไหว เกิดเป็นประกายไฟประทุขึ้นมาเป็นครั้งคราว

        แสงไฟที่ทะลุลอดผ่าน ซิ่งหลิวหลีใช้สายตาราวกับปีศาจเหลือบมองซูจิ่นซีด้วยความอิจฉา

        น่าเสียดายที่ซูจิ่นซีไม่รับรู้อันใดเลย เพราะนางหมดสติไปแล้วจากการถูกผูกติดกับต้นฮวาเจียวให้ฝนสาด

        น้ำฝนที่ผสมรวมกันกับเลือดที่ไหลลงมาจากตัวของนาง ไหลลงสู่ลำธารเล็กๆ ที่คดเคี้ยว

        สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ที่พานพบ

        ทันใดนั้นร่างสีขาวราวกับหิมะที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดก็ปรากฏตัวขึ้น ร่างนั้นประคองต้นคอของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา แล้วดึงกริชออกมาตัดเชือกที่มัดติดกับร่างซูจิ่นซีออก

        ซูจิ่นซีตัวอ่อนหมดสติแทบจะล้มลงไปบนพื้น ขณะที่นางกำลังจะล้มลง ร่างในชุดสีขาวก็รับนางไว้ได้ทันพอดี

        เนื้อตัวของซูจิ่นซีเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำโคลน ทว่าร่างในชุดที่ขาวสะอาดกลับไม่รังเกียจนางเลยแม้แต่น้อย

        “ผู้ใดกัน? ”

        ซิ่งหลิวหลีถือดาบไว้ข้างลำตัว นางวิ่งออกมาด้วยความรวดเร็วในทันที

        “หลีกไป! ไม่อย่างนั้น… ตาย! ”

        เสียงจากร่างในชุดขาวช่างเย็นชาและเยือกเย็น

        ซิ่งหลิวหลีจ้องไปที่ใบหน้าของร่างในชุดขาว ดูเหมือนว่านางกำลังคิดบางสิ่งอยู่ ทันใดนั้นแววตาก็เกิดประกายราวกับคิดบางอย่างขึ้นมาได้

        “คุณชายจิ่ว? ความสัมพันธ์ระหว่างซูจิ่นซีกับเทียนอี้เหมิน แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร? เหตุใดคุณชายจิ่วจึงยื่นมือเข้ามาช่วยนาง? ”

        “เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้”

        สายตาของชายชุดขาวไม่มองซิ่งหลิวหลีเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าน้ำเสียงจะอ่อนโยน ทว่ากลับเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังทำหน้าตาดุร้าย

        ซิ่งหลิวหลีรู้ความสามารถของตนเองดี ศักยภาพของนางแตกต่างจากคนตรงหน้าเหลือเกิน นางสู้เขาไม่ได้เลย เดิมทียังคิดแย่งซูจิ่นซีคืนมาจากมือของเขา แต่นางกลับไม่มีความสามารถนั้น

        การต่อสู้อย่างประมาทโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา ไม่มีหวังที่จะเอาชนะได้อย่างแน่นอน ดังนั้นซิ่งหลิวหลีจึงทำได้เพียงใช้ปัญญาชิงไหวชิงพริบ

        “วรยุทธของคุณชายจิ่วช่างสูงส่ง หลิวหลีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน หากคุณชายจิ่วคิดใช้อำนาจบีบบังคับพานางไปก็ย่อมได้ เพียงแต่ในวันข้างหน้า หากข่าวลือแพร่กระจายออกไป คนทั้งแผ่นดินก็จะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายจิ่วและซูจิ่นซี เกรงว่าจะเป็นผลเสียต่อนาง ถึงอย่างไร… นางก็เป็นสตรีของโยวอ๋อง”

        “คนตายไม่มีโอกาสได้เปิดเผยข่าวใดๆ ”

        ชายชุดขาวปรายตามองไปทางซิ่งหลิวหลีอย่างเชื่องช้า

        แม้แววตาจะอ่อนโยนงดงาม น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง ทว่ากลับแฝงไปด้วยความเย็นชา ร่างของซิ่งหลิวหลีสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที

        การเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติและน้ำเสียงอันไพเราะนั้นนำพาความหนาวสุดขั้วมาเช่นกัน

        ซิ่งหลิวหลีคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าชายชุดขาวคิดฆ่านางอย่างแน่นอน

        ในเวลาต่อมา ซิ่งหลิวหลียังไม่ทันได้คิดอย่างรอบคอบ ชายชุดขาวก็ดึงเสื้อคลุมแขนยาวขึ้น ชั่วพริบตาก็ถือดาบสั้นเล่มหนึ่งไว้ในมือ เขามองมาทางซิ่งหลิวหลีด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด

        เห็นได้ชัดว่ากำลังจะฆ่าคน ทว่ากิริยาท่าทางนั้นช่างงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

        ร่างนั้นเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ทว่าซิ่งหลิวหลีกลับไม่มีโอกาสหลบหนี

        ซิ่งหลิวหลีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ คิดว่าวันนี้ตนจะต้องตายเป็นแน่

        ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิด เมื่อดาบสั้นในมือของชายชุดขาวกำลังจะแทงเข้าไปยังหัวใจของซิ่งหลิวหลี ซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมอกของเขาพลันขมวดคิ้วและส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

        ด้วยเหตุนี้ชายชุดขาวจึงเสียสมาธิ

        ซิ่งหลิวหลีถือโอกาสนี้ตอบโต้ด้วยการใช้ดาบยาวประชันกับดาบสั้นของชายชุดขาวอย่างรวดเร็ว จากนั้นซิ่งหลิวหลีจึงใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีในการหลบคมดาบของชายชุดขาว ท้ายที่สุดแล้วนางก็หลบซ่อนตัวหายเข้าไปในความมืดสนิทของคืนฝนพลำอย่างรวดเร็ว

        ชายชุดขาวไม่คิดไล่ฆ่าซิ่งหลิวหลี เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือเรียวบางลูบคลำคิ้วที่ขมวดตึงของซูจิ่นซี

        จากนั้นจึงอุ้มซูจิ่นซีขึ้นมาในอ้อมแขน แล้วหายลับไปในคืนฝนพลำ

        เมื่อเยี่ยโยวเหยานำกำลังพลมาถึงด้วยตนเอง ในวัดร้างก็ไม่มีผู้ใดเสียแล้ว

        ใบหน้าเคร่งเครียดของเยี่ยโยวเหยามองไปยังคราบเลือดบนต้นฮวาเจียวและเลือดที่นองปะปนกับน้ำฝนบนพื้นอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “เกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”

        “โยวเหยา เจ้าไม่ต้องกังวล เมื่อตอนที่ซิ่งหลิวหลีหนีกระโดดข้ามกำแพงออกไป องครักษ์เงาก็รู้ตัวแล้ว ทว่าก่อนหน้านี้เกิดอันใดขึ้นในวัด พวกเขาล้วนไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ ต้องมีผู้มีฝีมือดีโผล่มาช่วยซูจิ่นซีเอาไว้ คิดว่าเวลานี้นางต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”

        นอกจากคราบเลือดพวกนี้ ร่องรอยทั้งหมดได้ถูกน้ำฝนชะล้างจนสะอาดไปหมดแล้ว

        “ตกลงมันเป็นผู้ใดกันแน่? ”

        ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาอึมครึม เอ่ยถามองครักษ์ลับสองนายที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามซูจิ่นซี

        องครักษ์เงารีบพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว

        “ผู้มีวิชาตัวเบาฝีมือยอดเยี่ยมส่งข่าวมาว่า พวกเขา… พวกเขามองเห็นไม่ชัดเจนนัก”

        เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหมุนตัวหายเข้าไปท่ามกลางคืนที่ฝนพลำ

        “ใต้การบังคับบัญชาของข้า ไม่ปล่อยผู้ที่ไร้ประโยชน์ไว้”

        ได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าขององครักษ์เงาทั้งสองก็แสดงความหวาดกลัวขึ้นมาในทันใด ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ตอบสนอง ดาบที่เย็นเฉียบสองเล่มก็แทงเข้าที่ทรวงอกของพวกเขาทันที

        องครักษ์เงาสองนายดึงดาบยาวที่เปื้อนเลือดออกมาด้วยสายตาไร้ความปรานี ก่อนจะกลับมายืนอยู่ด้านหลังฉินเทียน และเดินตามฝีเท้าของเยี่ยโยวเหยาไป

        นี่เป็นกฎของหน่วยทหารลับโยวอ๋อง ไม่เพียงแต่ในหน่วยทหารลับเท่านั้น แม้แต่ที่วิหารวิญญาณก็เช่นเดียวกัน หากผู้ใดทำงานไม่สำเร็จราบรื่นก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่

        มีเพียงหน่วยทหารที่มีกฎระเบียบเข้มงวดเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกฝนให้เป็นยอดฝีมือได้ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่ได้ยินพากันหวาดกลัวเยี่ยโยวเหยา

        กองกำลังของเขาเรียกได้ว่าเป็นกองทัพปีศาจอย่างแท้จริง