เล่ม 3 เล่มที่ 3 ตอนที่ 75 ท่านอาจารย์เป็นเทพบุตร

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เมื่อซูจิ่นซีตื่นขึ้นมาก็พบว่านางอยู่ในถ้ำแล้ว

        เสียงหยดน้ำตกลงบนหินในถ้ำ ดังสะท้อนเข้ามาในหู

        บนตัวของซูจิ่นซีถูกคลุมด้วยเสื้อสีขาวราวกับหิมะที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ

        ที่นี่ที่ใดกัน?

        นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองถูกซิ่งหลิวหลีพาไปที่วัดร้างแห่งหนึ่ง นอกจากนั้นซิ่งหลิวหลียังนำนางไปมัดติดกับต้นฮวาเจียว ปล่อยให้นางตากฝน ช่างวิปริตเกินไปแล้ว

        หลังจากนั้นนางก็หมดสติไป

        เจ็บไปทั้งตัว

        ซูจิ่นซีพยายามดิ้นรนลุกขึ้นจากพื้น

        สายตาของนางพร่ามัวเล็กน้อย เนื่องจากแสงสะท้อนด้านนอกสาดส่องเข้ามาในถ้ำที่มืดสลัว ทำให้นางแสบตาจนมองไม่เห็นสภาพการณ์ใดๆ ท่ามกลางสถานที่พร่างพราวด้วยแสงนี้

        ซูจิ่นซีได้ยินเหมือนเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านนอกถ้ำ นางจึงใช้มือกำบังแสงแล้วมองออกไป ดูเหมือนจะเป็นคนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาท่ามกลางแสงสว่างอย่างงดงาม

        รอให้เขาเดินเข้ามาใกล้อีกหน่อย จนนางไม่ถูกแสงระยิบระยับสะท้อนเข้าตาอีกต่อไป ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ตกตะลึงตาค้างอย่างคาดไม่ถึง

        โอ้ สวรรค์!

        เทพบุตร!

        บนโลกนี้มีเทพบุตรอยู่ด้วยหรือ?

        มิเช่นนั้นชายในชุดขาวพลิ้วไหวตรงหน้าท่านนี้จะมาจากที่ใดกันเล่า?

        ชุดสีขาวของเขาพลิ้วไหวไปทั้งตัว ปราศจากไรฝุ่น ผ้าที่นำมาทำชุดนั้นมีคุณภาพดีมาก ชายผ้าทิ้งตัวลงอย่างเรียบสนิท เนื้อผ้าสัมผัสนุ่มเรียบเนียน ไม่มีแม้แต่รอยยับ กอปรกับฝีเท้าที่มั่นคงของเขา ชายเสื้อจึงล่องลอยไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ

        ดวงตาที่ไร้มลทินประหนึ่งพลังเหนือฟ้าดิน กลับลึกซึ้งจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง คิ้วเข้ม สันจมูกเรียวสูง โครงหน้าเรียวงาม ริมฝีปากเรียบเย็น ทุกอย่างประณีตละเอียดอ่อนราวกับช่างชำนาญฝีมือดี

        เขาเดินมาหาซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า รูปร่างสูงสง่า ผมสีดำสนิทราวกับน้ำตกพลิ้วไหวไปตามสายลม รูปงามล้ำเลิศเหนือคำบรรยาย งดงามราวกับภาพวาด ทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่เป็นความจริง

        “สาวน้อย กำลังคิดอันใดอยู่หรือ? ”

        ชายชุดขาวเดินมาถึงเบื้องหน้าซูจิ่นซี เขาโน้มตัวลงและใช้นิ้วเรียวยาวแตะไปที่หน้าผากของซูจิ่นซี

        ‘เย็นชะมัดเลย… ’

        ซูจิ่นซีคิดในใจ นางมองชายตรงหน้าด้วยแววตาโง่เขลา เวลานี้สมองและก้นบึ้งหัวใจของนางเหมือนถูกขโมยไปอย่างสมบูรณ์แบบ เดิมทีนางก็ไม่สามารถทนต่อสิ่งใดได้ง่ายอยู่แล้ว

        ราวกับความฝัน ที่ไม่เป็นความจริง

        “หืม? ”

        ชายชุดขาวใช้นิ้วชี้ดีดไปที่หน้าผากของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา

        ซูจิ่นซีสั่นเทาไปทั้งตัว ไม่นานก็เรียกสติกลับคืนมาได้ แก้มของนางปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมาในทันที

        ท่าทางของตนเองเมื่อครู่… เหมือนกับว่า… บ้ากามอย่างที่สุด

        ช่างน่าอายเสียจริง!

        อายจะตายอยู่แล้ว!

        นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว

        ซูจิ่นซีรีบเอามือปิดหน้าไว้ ทว่ายังแอบมองชายชุดขาวผ่านช่องนิ้วมืออย่างเงียบงัน

        ชายชุดขาวมองดูท่าทางของซูจิ่นซี เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย ช่างงดงามดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม

        ทั้งหมดนี้จะโทษว่าซูจิ่นซีบ้ากามไม่ได้ เพราะชายที่อยู่ตรงหน้าช่างงดงามเหลือเกิน

        ช่างงดงาม เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป

        “เป็นท่านที่ช่วยข้าไว้หรือเจ้าคะ? ”

        หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ในที่สุดซูจิ่นซีก็จัดการกับจิตใจของตนเองให้กลับมาเป็นปกติ นางเอ่ยถามชายชุดขาว

        “อืม! ”

        ชายชุดขาวพยักหน้า

        “ซิ่งหลิวหลีเล่า? ถูกท่านตีจนหนีไปแล้วหรือเจ้าคะ? ”

        “อืม! ”

        รอยยิ้มบนใบหน้าของชายชุดขาวยังคงอ่อนโยนเช่นเดิม

        ซูจิ่นซีรู้สึกว่าตนเองถามทั้งสองคำถามได้ทึ่มมาก

        ไม่แปลกใจเลยที่ชายผู้สง่างามในชุดขาวจะทำเพียงพยักหน้าและยิ้มตอบรับ นี่ไม่ใช่คำถามที่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่?

        ผ่านไปไม่นาน ซูจิ่นซีก็ถามอีกว่า “ที่นี่คือที่ใดหรือเจ้าคะ”

        “เขาเหวินเยวี่ย”

        “ท่านเป็นผู้ใดกัน? เหตุใดจึงช่วยข้าเจ้าคะ? ”

        ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้จักกับชายผู้สง่างามที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้ และหลังจากที่ซูจิ่นซีข้ามภพมา นางก็ไม่เคยรู้จักหรือเคยเห็นเขามาก่อนด้วยเช่นกัน

        หรือว่าระหว่างการเดินทาง เขาบังเอิญได้พบเห็นความอยุติธรรมจึงได้ชักดาบเข้าช่วยเหลือ ทว่านั่นเป็นเพียงสถานการณ์ประโลมโลกของละครกำลังภายใน ซึ่งซูจิ่นซีไม่เคยเชื่อเลยแม้แต่น้อย

        ชายผู้นั้นจ้องมองซูจิ่นซีเป็นเวลานาน

        ไม่รู้ว่าคิดมากเกินไปหรือนางรู้สึกหลอนไปเอง ซูจิ่นซีจึงมองเห็นร่องรอยความผิดหวังในแววตาของชายผู้นั้น

        แท้จริงแล้วเขาผิดหวังเรื่องใดกันแน่?

        “ข้ามีนามว่าจิ่วหรง”

        ชายผู้นั้นตอบเพียงคำถามที่ซูจิ่นซีถามไปก่อนหน้าเท่านั้น

        จิ่วหรงหรือ?

        “จิ่วหรง? ชื่อนี้เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ใดสักแห่ง”

        ซูจิ่นซีนำนิ้วชี้พยุงที่ศีรษะแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็คิดออก

        “ท่านชายหรงแห่งเทียนอีเหมินหรือเจ้าคะ? ”

        คำตอบนี้ ทำให้ซูจิ่นซีตกใจกลัวอย่างแท้จริง

        ก่อนหน้านี้ลวี่หลีเคยเอ่ยถึงเขาให้นางฟังอยู่หลายครั้ง อีกทั้งเขายังเป็นอาจารย์ที่เจ้าของร่างเดิมได้กล่าวไว้ ทักษะการแพทย์บางส่วนของเจ้าของร่างเดิมก็เป็นเขาที่สั่งสอน

        ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม จึงไม่พบอันใดเกี่ยวกับท่านชายหรงผู้นี้เลย

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงคิดอย่างแน่วแน่ว่าจิ่วหรงผู้นี้ไม่มีตัวตนอยู่จริง

        ทว่านางกลับนึกไม่ถึงว่า จิ่วหรงไม่เพียงมีตัวตนอยู่จริงเท่านั้น ทว่ายังเป็นผู้ที่งดงามท่านหนึ่งอีกด้วย

        ยิ่งไปกว่านั้น นางยังตกใจมากเมื่อได้เจอเขาครั้งแรก

        “สาวน้อย ไม่นานเจ้าก็ลืมอาจารย์เสียแล้วหรือ? ”

        จิ่วหรงขมวดคิ้ว กล่าวตำหนิเล็กน้อย พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงชวนหลงใหล

        ซูจิ่นซียิ้มแห้งที่มุมปาก

        “ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่รู้เพราะเหตุใด เหมือนว่าข้า… จะจำไม่ได้แล้วจริงๆ ว่าท่านเป็นผู้ใด”

        ในเมื่อเจ้าของร่างเดิมจำจิ่วหรงไม่ได้จริงๆ ซูจิ่นซีจึงพูดความจริงออกไป

        “หืม? จำไม่ได้จริงๆ หรือ? ”

        จิ่วหรงเลิกคิ้ว เขาดูเหมือนไม่โกรธแม้แต่น้อย ทั้งยังยกประเด็นนี้ขึ้นมาครุ่นคิด

        ซูจิ่นซีสับสนอยู่เล็กน้อย นางมองไปยังใบหน้าของจิ่วหรงครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาบ้างแล้ว นางคิดอยู่นาน ทันใดนั้นก็สะดุ้งโหยง

        ซูจิ่นซีกล่าวอย่างดีใจว่า “ข้าคิดออกแล้ว พวกเราเคยเจอกันก่อนหน้านี้ ตอนที่ประมูลจื่อจูที่ตลาดมืด ท่านคือท่านชายชุดขาวที่ประมูลจื่อจูกว่าสี่ร้อยล้านตำลึงแข่งกับเยี่ยโยวเหยา”

        ดูเหมือนจิ่วหรงจะไม่เบิกบานใจที่ซูจิ่นซีจำเรื่องนี้ได้ เขาขยี้ผมของซูจิ่นซีด้วยความหลงใหล

        “สาวน้อย เจ้าควรเรียกข้าว่าท่านอาจารย์ เป็นอาจารย์กันเพียงหนึ่งวัน เปรียบดังเป็นอาจารย์ศิษย์กันชั่วชีวิต”

        ความรู้สึกที่น่าหลงใหลนั้น ทำให้ซูจิ่นซีมีความรู้สึกไม่สมจริงอีกครั้ง

        ‘ท่านอาจารย์’ สามคำนี้ติดอยู่ที่ปลายลิ้น หลายครั้งที่นางพยายามพูดออกมา ทว่ากลับพูดไม่ได้

        จิ่วหรงก็ไม่ได้ซักถามไปมากกว่านี้เช่นกัน เขาดึงผ้าคลุมสีขาวจากมือของซูจิ่นซีแล้วลุกขึ้นสวมใส่อย่างสง่างาม

        ซูจิ่นซีมองดูตาค้างอีกครั้ง

        ทันใดนั้น นางก็คิดเรื่องที่สำคัญมากขึ้นมาได้พอดี

        “ตอนนี้วันที่เท่าใดแล้วเจ้าคะ? ”

        “หืม? ”

        คำศัพท์สมัยใหม่ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยความที่ไม่ระวัง

        จิ่วหรงขมวดคิ้ว

        ซูจิ่นซีรู้สึกทำสิ่งใดไม่ถูกไปเล็กน้อย จึงรีบพูดขึ้นใหม่อย่างไม่สบอารมณ์ว่า “วันใดแล้ว! ”

        “วันที่เก้า”

        วันที่เก้า วันนี้น่าจะเป็นวันสุดท้ายของการถอนพิษให้กับฮั่วซืออวี่ ซูจิ่นซีมองแสงสว่างจากด้านนอกถ้ำ ตอนนี้คงเป็นเวลาเช้า

        นางถูกซิ่งหลิวหลีลักพาตัวไปจากหอสุราตู้คัง ทำให้ล่าช้าไปแล้วสองวัน หากไม่รีบหาพิษงูทั้งเจ็ดชนิดให้ทัน เมื่อผ่านคืนนี้ไป ฮั่วซืออวี่จะต้องตาย เทพเซียนก็ยากที่จะช่วยได้

        “ที่นี่ไกลจากเขาชังชุ่ยมากหรือไม่เจ้าคะ? ”

        จิ่วหรงเห็นอาการของซูจิ่นซีที่แสดงออกอย่างผิดปกติเล็กน้อย จึงถามขึ้นว่า “เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ? ”

        “เจ้าค่ะ” ซูจิ่นซีพยักหน้าอย่างหนักแน่น “วันนี้ข้าต้องไปที่เขาชังชุ่ยเพื่อไปหาของบางอย่าง และรีบกลับไปที่เมืองตี้จิง เพื่อช่วยคนผู้หนึ่งเจ้าค่ะ”

        จิ่วหรงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เขาเหวินเยวี่ยอยู่ทางใต้ของเมืองตี้จิง ระยะทางจากที่นี่ไปเขาชังชุ่ยใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน”

        “เช่นนั้นหรือเจ้าคะ? ”

        ซูจิ่นซีอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ ในใจเริ่มร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย

        ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อเร่งเดินทาง อีกทั้งยังต้องเสียเวลาในการหาพิษงูทั้งเจ็ดชนิดอีก

        นี่เป็นชะตาที่ฟ้าลิขิตไว้ ฮั่วซืออวี่จะต้องตายไปจริงๆ หรือ?

        แม้ซูจิ่นซีจะไม่ได้พูดไว้อย่างชัดเจน ทว่านางได้แสดงเกียรติ ทำท่าทีว่าตนสามารถถอนพิษในตัวฮั่วซืออวี่ได้ ต่อหน้าฮั่วอวี้เจียว แม่ทัพฮั่ว แม้กระทั่งทุกคนในตระกูลฮั่วถึงเพียงนั้นแล้ว

        หากช่วยชีวิตฮั่วซืออวี่ไว้ไม่ได้ นางจะมีหน้ากลับไปเมืองตี้จิงได้อย่างไร? นางไม่มีหน้าไปอยู่ต่อหน้าแม่ทัพฮั่ว ฮั่วอวี้เจียวและคนในสกุลเช่นเดียวกัน

        แม้จะไม่มีเรื่องเกียรติเหล่านี้ ทว่านั่นเป็นชีวิตคนหนึ่งชีวิตเช่นกัน!