แท้จริงแล้วซูจิ่นซีไม่รู้เลยว่า เยี่ยโยวเหยาอยู่ข้างนางเมื่อคืน และยังอยู่ข้างห้องของนางกับซิ่งหลิวหลีอีกด้วย
บทสนทนาระหว่างพวกนางสองคน เยี่ยโยวเหยาใช้กำลังภายในเพื่อเพิ่มการได้ยิน ทำให้ฟังได้อย่างชัดเจนไม่ขาดช่วงแม้แต่น้อย
เช้าวันต่อมา เมื่อซิ่งหลิวหลีพานางออกเดินทาง เยี่ยโยวเหยาและฉินเทียนก็คอยติดตามข้างหลังพวกนางไปติดๆ อาจพูดได้ว่าทิศทางการเคลื่อนไหวบนเส้นทางนี้อยู่ในการควบคุมของเยี่ยโยวเหยาทั้งหมดแล้ว
ทว่าระหว่างทางนี้ ซูจิ่นซีต้องทนทุกข์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
หากกล่าวว่าซิ่งหลิวหลีที่อยู่กับซูจิ่นซีตั้งแต่วันแรกยังพอมีประโยชน์ ท่าทางก็ถือว่าใช้ได้ เช่นนั้นวันที่สองก็เรียกได้ว่านางเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถม้าหยุดพักระหว่างทาง ซิ่งหลิวหลีก็จับซูจิ่นซีไว้แน่น แล้วโยนซูจิ่นซีออกจากรถอย่างไม่สงสาร
และยกตัวอย่างเช่น ซิ่งหลิวหลีส่งของกินให้ซูจิ่นซี เมื่อซูจิ่นซีกำลังจะใช้มือหยิบ ซิ่งหลิวหลีก็โยนของกินลงใต้เท้าทันที ให้ซูจิ่นซีเรียนรู้การกินอย่างสุนัข เมื่อซูจิ่นซีไม่ยินยอม ซิ่งหลิวหลีก็ก้าวเท้าข้ามซูจิ่นซีและเหยียบลงไปบนนิ้วมือของซูจิ่นซี เพื่อแสดงการใช้อำนาจบีบบังคับ
แสงแดดที่ร้อนแรงในยามสาย ซิ่งหลิวหลีมัดซูจิ่นซีไว้ข้างนอกรถม้าให้นางสัมผัสกับแสงแดดที่แผดเผาตลอดทาง
และยังมีตัวอย่างอื่นๆอีกมากมาย…
ไม่ว่าจะอย่างไร ระหว่างทางซิ่งหลิวหลีก็คอยคิดหาวิธีทรมานซูจิ่นซีในรูปแบบต่างๆ
เมื่อถึงยามที่ดวงอาทิตย์ลาลับ ซูจิ่นซีก็แทบจะหมดลมหายใจ
ซูจิ่นซีผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเล็กน้อย ริมฝีปากของนางแตกระแหง ดวงตาหมองคล้ำ ซิ่งหลิวหลีตะคอกใส่นางเป็นเวลานาน ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่มีแม้แต่เสียงที่จะเอื้อยเอ่ยตอบกลับ น้ำเสียงของนางแหบแห้งไม่น่าฟังเสียยิ่งกว่าเสียงการ้อง
ตกดึก ฝนก็ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ซิ่งหลิวหลีหาวัดร้างที่เต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพังเพื่อหลบฝน ทว่านางกลับมัดซูจิ่นซีไว้บนต้นฮวาเจียวในสำนักสงฆ์
ซูจิ่นซีไม่กล้าขยับตัวมั่วซั่วเลยแม้แต่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงมือและเท้าที่กระดิกไม่ได้จากการถูกแช่แข็ง ทว่าเพียงแค่ขยับ หนามของฮวาเจียวก็จะทิ่มเข้าไปในผิวหนัง อีกทั้งยังมีน้ำฝนที่สาดลงมาทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกปวดแสบปวดร้อน
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่า สตรีนางหนึ่งจะมีวิธีการทรมานมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างวิปริตเสียจริง
หัวใจของซิ่งหลิวหลีโหดร้ายทารุณถึงเพียงนี้ ผู้ที่หยิ่งยโสเช่นเยี่ยโยวเหยาจะชายตามองคนอย่างนางได้อย่างไร?
กลัวก็เพียงแต่ว่า แม้นางจะชอบเยี่ยโยวเหยาไปตลอดชีวิต เยี่ยโยวเหยาก็คงไม่มองนางไปมากกว่านี้กระมัง?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หัวใจที่อ้างว้างของซูจิ่นซีก็สดชื่นขึ้นมาไม่น้อย
ในเวลาเดียวกันนี้ ณ บ้านชาวนาผู้หนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากวัดร้างไม่ไกล
ร่างงามสง่าของเยี่ยโยวเหยาสวมเสื้อคลุมลายเงินสีดำ กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างกองไฟ
หลังจากฟังหลินเฟิงรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในวันนี้ของซูจิ่นซี ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็กำหนังสือในมือแน่น ใบหน้ามืดมนเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาก็โยนหนังสือในมือลงไปในกองไฟ และออกคำสั่งด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า “คืนนี้ลงมือ ช่วยซูจิ่นซี“
ทันใดนั้น ฉินเทียนที่อยู่ด้านข้างก็งงงวยเล็กน้อย
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้บอกว่าจะให้ซูจิ่นซีเป็นเหยื่อล่อ เพื่อปูทางหลอกตกปลาใหญ่หรอกหรือ?
เหตุใดจึงเปลี่ยนใจกะทันหันเล่า?
หรือว่า… เจ็บปวดใจได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ในวัดร้าง
ซิ่งหลิวหลีใช้กิ่งไม้เขี่ยกองไฟอย่างเบื่อหน่าย เปลวไฟพลิ้วไหว เกิดเป็นประกายไฟประทุขึ้นมาเป็นครั้งคราว
แสงไฟที่ทะลุลอดผ่าน ซิ่งหลิวหลีใช้สายตาราวกับปีศาจเหลือบมองซูจิ่นซีด้วยความอิจฉา
น่าเสียดายที่ซูจิ่นซีไม่รับรู้อันใดเลย เพราะนางหมดสติไปแล้วจากการถูกผูกติดกับต้นฮวาเจียวให้ฝนสาด
น้ำฝนที่ผสมรวมกันกับเลือดที่ไหลลงมาจากตัวของนาง ไหลลงสู่ลำธารเล็กๆ ที่คดเคี้ยว
สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ที่พานพบ
ทันใดนั้นร่างสีขาวราวกับหิมะที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดก็ปรากฏตัวขึ้น ร่างนั้นประคองต้นคอของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา แล้วดึงกริชออกมาตัดเชือกที่มัดติดกับร่างซูจิ่นซีออก
ซูจิ่นซีตัวอ่อนหมดสติแทบจะล้มลงไปบนพื้น ขณะที่นางกำลังจะล้มลง ร่างในชุดสีขาวก็รับนางไว้ได้ทันพอดี
เนื้อตัวของซูจิ่นซีเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำโคลน ทว่าร่างในชุดที่ขาวสะอาดกลับไม่รังเกียจนางเลยแม้แต่น้อย
“ผู้ใดกัน? ”
ซิ่งหลิวหลีถือดาบไว้ข้างลำตัว นางวิ่งออกมาด้วยความรวดเร็วในทันที
“หลีกไป! ไม่อย่างนั้น… ตาย! ”
เสียงจากร่างในชุดขาวช่างเย็นชาและเยือกเย็น
ซิ่งหลิวหลีจ้องไปที่ใบหน้าของร่างในชุดขาว ดูเหมือนว่านางกำลังคิดบางสิ่งอยู่ ทันใดนั้นแววตาก็เกิดประกายราวกับคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“คุณชายจิ่ว? ความสัมพันธ์ระหว่างซูจิ่นซีกับเทียนอี้เหมิน แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร? เหตุใดคุณชายจิ่วจึงยื่นมือเข้ามาช่วยนาง? ”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้”
สายตาของชายชุดขาวไม่มองซิ่งหลิวหลีเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าน้ำเสียงจะอ่อนโยน ทว่ากลับเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังทำหน้าตาดุร้าย
ซิ่งหลิวหลีรู้ความสามารถของตนเองดี ศักยภาพของนางแตกต่างจากคนตรงหน้าเหลือเกิน นางสู้เขาไม่ได้เลย เดิมทียังคิดแย่งซูจิ่นซีคืนมาจากมือของเขา แต่นางกลับไม่มีความสามารถนั้น
การต่อสู้อย่างประมาทโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา ไม่มีหวังที่จะเอาชนะได้อย่างแน่นอน ดังนั้นซิ่งหลิวหลีจึงทำได้เพียงใช้ปัญญาชิงไหวชิงพริบ
“วรยุทธของคุณชายจิ่วช่างสูงส่ง หลิวหลีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน หากคุณชายจิ่วคิดใช้อำนาจบีบบังคับพานางไปก็ย่อมได้ เพียงแต่ในวันข้างหน้า หากข่าวลือแพร่กระจายออกไป คนทั้งแผ่นดินก็จะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายจิ่วและซูจิ่นซี เกรงว่าจะเป็นผลเสียต่อนาง ถึงอย่างไร… นางก็เป็นสตรีของโยวอ๋อง”
“คนตายไม่มีโอกาสได้เปิดเผยข่าวใดๆ ”
ชายชุดขาวปรายตามองไปทางซิ่งหลิวหลีอย่างเชื่องช้า
แม้แววตาจะอ่อนโยนงดงาม น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง ทว่ากลับแฝงไปด้วยความเย็นชา ร่างของซิ่งหลิวหลีสั่นสะท้านขึ้นมาในทันที
การเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติและน้ำเสียงอันไพเราะนั้นนำพาความหนาวสุดขั้วมาเช่นกัน
ซิ่งหลิวหลีคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าชายชุดขาวคิดฆ่านางอย่างแน่นอน
ในเวลาต่อมา ซิ่งหลิวหลียังไม่ทันได้คิดอย่างรอบคอบ ชายชุดขาวก็ดึงเสื้อคลุมแขนยาวขึ้น ชั่วพริบตาก็ถือดาบสั้นเล่มหนึ่งไว้ในมือ เขามองมาทางซิ่งหลิวหลีด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
เห็นได้ชัดว่ากำลังจะฆ่าคน ทว่ากิริยาท่าทางนั้นช่างงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ร่างนั้นเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ทว่าซิ่งหลิวหลีกลับไม่มีโอกาสหลบหนี
ซิ่งหลิวหลีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ คิดว่าวันนี้ตนจะต้องตายเป็นแน่
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิด เมื่อดาบสั้นในมือของชายชุดขาวกำลังจะแทงเข้าไปยังหัวใจของซิ่งหลิวหลี ซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมอกของเขาพลันขมวดคิ้วและส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ด้วยเหตุนี้ชายชุดขาวจึงเสียสมาธิ
ซิ่งหลิวหลีถือโอกาสนี้ตอบโต้ด้วยการใช้ดาบยาวประชันกับดาบสั้นของชายชุดขาวอย่างรวดเร็ว จากนั้นซิ่งหลิวหลีจึงใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีในการหลบคมดาบของชายชุดขาว ท้ายที่สุดแล้วนางก็หลบซ่อนตัวหายเข้าไปในความมืดสนิทของคืนฝนพลำอย่างรวดเร็ว
ชายชุดขาวไม่คิดไล่ฆ่าซิ่งหลิวหลี เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือเรียวบางลูบคลำคิ้วที่ขมวดตึงของซูจิ่นซี
จากนั้นจึงอุ้มซูจิ่นซีขึ้นมาในอ้อมแขน แล้วหายลับไปในคืนฝนพลำ
เมื่อเยี่ยโยวเหยานำกำลังพลมาถึงด้วยตนเอง ในวัดร้างก็ไม่มีผู้ใดเสียแล้ว
ใบหน้าเคร่งเครียดของเยี่ยโยวเหยามองไปยังคราบเลือดบนต้นฮวาเจียวและเลือดที่นองปะปนกับน้ำฝนบนพื้นอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “เกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”
“โยวเหยา เจ้าไม่ต้องกังวล เมื่อตอนที่ซิ่งหลิวหลีหนีกระโดดข้ามกำแพงออกไป องครักษ์เงาก็รู้ตัวแล้ว ทว่าก่อนหน้านี้เกิดอันใดขึ้นในวัด พวกเขาล้วนไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อย เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ ต้องมีผู้มีฝีมือดีโผล่มาช่วยซูจิ่นซีเอาไว้ คิดว่าเวลานี้นางต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
นอกจากคราบเลือดพวกนี้ ร่องรอยทั้งหมดได้ถูกน้ำฝนชะล้างจนสะอาดไปหมดแล้ว
“ตกลงมันเป็นผู้ใดกันแน่? ”
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาอึมครึม เอ่ยถามองครักษ์ลับสองนายที่ได้รับมอบหมายให้ติดตามซูจิ่นซี
องครักษ์เงารีบพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว
“ผู้มีวิชาตัวเบาฝีมือยอดเยี่ยมส่งข่าวมาว่า พวกเขา… พวกเขามองเห็นไม่ชัดเจนนัก”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหมุนตัวหายเข้าไปท่ามกลางคืนที่ฝนพลำ
“ใต้การบังคับบัญชาของข้า ไม่ปล่อยผู้ที่ไร้ประโยชน์ไว้”
ได้ยินคำพูดนั้น ใบหน้าขององครักษ์เงาทั้งสองก็แสดงความหวาดกลัวขึ้นมาในทันใด ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ตอบสนอง ดาบที่เย็นเฉียบสองเล่มก็แทงเข้าที่ทรวงอกของพวกเขาทันที
องครักษ์เงาสองนายดึงดาบยาวที่เปื้อนเลือดออกมาด้วยสายตาไร้ความปรานี ก่อนจะกลับมายืนอยู่ด้านหลังฉินเทียน และเดินตามฝีเท้าของเยี่ยโยวเหยาไป
นี่เป็นกฎของหน่วยทหารลับโยวอ๋อง ไม่เพียงแต่ในหน่วยทหารลับเท่านั้น แม้แต่ที่วิหารวิญญาณก็เช่นเดียวกัน หากผู้ใดทำงานไม่สำเร็จราบรื่นก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่
มีเพียงหน่วยทหารที่มีกฎระเบียบเข้มงวดเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกฝนให้เป็นยอดฝีมือได้ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนที่ได้ยินพากันหวาดกลัวเยี่ยโยวเหยา
กองกำลังของเขาเรียกได้ว่าเป็นกองทัพปีศาจอย่างแท้จริง