บทที่ 83 หลุมลึกขนาดใหญ่

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ยา ศิลาวิญญาณ อาวุธเวทชั้นสูงชั้นกลาง สิ่งของจิปาถะทั้งหลายและหญ้าวิญญาณที่มีเฉพาะในดินแดนลึกลับลั่วเซียน บวกกับเคล็ดวิชาจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานร่ำเรียน

มองของวิเศษชั้นล่างสองชิ้นเบื้องหน้า จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเหล่านี้ออกจากบ้านก็ซ่อนของดีๆ เอาไว้ไม่พกติดตัว เปิดกระเป๋าเก็บของเจ็ดใบออกหมดแล้ว พบของวิเศษชั้นล่างแค่สองชิ้น ไม่มีของดีเลยสักชิ้น

นางนึกว่าทุกคนล้วนคิดเหมือนนาง ออกจากบ้านต้องพกสมบัติทั้งหมดไปด้วย พร้อมหลบหนีได้ทุกเมื่อ ผู้อื่นอยู่ในสำนักใหญ่ตั้งแต่เล็ก ซ่อนสิ่งของดีๆ ไว้ในถ้ำเซียนของตนเอง ถ้าไม่ระวังสิ้นชีวิตอยู่ภายนอก ยังสามารถทิ้งสิ่งของไว้ให้สำนักได้

ทว่าของวิเศษชั้นล่างสองชิ้นนี้ ชิ้นหนึ่งเป็นร่มลายดอกไม้คันเล็ก จินเฟยเหยากางร่ม ไม่ได้ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป ทดลองวางบนไหล่ดูแล้ววางได้พอเหมาะพอดี ท่าทางเป็นของวิเศษที่สตรีใช้ ถ้าเป็นบุรุษไหนเลยจะกล้านำออกมาใช้ ครุ่นคิดอย่างละเอียด จินเฟยเหยาก็ส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ “ดูเหมือนข้าจะไม่เคยขโมยของผู้บำเพ็ญเซียนสตรี? ต้องเป็นใครบางคนขโมยของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเสียแปดส่วน จากนั้นก็ถูกข้าทำเรื่องผดุงคุณธรรมมาหยิบฉวยมา”

นางถ่ายเทพลังวิญญาณลงในร่มดอกไม้ คิดจะลองใช้ร่มคันนี้ดูว่ามีความสามารถอะไร กลับพบว่าด้านในมีการรับรู้ จึงนึกขึ้นได้ ของวิเศษหลังสร้างฐานต้องใช้การรับรู้หลอมก่อนจึงสามารถใช้งานได้ ดังนั้นนางจึงใช้การรับรู้ของตนเองขจัดการรับรู้ในร่มดอกไม้

ลบการรับรู้ทิ้ง นางจึงเพิ่มการรับรู้ของตนเองลงไปอย่างราบรื่น จากนั้นโยนร่มคันน้อยขึ้นกลางอากาศ พลังวิญญาณไหลทะลักเข้าไป ร่มดอกไม้ที่บินไปกลางอากาศกางออกเอง มีม่านแสงกางออกมาจากในร่ม รู้สึกอบอุ่นและปราศจากอันตราย ที่แท้เป็นของวิเศษใช้ป้องกัน

เก็บร่มดอกไม้กลับมา จินเฟยเหยาถือเล่นอยู่ในมือ คิดจะหาเวลาหลอมสร้างร่มดอกไม้ขึ้นใหม่ ลบลายดอกไม้ด้านบนทิ้งไป ไม่เช่นนั้นถ้าถูกคนคุ้นเคยของร่มคันนี้เห็น แล้วใส่ร้ายตนเองว่าสังหารคนคงไม่คุ้ม

เก็บร่มดอกไม้ บนโต๊ะเล็กเหลือของวิเศษชั้นล่างชิ้นสุดท้าย ผ้าเช็ดหน้าปักสีสันสดใสขนาดกว้างสองฝ่ามือผืนหนึ่ง คงไม่ใช่อาวุธป้องกันอีกนะ นางฝืนใจหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ขึ้น ลบการรับรู้ด้านใน จากนั้นถ่ายเทพลังวิญญาณเข้าไป

ผ้าเช็ดหน้าปักสีสันสดใสได้รับพลังวิญญาณเริ่มพองขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีขนาดยาวหกฉื่อกว้างสี่ฉื่อจึงหยุดลง จากนั้นก็ลอยอยู่กลางอากาศ

“นี่คือ…พรมบินในของวิเศษบินได้?” จินเฟยเหยามองมันขยายขนาด ใช้มือลูบไล้อย่างตื่นเต้นยินดี พรมบินได้มีความอ่อนนุ่มพอเหมาะ คาดว่าขึ้นนั่งแล้วคงจะสบายมากทีเดียว

ยิ่งมองดูก็ยิ่งชื่นชอบ นางอยากจะลองบินดูสักรอบทันที พลันนึกถึงกฎห้ามบินกลางอากาศในเมืองลั่วเซียน แต่พอคิดดูอีกที ถ้าบินไม่ได้ คนที่อาศัยอยู่บนเกาะลอยได้จะกลับไปอย่างไร หันหน้าไปมองทางเกาะลอยได้เห็นมีผู้บำเพ็ญเซียนกำลังบินเข้าออกชัดๆ

นึกถึงตอนศิษย์ทำธุระมอบป้ายคำสั่งของเกาะทองคำให้ตนเองก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ หรือว่าพกป้ายนี้ก็ไม่ต้องสนใจกฎข้อห้ามของเมืองลั่วเซียนสามารถบินไปมาอย่างอิสระได้?

คิดมากไปจะมีประโยชน์อะไร ลองบินดูสักรอบ จินเฟยเหยาไม่สนใจจะอาบน้ำพันแผลเตรียมกระโดดขึ้นพรมบิน ด้านหลังมีเสียงดังอ๊บ พั่งจื่อพลันแทรกเข้ามาใช้ขาผลักจินเฟยเหยาออกพุ่งร่างขึ้นไปบนพรมบิน บนร่างมันมีน้ำหยดติ๋งๆ ท่าทางรีบออกมาจากในน้ำยังไม่ทันได้เช็ดตัว ดูเหมือนพั่งจื่อจะชอบพรมบินได้ผืนนี้มาก กลิ้งไปกลิ้งมาบนพรมอย่างเสียกิริยา ไม่สนใจจินเฟยเหยาที่มีโทสะแทบตายทางด้านข้างเลยสักนิด

มันย่อมปีติยินดี ถ้ามีของวิเศษบินได้ก็ไม่ต้องเดินแล้ว ทั้งยังสามารถนอนบนพรมบินได้ทุกเมื่อ อยากไปที่ใดก็ได้ไป ในที่สุดขากบก็ได้รับการปลดปล่อย

“ถอยไปหน่อย เจ้ามีความสามารถทำให้มันบินขึ้นได้หรือ?” จินเฟยเหยานั่งบนพรมบินได้อย่างเดือดดาล ผลักพั่งจื่อไปด้านข้าง พั่งจื่อขยับไปด้านข้างอย่างไม่ยินยอม นั่งอยู่ด้านหลังนางยื่นขากบไปเปรียบเทียบกับนิ้วเล็กๆ ของนาง

จินเฟยเหยาไม่เห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของพั่งจื่อทางด้านหลัง นั่งขัดสมาธิบนพรมคิดจะพาพั่งจื่อออกบินรอบหนึ่ง ขณะกำลังจะออกตัวอย่างตื่นเต้นก็เห็นมือของต้านิวถือผ้าขนหนูเช็ดบนตัวให้พั่งจื่อ มองพวกนางอย่างโง่งม ดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉาและวาดหวัง

“ขอโทษที ข้าลืมเจ้าไป โยนผ้าขนหนูลง รีบขึ้นมานั่งเร็ว” เห็นท่าทางของต้านิว จินเฟยเหยาเกิดความรู้สึกเหมือนเจ้าของที่ดินรังแกคนงาน รู้สึกผิดอยู่บ้าง

เห็นต้านิวกระโดดขึ้นบนพรม จึงนึกขึ้นได้ว่าพั่งจื่อรังแกต้านิวชัดๆ ทำไมตนเองต้องรู้สึกผิดด้วย

รอจนต้านิวนั่งแล้ว จินเฟยเหยานั่งอยู่ด้านหน้าชี้ท้องนภาแล้วร้อง “พวกเราออกเดินทางเถอะ” พั่งจื่อที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ยักไหล่มีสีหน้าแบบเจ้าคนปัญญาอ่อนเอ๊ย ผู้ใดจะรู้ จินเฟยเหยาหันหน้ามาอย่างกะทันหันถลึงตาใส่มันอย่างเดือดดาล ส่วนพั่งจื่อยังยักไหล่อยู่เปลี่ยนท่าไม่ทัน มันมองจินเฟยเหยาอย่างตะลึงงัน ากนั้นดวงตาก็กลอกไปด้านข้างอย่างช้าๆ แสร้งทำเป็นมองไปทางอื่น

“เจ้าสารเลว ปกติไม่เชื่อฟังคำพูดข้า ข้ามีบาดแผลเต็มตัวกลับมา เจ้ากลับไม่ถามไถ่สักคำ ข้าว่าเจ้าแกล้งโง่ วันนี้ถ้าไม่อัดเจ้าสักยกเจ้าคงปีนขึ้นมาอยู่บนศีรษะข้า” จินเฟยเหยาด่าทอเป็นการใหญ่แล้วพุ่งเข้าใส่ ชูกำปั้นต่อยใส่ร่างพั่งจื่อ

พั่งจื่อดิ้นรนสุดชีวิตส่งเสียงร้องอ๊บๆ ดังลั่นไม่หยุด มันสู้จินเฟยเหยาที่สร้างฐานแล้วไม่ได้ การต่อสู้พัวพันกลายเป็นถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนต้านิวถูกพวกนางเบียดลงจากพรมบินไปนานแล้ว ขาหน้ายังกำผ้าขนหนูไว้แน่น เบิกตาโตไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ฮ่าๆๆ สบายใจจริงๆ ถ้าเข้าสู่ขั้นสร้างฐานแล้วสามารถขี่อาวุธเวทบินได้ จึงเป็นการเหยียบย่างเข้าสู่มหามรรคในการฝึกบำเพ็ญที่แท้จริง” จินเฟยเหยานั่งบนพรมบินได้พลางหัวเราะฮาๆ เสียงดังเหมือนเด็กๆ นางไม่ได้ใช้ม่านแสง ปล่อยให้ลมพัดต้องร่าง ยื่นมือทั้งสองข้างออกมาร่อนรับลมอย่างยินดี

พั่งจื่อนอนอยู่ด้านหลังนาง บนหัวเต็มไปด้วยรอยปูด ดูเหมือนสลบไป ส่วนต้านิวนั่งเงียบกริบอยู่ด้านข้าง กำลังถือโจ๊กดอกกุ้ยชามหนึ่งป้อนโจ๊กถึงปากให้พั่งจื่อที่สลบไปทีละช้อน โชคดีที่ปากของพั่งจื่อมีขนาดใหญ่ โจ๊กดอกกุ้ยจึงไหลลงไปตามร่องและอยู่ในปากทั้งหมด

หลังจากอัดพั่งจื่อจนสลบ จินเฟยเหยาก็เลื่อนการทดสอบของวิเศษบินได้ ไปอาบน้ำชำระกายให้สะอาดก่อน จากนั้นทายาขี้ผึ้งแล้วพันแผล จึงเปลี่ยนชุด ส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงถึงหวาซีบอกเขาว่านางจะย้ายไปอยู่บนเกาะทองคำ หลังเลือกที่อยู่อาศัยแล้วค่อยบอกเขา ไม่เช่นนั้นยันต์ถ่ายทอดเสียงจะส่งผิดที่

เก็บสิ่งของของตนเองลงในกระเป๋าเก็บของ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอะไรหลุดรอดสายตา จินเฟยเหยาจึงพากบโง่งมสองตัวบินไปที่เกาะทองคำ แต่นางไม่ได้บินตรงไปที่เกาะทองคำทว่าบินเหนือเมืองลั่วเซียนสองรอบแล้วจึงบินไปเยี่ยมชมเหนือเกาะลอยได้แต่ละเกาะอย่างสำราญใจ เดิมทีก่อนหน้านี้ยังแสร้งทำท่าทางจริงจังนั่งขัดสมาธิบนพรมบิน ต่อมาก็เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงนอนอยู่บนพรมบินชี้ด้านล่างบอกกับต้านิวไม่หยุด

“ต้านิวเจ้าดูสิ น้ำในทะเลสาบของหอจิ้งฮวาสามารถใช้เป็นกระจกได้จริงๆ”

“หอชิงซวี! เหตุใดจึงบินมาถึงที่นี่ได้ รีบเลี้ยวเร็วเข้าเลี้ยว”

“ต้านิว เจ้าทัดดอกไม้ดอกนี้ไว้ เด็กผู้หญิงต้องแต่งตัวหน่อย ตอนนี้เจ้าสวยขึ้นแล้ว” ตอนผ่านเกาะชีจ้ง ท่ามกลางดอกไม้ป่าที่ล่องลอยทั่วท้องนภา นางรับดอกไม้สดสีแดงดอกหนึ่งไว้แล้วใช้พลังวิญญาณแปะติดบนหัวต้านิว

สุดท้ายหลังจากผ่านข้างเกาะลอยได้ที่มียอดเขาอันงดงามลูกนั้น ก็บินไปยังเกาะทองคำของสำนักเฉวียนเซียนทันทีอย่างวาดหวังนิดๆ และรู้สึกช่วยไม่ได้อยู่บ้าง

มองดูใกล้ๆ แตกต่างกับการมองดูไกลๆ จริงๆ ตอนนั้นเงยหน้าขึ้นมองดูเกาะทองคำจากบนพื้นดิน เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ นอกจากอาคารอันหรูหราโอ่อ่าเหล่านั้นก็มองไม่เห็นสิ่งอื่น ทว่าสิ่งที่ได้เห็นตอนยืนอยู่เหนือเกาะทองคำใกล้ๆ ในยามนี้ไม่เหมือนกับมองจากบนพื้นดิน

จินเฟยเหยาตกตะลึงอ้าปากค้างจนกรามล่างแทบร่วงพื้น นี่คือสถานที่ใด อาคารสีทองมลังเมลืองเพียงยึดครองพื้นที่หนึ่งในสิบส่วนขอเกาะลอยได้ พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ตึกสีทองระยิบระยับเหล่านั้นแค่ตกแต่งรอบเกาะลอยได้ ส่วนตรงกลางกลับเป็นหลุมขนาดใหญ่เว้าลึกลงไป

ประมาณด้วยสายตา หลุมนี้เกือบจะขุดทะลุเกาะทองคำแล้ว อีกทั้งบนกำแพงสี่ด้านของหลุมใหญ่มีถ้ำมากมาย รอบด้านไม่มีแม้แต่บันไดขึ้นลง ทั้งหมดอาศัยของวิเศษเข้าออก ตรงปากถ้ำจำนวนไม่น้อยมีแท่นราบมากมาย ให้ผู้บำเพ็ญเซียนสะดวกในการร่อนลง ถึงกับมีคนติดตุ้ยเหลียน[1]สีแดงไว้สองฟากของปากถ้ำ

“นี่ นี่มันภายนอกดูดีแต่ภายในย่ำแย่ ด้านในกับด้านนอกราวกับคนละโลก จะลดความยุ่งยากมากเกินไปแล้วขุดถ้ำให้คนอยู่โดยตรง” ก่อนมาจินเฟยเหยายังคิดว่าตนเองต้องอยู่ในสถานที่ราวกับวังหลวงในโลกมนุษย์ ยังคิดว่าหรูหราเกินไปหรือไม่ ไม่มีบรรยากาศของการฝึกบำเพ็ญ ครั้งนี้ดีเลย อาศัยอยู่ในคุก

“เจ้าเป็นใคร มีธุระอะไร?” ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนหนึ่งบินมาจากในอาคารรอบนอกที่เปล่งสีทองระยิบระยับ เอ่ยซักไซ้นางมาแต่ไกล

จินเฟยเหยารีบล้วงป้ายคำสั่งเกาะทองคำออกมา ยื่นส่งให้ผู้บำเพ็ญเซียนเบื้องหน้า “ศิษย์พี่ท่านนี้ ข้าชื่อจินเฟยเหยา เป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เพิ่งบรรลุขั้นสร้างฐาน หลี่ว์เหนีงเนียงเพิ่งมีคำสั่งรับข้าเป็นศิษย์ ให้ข้าย้ายมาอยู่บนเกาะทองคำ นี่คือป้ายคำสั่งของข้า”

“อ้อ เจ้าคือจินเฟยเหยา?” ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้รับป้ายทองคำมา หลังจากใช้การรับรู้กวาดดูพบว่าไม่มีปัญหา จากนั้นมองพินิจผู้บำเพ็ญเซียนประหลาดที่ทั่วร่างพันผ้าพันแผลทั้งตัวเหลือเพียงดวงตาและปากโผล่ออกมาภายนอกคนนี้ “เจ้าตามข้ามา ก่อนหน้านี้เบื้องบนสั่งลงมา บอกว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนใหม่มา แต่สหายเซียนจิน ลักษณะของเจ้าพิเศษยิ่ง สัตว์ภูติก็แปลกและมีเอกลักษณ์”

“อา ข้าได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงพันแผลจนเป็นแบบนี้ ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยนำทาง ไม่ทราบว่าศิษย์พี่แซ่อะไร ต่อไปต้องพึ่งพาศิษย์พี่ให้ช่วยดูแลด้วย” จินเฟยเหยายิ้มอย่างขัดเขิน

“ไม่ต้องเกรงใจ ข้าชื่อหลินลี่ ต่อไปทุกคนล้วนเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน มีเรื่องอะไรก็หารือได้ เจ้าตามข้ามาเถอะ”

ติดตามด้านหลังหลินลี่ จินเฟยเหยามาถึงเกาะทองคำ เหยียบบนพื้นศิลาหยกขาวเลี่ยมทอง ถ้าไม่มองลงไป อาคารแถบนี้บนเกาะทองคำก็ทำให้คนตาพร่าพรายจริงๆ สุ่มหยิบอิฐขึ้นมาก้อนหนึ่งก็สร้างขึ้นจากหยกขาวชั้นเลิศ ขนาดกระดิ่งที่แขวนบนชายคาก็ทำจากทองคำ

ทุกสิบก้าว บนกำแพงหยกขาวจะใช้ไข่มุกขนาดเท่ากุ้ยหยวน[2]ทำเป็นลวดลาย อีกทั้งนางยังเตะโดนมุกเม็ดหนึ่งกลิ้งกลุกๆ ออกไปโดยไม่ตั้งใจ ทว่าหลินลี่ขนาดหนังตายังคร้านจะยกขึ้น ราวกับสิ่งที่จินเฟยเหยาเตะโดนคือก้อนหินไม่ใช่ไข่มุก

มองอยู่นานจึงพบว่า สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นของล้ำค่าในโลกมนุษย์ ทว่าในโลกการบำเพ็ญเซียนกลับไม่มีราคา เพียงแค่แสดงให้เห็นว่าร่ำรวยอย่างที่สุด ที่จริงยังเทียบของวิเศษชั้นยอดชิ้นหนึ่งไม่ได้ ทว่าเพียงพอสำหรับใช้ขู่ขวัญผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำตอนมองดูไกลๆ


[1] ตุ้ยเหลียน คือ บทกลอนคู่มีซ้าย-ขวาที่มีความคล้องจองและมีความหมายสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน เขียนด้วยลายมือลงบนกระดาษหรือผ้า นิยมติดตุ้ยเหลียนที่สองข้างประตูบ้านและเหนือประตู ใช้ติดได้ทั้งงานมลคลและอวมงคล

[2] กุ้ยหยวน คือ ลำไย