ตอนที่ 96 มาอย่างไม่เป็นมิตร

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่96 มาอย่างไม่เป็นมิตร

ทุกกระบวนท่าของเหอจื่อพลิ้วไหวดุจสายน้ำ คิดบัญชีเสร็จสรรพภายในเสี้ยวพริบตา ฉีเล่ยได้แต่อ้าปากค้างยังไม่ทันตอบสนอง รู้สึกตัวอีกทีหม่ารุ่ยก็นอนเลือดอาบหน้าอยู่บนพื้นห้องน้ำไปแล้ว

พอเหอจื่อเห็นว่ามือของตัวเองเปื้อนเลือดสด เธอจึงเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำและล้างมืออย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะดึงกระดาษทิชชู่ลงมาแผ่นหนึ่งเช็ดไม้เช็ดมืออย่างใจเย็น

นิ้วเรียวยาว ขาวสวยดูสะอาดสะอ้านของเธอ ใครบ้างจะไปคิดว่า นิ้วสวยๆพวกนั้นจะแฝงไปด้วยพละกำลังอันมหาศาลปานนี้?

พอเห็นฉีเล่ยยืนมองตาถล่นใส่แบบนั้นด้วยความมึนงง เธอก็คลี่ยิ้มหวาน กดใบหน้าอันแดงก่ำลงต่ำไม่กล้าสบสายตามอง

“อันที่จริง…หนูไม่ค่อยชอบเรื่องต่อยตีเท่าไหร่…”

“อ่า ผมเชื่อ”

ฉีเล่ยไม่รู้เลยว่าตนควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“จะพยายามเชื่อแบบนั้นนะครับ”

“อาจารย์ฉี ไปกันเถอะค่ะ หยวนหยวนคงกำลังรอพวกเราอยู่”

เหอจื่อรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

เพราะเห็นว่ามีผู้หญิงยืนอยู่ในห้องน้ำแบบนั้น ผู้ชายหลายต่อหลายคนจึงต่อแถวรอไม่กล้าเข้าไป พร้อมกับใช้มือทั้งสองกำเป้าไว้แน่น

แค่เห็นก็รู้สึกสงสารคนพวกนี้แทนแล้ว ฉี่ก็ปวด เข้าห้องน้ำชายก็ไม่ได้ ถ้าเข้าห้องน้ำหญิงคงโดนตราหน้าว่าไอ้โรคจิต สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือ ยืนอดกลั้นอยู่แบบนี้

ฉีเล่ยชี้ไปยังหม่ารุ่ยที่นอนปิดหน้าปิดตาร้องโอดอวนลั่นอยู่บนพื้นห้องน้ำ

“แล้วเราจะทำยังไงกับเขา?”

เหอจื่อครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยแล้วกล่าวว่า

“หมอนี่คงไม่มาที่แบบนี้คนเดียวหรอกจริงไหม? เดี๋ยวเพื่อนที่มาตามก็พาส่งโรงพยาบาลเองแหละ หรือเราควรติดต่อบริกรก่อนไหม?”

“แล้วถ้าเขาแจ้งตำรวจล่ะ?”

เหอจื่อกล่าวตอบ

“ก็บอกไปว่า เขาพยายามจะลวนลานหนู อาจารย์เองก็มาช่วยเป็นพยานให้หน่อย”

“ความคิดไม่เลว แล้วจะอธิบายยังไงถ้าตำรวจถามว่า เธอเข้ามาในห้องน้ำชายมาได้ยังไง?”

“เขาฉุดฉันเข้ามาในห้องน้ำชาย หนูเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ จะไปสู้แรงผู้ชายไหวได้ยังไง?”

เหอจื่อแสยะยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

ทั้งสองที่กำลังสนทนาหารือกันอยู่ ก็เหลือบไปมองหม่ารุ่ยที่นอนยกมือปิดหน้าเลือดอาบอยู่บนพื้น เป็นเหอจื่อที่เอ่ยปากกล่าวต่อว่า

“พูดตามตรงนะ ต่อให้มันแจ้งตำรวจ เราก็ยังมีอีกสารพัดวิธีจัดการ สุดท้ายคนที่เสียเปรียบที่สุดก็คือมัน”

หม่ารุ่ยที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสบนใบหน้า ได้แต่นอนแหกปากร้องคร่ำครวญ แถมอวัยวะภายในยังบอบช้ำเนื่องจากการกระทบกระเทือนเมื่อครู่

เมื่อกลับมายังห้องคาราโอเกะ บรรยากาศภายในห้องกล่าวได้ว่าถึงจุดสุดยอดของความสนุก บางคนกำลังกินดื่มอย่างเมามันส์ บ้างก็กำลังทอยลูกเต๋าลุ้นกันตัวโก่ง มีนักศึกษาหญิงชายคู่หนึ่งกำลังกอดคอกันร้องเพลงคู่รักอย่างหวานชื่น

พอเห็นฉีเล่ยกับเหอจื่อกลับกันมาแล้ว จินเซิงกับจ้าวหยวนหยวนก็รีบตรงเข้ามาหาทั้งสองทันที

“อาจารย์ฉี ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

จินเซิงรีบเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วง

“ปกติดี ผมไม่ได้ไปอ้วกซะหน่อย แค่ยิงกระต่าย”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

จากนั้นเขาก็พลันโบกมือปัดพูดเสริมขึ้นว่า

“ไปสนุกกันต่อเถอะ ไม่ต้องมาห่วงผมหรอก”

“ผมอยู่ดูอาการอาจารย์หน่อยดีกว่าครับ”

จินเซิงยังคงตอบปฏิเสธและมานั่งข้างๆกับฉีเล่ย

“ก็อาจารย์บอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว มาเถอะ ไปร้องเพลงกันดีกว่า ฉันกดเพลงโปรดให้นายร้องด้วยแหละ”

จ้าวหยวนหยวนดึงแขนจินเซิงพยายามลากเขาไปร้องเพลงด้วยกัน

“เธอไปร้องเพลงคนเดียวเถอะ ฉันจะอยู่ดูอาการของอาจารย์ฉีก่อน”

ส่วนจินเซิงก็ยังหัวรั้นไม่ว่ายังไงก็จะอยู่กับอาจารย์ฉีให้ได้

จ้าวหยวนหยวนกระทืบเท้าทันทีด้วยความหงุดหงิด

“ตาบ้า! นี่ตายด้านจริงหรือแกล้งโง่! ตรงนี้ก็มีเหอจื่อดูแลอยู่แล้วไง! ไปร้องเพลงกับฉันได้แล้ว!”

“อ๊ะ…อ๊ะจริงด้วยสิเนอะ! ไปเถอะ ไปร้องเพลงกันดีกว่า”

จินเซิงเพิ่งจะเข้าใจ เขากับจ้าวหยวนหยวนรีบพากันออกไปร้องเพลงต่อทันที เพราะไม่อยากเป็นตัวกขค.ระหว่างเหอจื่อกับอาจารย์ฉี ก่อนออกไปเขายังหันมาขยิบตาส่งสัญญาณให้เห่อจื่อ เชิงขอโทษที่เข้าใจช้าไปหน่อย

“สงสัยหมอนี่มันโง่บริสุทธิ์จริงๆ”

เหอจื่อสบถกับตัวเองเสียงเบา ส่ายหัวให้อย่างช่วยไม่ได้

จ้าวหยวนหยวนหันกลับมายิ้มให้ว่า

“ใช่ ใช่ พวกเรานี่แหละโง่บริสุทธิ์ของจริง แต่ถ้าจะถามว่ายังมีผู้หญิงคนไหนบริสุทธิ์กว่านี้ คงหนีไม่พ้นพี่เหอคนนี้แล้ว! อุ๊บ! นี่ฉันเผลอเผาเพื่อนต่อหน้าอาจารย์ฉีว่าเธอยังบริสุทธิ์อยู่เหรอเนี่ย? ปากพล่อยจริงๆ ปากพล่อยจริงๆ หุหุ…จินเซิง เราไปร้องเพลงกันดีกว่า!”

เฝ้ามองทั้งสองที่จากออกไป เหอจื่อหันมาถามฉีเล่ยว่า

“อยากดื่มอะไรให้สดชื่นหน่อยไหม? แบบพวกน้ำผลไม้?”

“เบียร์”

“…”

ฉีเล่ยที่สังเกตเห็นอาการของอีกฝ่ายก็หัวเราะและให้เหตุผลไปว่า

“นี่ไม่รู้เหรอว่า หลังจากสร่างเมาสดๆร้อนๆคือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการดื่มเบียร์ เพราะมันจะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย”

เหอจื่อพยักหน้าตอบ แต่พอหันไปมองรอบๆภายในห้องกลับเหลือแค่ไวน์แดงกับน้ำผลไม้เท่านั้น ดังนั้นเธอจึงรีบวิ่งออกไปเรียกบริกรสั่งเบียร์ให้ทันที

ฉีเล่ยนั่งเล่นอยู่บนโซฟา พลางหยิบเมล็ดทานตะวันขึ้นมาแทะเล่น ฟังลูกศิษย์สองคนนั้นร้องเพลงอย่างสนุกสนาน

พูดกันตามตรง จนถึงตอนนี้ นอกจากเหอจื่อที่ประเดิมเวทีร้องเพลงด้วยเสียงสุดดไพเราะในทีแรก คนถัดๆมาหลังจากนั้นไม่เหมือนเสียงผีร้องก็เสียงหมาป่าหอน อย่างไรก็ตามแต่ ท่ามกลางบรรยากาศสนุกสนานแบบนี้ ไม่มีใครเขาสนใจกันร้องว่าจะร้องดีหรือแย่ สุดท้ายเพื่อนๆโดยรอบต่างก็ปรบมือให้กำลังใจกันอยู่ดี

นี่แหละบรรยากาศกลิ่นอายของวัยรุ่น

แต่ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงทุบประตูดังไม่หยุดจากด้านนอกห้อง สักพักหนึ่งก็คนถีบประตูพุ่งกันเข้ามา

ทั้งเสียงร้องเพลงและเสียงเชียร์ต่างหยุดลงทันใด ทุกคนหันควับมองไปที่ตัวประตูที่ถูกถีบจนเปิด

กลุ่มคนในชุดสูทสีดำตรงเข้ามาปิดกั้นบริเวณหน้าประตูราวกับไม่ให้ใครออกไปไหน นำโดยชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มากับชายหนุ่มหน้าเยิน เขาคนนั้นกวาดสายมองทั่วทุกมุมมองอย่างเย็นชา ราวกับกำลังมองหาเหยื่อ

เหอจื่อถูกบอดี้การ์ดคนหนึ่งบังคับจับตัวกลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับเบียร์สองขวดในมือของเธอด้วยท่าทีประหม่าอย่างมาก

คนพวกนี้ที่มาดูยังไงก็ไม่เป็นมิตร

ฉีเล่ยลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปประจันหน้ากับชายวัยกลางคนที่ดูเป็นแกนนำ และเอ่ยถามขึ้นว่า

“คุณเป็นใคร?”

ทว่าชายวัยกลางคนผู้นี้กลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย และหันไปพูดกับชายหนุ่มหน้าเยินที่อยู่ด้านหลังว่า

“หม่ารุ่ย มานี่ ออกมาชี้ว่าใครเป็นคนทำร้ายแก?”

หม่ารุ่ยเดินป้องหน้าตรงออกมา เขาชี้ไปที่ฉีเล่ยและเหอจื่อราวกับเด็กน้อยขี้แยกำลังฟ้องพ่อ พร้อมพูดว่า

“สองคนนี้แหละ”

สายตาอันเหยียบเย็นของชายวัยกลางคนเคลื่อนเข้าหาฉีเล่ยกับเหอจื่อ และกล่าวสั่งการขึ้นโดยน้ำเสียงปราศจากความรู้สึกอันใด

“ทำให้ผู้ชายเป็นง่อย ส่วนผู้หญิงทำให้เสียโฉม จัดการ!”

“ครับผม”

กลุ่มบอดี้การ์ดกล่าวรับคำสั่งโดยพร้อมเพรียง และตรงเข้ามาด้วยท่าทีดุร้าย

“ไอ้พวกเวร! ถ้ากล้าก็เข้ามาสิวะ!”

เป็นจินเซิงที่เลือดขึ้นหน้าเดือดดาลในทันใด เขาคว้าขวดเบียร์ข้างตัวและทุบจนแตกกระจายบนโต๊ะ กลายมาเป็นขวดปากฉลาดสุดแหลมคม จากนั้นก็ชี้ใส่พวกบอดี้การ์ดทุกคน กรนเสียงขู่ตะโกนดังลั่น

นักศึกษาชายคนอื่นๆต่างตื่นตัวกันในทันที รีบหยิบขวดเบียร์ประจำตัวขึ้นตีแตกบนโต๊ะเป็นปากฉลามอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน

“เปร๊ง! เปร๊ง! เปร๊ง!”

นักศึกษาชายทุกคนรีบก้าวหน้าออกมายืนขนาบข้างฉีเล่ยราวกับเหล่าองค์รักษ์ ชี้ปากขวดฉลามใส่อย่างไม่กลัวเกรงใดๆ

“ดี ดีมาก พวกวัยรุ่นเลือดร้อน ไม่รู้จักกลัวตาย”

ชายวัยกลางคนพูดจบก็หยิบบุหรี่มวลหนึ่งออกจากกระเป๋ามาคาบ พลางกระดิกนิ้วให้บอดี้การ์ดข้างตัวเดินมาจุดไฟให้

คีบบุหรี่ออกมาพ่นควันใส่ไปทีหนึ่ง กวาดมือชี้ทุกคนในห้องโดยใช้ก้นบุหรี่พร้อมกล่าวว่า

“ก่อหนี้ย่อมต้องชดใช้ นี่คือกฎแห่งความเท่าเทียม”

จินเซิงก้าวออกไปปิดกั้นบริเวณตรงหน้าฉีเล่ย ชี้ขวดใส่พวกบอดี้การ์ดกล่าวว่า

“ผมไม่สนว่าพวกคุณจะเป็นใคร แต่ถ้าอยากสัมผัสตัวอาจารย์ฉี ก็ข้ามศพพวกเราไปก่อน!”

“ถูกต้อง! มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกนะเว้ย!”

นักศึกษาชายอีกสองสามคนที่อยู่ด้านหลังตะโกนเสริมดังขึ้นมา

ในขณะนี้เอง สุ้มเสียงโวยวายของพวกเขาก็ดังลั่นจนเพื่อนห้องคาราโอเกะข้างๆได้ยิน พวกเขารีบแห่ออกมาจากประตูตรงเข้าปิดล้อมกลุ่มบอดี้การ์ดไว้อย่างรวดเร็ว

ดูจากจำนวนแล้ว พวกฉีเล่ยได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด

แต่ฉีเล่ยเองก็ทราบดี ถ้าพวกเขาเกิดเข้าปะทะกันจริงๆ กลับเป็นฝ่ายนักศึกษาที่เกิดความสูญเสียมากกว่าอย่างเลี่ยงไม่ได้

พิจารณาจากเครื่องแต่งกายของพวกนั้นแล้ว น่าจะเป็นบอดี้การ์ดมากฝีมือที่ถูกจ้างให้มาอารักขาคนใหญ่คนโต หรือจะพูดให้ถูกคือ คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นนักสู้มืออาชีพ

เส้นทางอาชีพของบอดี้การด์พวกนี้ ทั้งใช้กำลังและทะเลาะวิวาททุกวันจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ในขณะที่จินเซิงและคนอื่นๆเป็นแค่นักศึกษาที่ไม่เคยมีเรื่องนอกรั้วมหาวิทยาลัยมาก่อน บางคนไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้จริงสักครั้งในชีวิต

ระดับมันต่างกันเกินไป

ดังนั้นแล้ว กุญแจสำคัญของเหตุการณ์ในขณะนี้คือ จะเริ่มเปิดฉากการปะทะขึ้นจริงหรือไม่ ถ้ามีใครสักคนเป็นฝ่ายประเดิมเปิดฉากขึ้นมาจริง ต่อให้เป็นฝ่ายชนะ เรื่องมันใหญ่เกินกว่าที่ฉีเล่ยจะรับผิดชอบได้ไหวหากทางมหาวิทยาลัยรู้เรื่องเข้า

ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า ฉีเล่ยยกพวกบรรดาเหล่าลูกศิษย์ตัวเองไปชกต่อยกับคนอื่นจนเป็นเหตุทะเลาะวิวาทใหญ่โต แม้แต่หลี่ฮั่วเฉินเองก็ไม่สามารถคุ้มกะลาหัวเขาได้เช่นกัน

เหอจือค่อนข้างวิตกกังวลกับเหตุการณ์ในตอนนี้มาก ถึงแม้เธอจะเรียนเทควันโดและมวยสากลมาตั้งแต่เด็ก เก่งถึงขนาดเข้าท้าชิงมวยสากลและเมควันโดรุ่นจูเนียร์มาได้ แต่โดนอีกฝ่ายบุกเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว แถมยังมากันเป็นฝูงขนาดนี้ สองสามคนแรกเธอยังโค่นไหว แต่หลังจากนั้นก็ไม่รู้เป็นตายเช่นกัน

บอดี้การ์ดพวกนี้ไม่ค่อยมีรูปแบบการต่อสู้ที่หลากหลายนัก ส่วนใหญ่มักจะพึ่งพากำลังและประสบการณ์ที่มีมากกว่า ถ้าต่อสู้แบบตัวต่อตัว เหอจื่อเองก็มั่นใจว่า เธอเอาชนะได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก

ตั้งแต่เริ่มจวบจนตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายยังคงนิ่งครึมใส่กัน ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรใดๆ แม้จะถูกจินเซิงและบรรดานักศึกษาชายทั้งหลายเข้ายั่วยุ แต่ท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่ายยังคงดูเฉยชาไม่แปรเปลี่ยน

ชายวัยกลางคนปริปากกล่าวขึ้นว่า

“ถ้าเบื่อชีวิตมากขนาดนั้น เดี๋ยวฉันจะสนองให้!”