บทที่ 82 คนที่น่าสงสาร

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“ศิษย์พี่ท่านนี้ รบกวนพวกท่านดูแลศิษย์พี่ไป๋ด้วย ข้ากลับไปจะต้องต้มน้ำแกงบำรุงหม้อหนึ่งส่งไปให้ศิษย์พี่ไป๋อย่างแน่นอน บาดเจ็บแบบนี้ต้องดื่มน้ำแกงหน่อย จะไม่กินอะไรไม่ได้ รบกวนพวกท่านแล้วจริงๆ ข้าไม่ดีเอง” จินเฟยเหยาโค้งกายแย้มยิ้มปลอบโยนอย่างจริงใจ ทำให้บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของไป๋เจี่ยนจู๋รู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง

โดยเฉพาะศิษย์พี่เฟิง มองสาวน้อยที่มีมารยาทอย่างยิ่งคนนี้ด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า ในใจรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย แค่ขโมยกระเป๋าเก็บของนิดหน่อยก็ถูกศิษย์น้องไป๋ทุบตีจนกลายเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องไป๋ใจแคบเกินไปแล้ว บวกกับคนผู้นี้ยังเป็นคนของสำนักเฉวียนเซียน พวกเขาและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของสำนักเฉวียนเซียนค่อนข้างคุ้นเคยกัน จึงยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น

“ศิษย์น้องท่านนี้ เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดมากไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ต้องโทษศิษย์น้องของข้าที่ไม่ยืดหยุ่นกับผู้อื่นเกินไป ในดวงตามีทรายไม่ได้เลยสักนิด[1] เจ้าก็ไม่ได้ทำอะไร คิดไม่ถึงว่าจะทุบตีเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้ พวกเราสมควรเป็นฝ่ายขอโทษมากกว่า”

ดวงตาของจินเฟยเหยามองไปทางอื่น อารมณ์เศร้าเสียใจส่งออกมาจากจิตใจ เอ่ยอย่างโดดเดี่ยว “ศิษย์พี่เกรงใจไปแล้ว ถ้าข้าไม่ได้ยากจนขนาดอาวุธเวทขั้นกลางก็ยังไม่มี คงไม่ไปทำเรื่องขายหน้าเช่นนี้หรอก ข้าขายสมบัติทั้งหมดในบ้านเพื่อสร้างฐาน บวกกับความสามารถของข้าต่ำต้อย สหายเซียนเหล่านั้นไม่ยอมพาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีออกไปทำภารกิจ บอกว่าข้าขัดมือขวางเท้า ข้าจึงได้แต่รับภารกิจที่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งในบ้านข้ายังมีน้องชายคนหนึ่ง ท้องมีปัญหา กินเก่งเป็นพิเศษ หนึ่งมื้อกินข้าวสองสามถัง ข้าเลี้ยงเขาไม่ไหวจริงๆ จึงทำหน้าหนาเข้าสำนักเฉวียนเซียน ในสำนักมีที่อยู่ที่กินให้เสร็จสรรพ ข้าก็แค่ทำเพื่อให้น้องชายกินอิ่ม ข้า…ข้าช่างใช้ไม่ได้จริงๆ”

เอ่ยถึงตอนท้าย จินเฟยเหยาก็มีเสียงสะอื้น ใช้สองมือปิดหน้าหมุนกายจากไป ราวกับเสียใจจนน้ำตาไหล แต่เพราะน้ำตาหยดลงบนบาดแผลจึงเจ็บปวดจนต้องสูดลมหายใจ เป่าฝ่ามือเพื่อลดความเจ็บปวดทั้งน้ำตา

คำพูดและการกระทำอันน่าสงสารของนางทำให้ทุกคนในหอชิงซวีหวั่นไหว ทว่าไม่รวมไป๋เจี่ยนจู๋ คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้จะมีชีวิตที่ยากลำบากแบบนี้ อีกทั้งออกมาจากดินแดนลึกลับลั่วเซียนนานแล้ว นางยังไม่ได้นำยาออกมารักษาบาดแผล ปล่อยให้สองมือที่เนื้อหนังปริแยกถูกลมพัด

เห็นนางเป่ามือทุกคนก็เดาได้ นางอาจจะไม่มีศิลาวิญญาณซื้อยารักษาบาดแผล ดังนั้นจึงปล่อยบาดแผลบนมือทั้งสองไว้แบบนั้นตลอดเวลา

“ศิษย์น้อง ข้ามียากลีบดอกไม้ขวดหนึ่ง ถึงจะมีเพียงห้าเม็ด แต่เจ้ากินวันละเม็ดจะมีส่วนช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ” ศิษย์พี่เฟิงทนดูไม่ไหว หยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเก็บของมอบให้จินเฟยเหยา

จินเฟยเหยาถือขวดหยกอย่างตื้นตัน เอ่ยเสียงสะอื้น “ขอบคุณศิษย์พี่ท่านนี้ ข้าไม่เคยใช้ยาขั้นสองมาก่อน ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีจริงๆ ขอบคุณ”

“ศิษย์น้องข้ามีอาวุธเวทขั้นกลางที่ไม่ได้ใช้อยู่ชิ้นหนึ่ง ถึงลักษณะจะน่าเกลียดไปหน่อยแต่เจ้าเอาไว้ใช้เถอะ” มีผู้บำเพ็ญเซียนหอชิงซวีคนหนึ่งส่งค้อนโคมมังกรทลายภูผาคู่หนึ่งให้

จินเฟยเหยาเอ่ยขอบคุณอย่างตื้นตันพลางล้วงกระเป๋าเก็บของสีตุ่นๆ ออกมาจากอก บนกระเป๋ามีรอยปะชุน นางขัดเขินนิดหน่อย แอบนำค้อนทลายภูผาและขวดหยกใส่ลงในกระเป๋าเก็บของอย่างระมัดระวัง

ศิษย์พี่ใหญ่ของไป๋เจี่ยนจู๋มองกระเป๋าเก็บของใบนั้นอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะมีคนปะชุนกระเป๋าเก็บของ ต้องยากจนถึงเพียงใดกันแน่

ที่จริง นี่คือกระเป๋าเก็บของที่จินเฟยเหยาเผาเสียหายตอนฝึกฝนไฟนรก เดิมทีคิดจะโยนทิ้ง แต่พลันเกิดความคิดบ้าๆ ขึ้น นำไปหลอมสร้างอาวุธเล่นในไฟพิภพ คิดไม่ถึงว่าหลังจากนางทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่นาน  ก็ใช้หนังสัตว์ชิ้นหนึ่งปะชุนลงไป แค่น่าเกลียดเป็นพิเศษ อีกทั้งความจุด้านในยังลดลงครึ่งหนึ่ง ใช้สำหรับบรรจุสิ่งของที่ไม่ค่อยมีค่า คิดไม่ถึงว่าตอนนี้สามารถนำออกมาใช้ประโยชน์ได้

อาจเป็นเพราะด้านในบรรจุสิ่งของจนเต็ม จึงใส่ค้อนทลายภูผาอันหนึ่งลงไปไม่ได้ จินเฟยเหยาใบหน้าแดงก่ำ ใช้มือที่บาดเจ็บออกแรงยัดลงไปอย่างลำบาก ทำอยู่นานมากก็ยังยัดลงไปไม่ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ของไป๋เจี่ยนจู๋ทนดูต่อไปไม่ไหว ใช้มือหยิบกระเป๋าเก็บของมาแล้วล้วงสิ่งของออกพลางเอ่ยว่า “จัดระเบียบสิ่งของด้านในสักหน่อยก็สามารถใส่ลงไปได้ มือเจ้าไม่สะดวกทำ ข้าจะช่วยเจ้า”

ผู้บำเพ็ญเซียนของหอชิงซวีเป็นกลุ่มคนดีจริงๆ ในหมู่ผู้บำเพ็ญเซียนที่คนกินคน[2]เช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะมีกลุ่มคนที่เหมือนดอกบัวที่เกิดจากโคลนตมทว่าไม่แปดเปื้อน ดวงตาของจินเฟยเหยาเปล่งประกาย มองพวกเขาด้วยดวงตาชื่นชมบูชา

ศิษย์พี่ใหญ่ล้วงในกระเป๋าเก็บของ หยิบเศษอาวุธเวทหลายชิ้นออกมา  ทำไมยังมีขยะ เขาคว้ามาอีกกำมือ หยิบฟางตากแห้งมัดหนึ่งออกมา นี่คือหญ้าวิญญาณขั้นต่ำสุดชนิดหนึ่ง สองคันรถใหญ่ๆ ก็ขายได้ไม่ถึงหนึ่งศิลาวิญญาณ นิ่งงันไป เขามองพินิจในกระเป๋าเก็บของอย่างละเอียด สิ่งที่เห็นนอกจากขยะก็เป็นของไร้ค่า ด้านในเต็มไปด้วยสิ่งของไม่มีราคา

สูดลมหายใจลึก นำกระเป๋าเก็บของใบหนึ่งออกมาจากอก ใส่ค้อนโคมมังกรทลายภูผาในมือลงไป จากนั้นยื่นส่งให้จินเฟยเหยา เอ่ยอย่างสงสาร “ด้านในมีศิลาวิญญาณสองพันก้อน ถือเป็นค่ารักษาที่ข้ามอบให้เจ้าแทนศิษย์น้อง ต่อไปมีเรื่องอะไร เจ้าก็มาหาพวกเราที่เกาะชิงซวีได้ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณ ขอบคุณศิษย์พี่ทุกท่าน” จินเฟยเหยารับกระเป๋าเก็บของมา ครั้งนี้ยิ้มจนน้ำไหลออกมาจริงๆ เอ่ยขอบคุณพวกเขาไม่หยุด

“ศิษย์พี่!” ไป๋เจี่ยนจู๋มีโทสะแทบตาย ชี้ใบหน้าแย้มยิ้มอย่างเจิดจรัสของจินเฟยเหยาอย่างเดือดดาลพลางเอ่ยว่า “เจ้าอย่ากระหยิ่มยินดีไป ข้าเข้าออกเกาะทองคำได้อย่างสะดวกสบาย เจ้าเตรียมล้างคอรอไว้เลย”

พอจินเฟยเหยาได้ยินก็มองเขาอย่างหวาดกลัว น้ำตาคลอเอ่ยอย่างน่าสงสาร “ศิษย์พี่ ข้าผิดไปแล้ว กระเป๋าเก็บของใบนี้ข้าไม่เอาแล้ว เจ้านำคืนไป ข้าไม่กล้าแล้ว”

ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ศิษย์น้องน่าสงสารขนาดนี้ เขาไม่เพียงต่อยนางจนกลายเป็นแบบนี้ คิดไม่ถึงว่ายังเอ่ยวาจาหยิ่งยโสข่มขู่นาง ทุกคนมองไป๋เจี่ยนจู๋อย่างประหลาดใจ ราวกับเห็นภูตผี คนทั้งหมดกำลังสงสัยว่านี่เป็นเขาตัวจริงหรือไม่ เหตุใดจึงไม่เหมือนเลยสักนิด

มีศิษย์พี่คนหนึ่งใช้มือดึงไป๋เจี่ยนจู๋ไว้ ตวาดเสียงเข้ม “เจ้าเป็นใคร คิดไม่ถึงว่าจะกล้าฆ่าศิษย์สำนักข้าแล้วชิงร่างไป!”

ไม่ให้ไป๋เจี่ยนจู๋ได้อธิบาย ศิษย์พี่อีกคนพลันหยิบเชือกกักเซียนออกมามัดไป๋เจี่ยนจู๋ไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนก็แบกไป๋เจี่ยนจู๋ขึ้นบ่า เหยียบของวิเศษรีบบินไปยังเกาะลอยได้ชิงซวี คิดจะรีบนำตัวไปให้อาจารย์ดูว่าศิษย์น้องไป๋ถูกชิงร่างหรือไม่ เหตุใดคำพูดและการกระทำจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“ศิษย์พี่ไป๋ไปดีๆ นะ แล้วข้าจะไปเยี่ยมเจ้า ตั้งใจรักษาอาการบาดเจ็บล่ะ” จินเฟยเหยายกมือข้างที่เลือดหยุดไหลแล้วแต่ยังไม่ได้พันแผลขึ้นโบกให้ไป๋เจี่ยนจู๋ที่ถูกพาตัวไป น่าเสียดายที่พวกเขารวดเร็วยิ่ง จึงมองเห็นสีหน้าของไป๋เจี่ยนจู๋ได้ไม่ชัด แต่นางแค่คิดดูก็รู้ เกรงว่าสีหน้าของไป๋เจี่ยนจู๋คงย่ำแย่อย่างยิ่ง ครั้งนี้กลับถึงหอชิงซวี ไม่แน่ว่าอาจจะถูกไต่สวนอย่างละเอียด

“ศิษย์พี่จิน เจ้าคิดจะไปเกาะทองคำกับข้าตอนนี้หรือจะไปหาศิษย์ทำธุระแล้วไปเกาะทองคำเองภายหลัง ทางด้านนั้นอาจารย์ได้บอกไว้แล้ว ถึงเวลาแค่แจ้งชื่อของอาจารย์และชื่อของเจ้าก็พอ” ด้านหลังมีเสียงอ่อนหวานของอี้จือดังมาน้ำเสียงแฝงความขบขันเล็กน้อย

จินเฟยเหยาหมุนตัวมา เห็นอี้จือยิ้มแย้มอย่างมีนัยยะ จึงฝืนยิ้ม “สภาพของข้าในตอนนี้ต้องกลับไปพันแผลสักหน่อย อีกทั้งข้ายังมีสิ่งของเล็กน้อยที่ต้องนำไปด้วย หลังจากข้าจัดการเสร็จจะไปเกาะทองคำเอง ต้องรบกวนศิษย์น้องอี้จืออีกรอบ”

“ก็ได้ ต่อไปศิษย์พี่มาถึงเกาะทองคำแล้ว มาเล่นกับข้าบ่อยๆ ได้ ข้ากลับไปรายงานอาจารย์ก่อน ท่านไปดีๆ ล่ะ” ดวงตาของอี้จือมองพินิจจินเฟยเหยาขึ้นลงไม่หยุด ตอบอย่างสุภาพ

จินเฟยเหยาประสานมือกล่าวอำลา บอกให้ไปดีๆ อย่างเกรงอกเกรงใจ จึงส่งอี้จือจากไป

นางเคยสอบถามเรื่องของคนผู้นี้แล้ว อี้จือ ศิษย์ผู้สืบทอดของหลี่ว์เหนียงเนียงซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม มีพลังวิญญาณผันแปร ถือว่าหาได้ยากในสำนักเฉวียนเซียน และความเป็นมาของนางก็ทำให้คนครุ่นคิด หลี่ว์เหนียงเนียงออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ภายนอกสิบปี ตอนกลับมาพาอี้จือที่เพิ่งอายุหนึ่งขวบกว่ามาด้วย ถามนางว่าไปหามาจากไหนนางกลับไม่ยอมบอก

ทั้งยังรักเอ็นดูศิษย์คนนี้เป็นพิเศษ ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของนางด้วยตนเอง เล่าลือกันอย่างลับๆ ว่าอี้จือเป็นลูกที่นางให้กำเนิดข้างนอก ถึงแม้จะลือมาถึงหู ทว่านางกลับไม่เคยปฏิเสธแต่ก็ไม่เคยยอมรับ

จะดูเบาคนผู้นี้ไม่ได้ ต้องตีสนิทกับนาง ต่อไปมีหลี่ว์เหนียงเนียงปกป้อง ทางไป๋เจี่ยนจู๋จะได้สำรวมการกระทำของตนเอง

หอชิงซวีทำให้คนชื่นชอบจริงๆ มิน่าเล่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีมากมายปานนั้นล้วนคิดจะแต่งงานกับบุรุษของหอชิงซวี ทั้งหมดล้วนเป็นบุรุษชั้นยอด ไม่รู้ว่าอาจารย์ของพวกเขาสอนมาอย่างไร จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ ยัดกระเป๋าเก็บของใส่ในอก นำยากลีบดอกไม้เม็ดหนึ่งมาโยนใส่ปาก หยิบผ้าสีขาวออกมาจากในกระเป๋าเก็บของอีกใบ สาดยารักษาบาดแผลจากอาวุธขั้นสามลงบนบาดแผลแล้วพันแผลบนมือทั้งสองข้างอย่างว่องไว

รอจนนางเดินกลับมาสำนักเฉวียนเซียน ศิษย์ทำธุระด้านในรู้ข่าวว่าจินเฟยเหยาสร้างฐานสำเร็จ จึงมายืนต้อนรับนางตรงประตูนานแล้ว และเดินไปส่งจินเฟยเหยาจนถึงเรือนหมายเลขสี่สิบสี่ ศิษย์ทำธุระใช้สองมือประคองส่งป้ายคำสั่งของเกาะทองคำให้อย่างเคารพ หลังจากทิ้งความประทับใจให้แก่จินเฟยเหยามากพอแล้ว เขาจึงกลับไป

ในที่สุดก็ไม่มีใครแล้ว นางวิ่งกลับไปที่เรือนของตนเองด้วยรอยยิ้มปริ่ม ตะโกนดังลั่น “รีบเก็บของเปลี่ยนที่อยู่ พวกเราไปลองลิ้มรสชาติการอยู่บนเกาะลอยได้กัน”

หลังจากตะโกน จึงพบว่าพั่งจื่อและต้านิวไม่ได้อยู่ในเรือน ไปที่ใดแล้ว? จินเฟยเหยาไปหาที่ห้องฝึกบำเพ็ญ จึงเห็นพั่งจื่อกำลังแช่ร่างอยู่ในอ่างไม้ บนหัวมีผ้าขนหนูร้อน กำลังแช่น้ำอย่างสบายอุรา ส่วนต้านิวที่เป็นสาวใช้กำลังถือโจ๊กดอกกุ้ยชามหนึ่ง ป้อนถึงปากพั่งจื่อทีละช้อน

จินเฟยเหยาเงยหน้ามองเพดานพลางถอนหายใจยาว ก่นด่าบรรพชนกบผานอวิ๋นทั้งแปดรุ่นรอบหนึ่ง จึงเดินออกจากห้องฝึกบำเพ็ญอย่างช่วยไม่ได้ นางนั่งพึมพำอยู่ในเรือนเริ่มจัดการกระเป๋าเก็บของที่ได้มา

มองกระเป๋าเก็บของเจ็ดใบที่วางบนโต๊ะเล็ก จินเฟยเหยาอดสะเทือนใจไม่ได้ เสี่ยงชีวิตได้กระเป๋ามาแค่เจ็ดใบ ยังไม่รู้ว่าด้านในบรรจุอะไร

แต่นี่เป็นกระเป๋าเก็บของของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน สิ่งของด้านในน่าจะมีราคา อารมณ์ของนางในยามนี้เหมือนลงเดิมพันในบ่อนการพนัน จะได้เงินหรือไม่ก็ต้องเปิดออกดู

สะเทือนใจอยู่พักหนึ่ง นางหยิบกระเป๋าใบที่หนึ่งขึ้น มีอารมณ์เหมือนเก็บของมีค่าได้ เทสิ่งของในกระเป๋าเก็บของทั้งหมดออกมาทันที


[1] ในดวงตามีทรายไม่ได้เลยสักนิด หมายถึง ทนเรื่องบางเรื่องที่ไม่เป็นไปดังใจปรารถนาไม่ได้เลย

[2] คนกินคน หมายถึง ขัดแย้งกัน หลอกใช้กัน กลืนกินกันเพื่อผลประโยชน์ คนอ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้เข้มแข็ง