“แค่กๆๆ…แค่กๆ…”

“อ๊บๆ!”

“อ๊บ แค่ก…แค่ก!”

“สหายเซียนจิน ท่าทางสภาพของสัตว์ภูติเจ้าจะไม่ค่อยดี บนเกาะทองคำมีอาคารเลี้ยงสัตว์ภูติเพื่อให้ศฺิษย์ดูแลสัตว์ภูติได้สะดวก อยากพาสัตว์ภูติไปตรวจดูก่อนหรือไม่” หลินลี่เอ่ยแนะนำจินเฟยเหยาด้วยเจตนาดี

จินเฟยเหยาโบกมือที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล “ไม่ต้องๆ ไม่ต้องรบกวนศิษย์พี่หลิน ไปห้องโถงหลักก่อนเถอะ”

“แต่…”

“ไม่เป็นไรๆ มันเป็นโรคเดิม ไม่ตายหรอก” จินเฟยเหยายิ้มแย้มดังเดิม ยืนกรานจะไปห้องโถงหลักก่อน

หลินลี่มองด้านหลังแวบหนึ่ง เอ่ยตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ ข้าพาเจ้าไปห้องโถงหลักก่อน”

ตรงด้านหลังพวกเขาสองคนสิบกว่าก้าว พั่งจื่อกำลังกุมคอไอแค่กๆ ไม่หยุด ส่วนต้านิวกระโดดอยู่ข้างมันแบบไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี พั่งจื่อไออย่างเจ็บปวด ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา อย่างไรมันก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะถูกจินเฟยเหยาใช้เท้าเตะลงจากพรมบิน เพิ่งฟื้นจากการสลบก็ถูกของเหลวในปากทำเอาสำลัก

พั่งจื่อมองสิ่งที่หยดจากปากออกว่าเป็นโจ๊กดอกกุ้ย ก็มองต้านิวที่อยู่ด้านข้าง พบว่าในมือของต้านิวยังถือชามบรรจุโจ๊กดอกกุ้ยอยู่ พั่งจื่อถลึงตาใส่ต้านิวอย่างเดือดดาล สหายที่ดีแต่ทำเสียเรื่อง บิดาสลบไปแล้ว เจ้ายังจะป้อนโจ๊กอะไรอีก!

มันคำรามเสียงกบใส่ต้านิว กลับยิ่งทำให้โจ๊กที่เหลือไหลลงหลอดลมจนสำลักมากขึ้น ส่วนต้านิวกลับไม่เข้าใจ เพียงแค่ร้อนใจจนร้องเอะอะอยู่ด้านข้าง พั่งจื่อด่าทออย่างไม่คลายโทสะ มันพลันนึกขึ้นได้ เกรงว่าต้านิวคงเป็นกบที่จินเฟยเหยาหามาต่อกรกับตนเองโดยเฉพาะ มันกลับลืมไปว่าต้านิวเป็นกบที่มันใช้ความเป็นวีรบุรุษผู้กล้าช่วยหญิงงามล่อลวงมา

ฟังพั่งจื่อไอมาตลอดทาง จินเฟยเหยาติดตามหลินลี่มาถึงห้องโถงหลักอย่างอารมณ์ดี ประตูทางเข้าห้องโถงหลักมีลักษณะไม่ธรรมดา ทว่ากลับว่างเปล่าไร้ผู้คน จินเฟยเหยาอดประหลาดใจไม่ได้ ตลอดทางไม่พบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนเดินไปมา เห็นแค่ผู้บำเพ็ญเซียนคนสองคนออกมาจากในหลุมเป็นบางครั้ง จากนั้นก็เหยียบอาวุธเวทบินไป

“สหายเซียนจิน ที่นี่คือห้องโถงหลัก ข้ายังต้องลาดตระเวนอีก เจ้าเข้าไปเองก็พอ” หลินลี่หยุดอยู่ด้านล่างบันไดตำหนักใหญ่ของห้องโถงหลักอันยาวเหยียด เอ่ยอำลาจินเฟยเหยา

จินเฟยเหยาก็ประสานมือเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณศิษย์พี่หลิน เช่นนั้นไม่รบกวนเจ้าแล้ว เดินทางดีๆ”

หลินลี่ยิ้ม เหยียบของวิเศษจากไป ทว่าจินเฟยเหยาเห็นเขาจากไป พลันนึกขึ้นได้ ที่นี่สามารถขี่อาวุธเวทเหาะเหินได้ชัดๆ เหตุใดเขาต้องพานางเดินอ้อมตึกเกือบครึ่งเมืองที่นี่ด้วย เสียเวลาโดยแท้

มองไปด้านหลัง พั่งจื่อยังไอแค่กๆ อยู่ นางจึงเดินไปหาแล้วชกหมัดหนึ่งเข้าที่หลังของพั่งจื่อ หมัดนี้ทำให้พั่งจื่อดีขึ้น มันรู้สึกสบายขึ้นมาก หมุนตัวมาคิดจะทุบตีต้านิวผู้บริสุทธิ์ ก็ถูกจินเฟยเหยาเตะเข้าที่ก้นแรงๆ หนึ่งที

“ไปได้แล้ว อย่าก่อเรื่อง”

พั่งจื่อยังพึมพำอย่างไม่พอใจ ติดตามด้านหลังจินเฟยเหยาไปอย่างขุ่นเคือง เพียงแค่ยกมือกำหมัดข่มขู่ต้านิวเหมือนเด็กๆ น่าเสียดายต้านิวไม่รู้ตัวเลยสักนิด เห็นพั่งจื่อไม่เป็นไร ก็ติดตามอยู่ข้างๆ อย่างยินดีปรีดา มองมันอย่างอ่อนโยน

จินเฟยเหยาพากบที่น่าขบขันสองตัวมาถึงหน้าประตูห้องโถงหลัก ผลักเปิดประตูใหญ่ที่หนักอึ้งออก นางยื่นศีรษะเข้าไปมองดูข้างใน ว่างเปล่าไม่มีใครสักคน

“มีคนหรือไม่?” นางเดินเข้าไป ในห้องโถงหลักที่ว่างเปล่ามีเสียงนางสะท้อนมา เดินเข้าไปข้างในอย่างสงสัย เสียงฝีเท้าของพั่งจื่อและต้านิวดังผิดปกติ จินเฟยเหยาเกิดความรู้สึกอยากจะให้พวกมันสองตัวเบาฝีเท้าหน่อยตนเองจะได้ไปขโมยของได้ง่ายๆ

“ผู้ใด?”

ขณะที่จินเฟยเหยานึกว่าภายในห้องโถงหลักไม่มีใคร เสียงเกียจคร้านก็ลอยมาจากด้านหลังเสาขนาดใหญ่ต้นหนึ่งตรงมุมห้อง นางเดินไปที่เสาต้นนั้น ก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมผมหงอกขาวคนหนึ่งนอนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างอยางเกียจคร้าน

“อา! ศิษย์จินเฟยเหยารบกวนผู้อาวุโสพักผ่อนแล้ว ผู้อาวุโสอย่าได้ถือโทษเลย” คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม นี่ทำให้จินเฟยเหยาตกใจรีบประสานมือคารวะเขา

“ข้าได้ยินแล้ว บอกชื่อถ้ำเซียนมา จากนั้นเจ้าลงไปหาถ้ำเซียนอาศัยอยู่เองก็พอ จำไว้ ต้องแขวนชื่อถ้ำเซียนไว้ด้านนอก คนอื่นๆ จะได้หาพบ” ขนาดพลิกตัวชายชรายังคร้านจะกระทำก็ไล่จินเฟยเหยาออกไป

จินเฟยเหยายืนอยู่นอกห้องโถงหลักด้วยความรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แค่นี้ก็ถูกไล่ออกมาแล้ว? เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของสำนักเฉวียนเซียนมีหน้าที่อะไร และมีกฎเกณฑ์อะไรหรือไม่ เหตุใดจึงไม่บอกอะไรเลย แต่นางไหนเลยกล้าพูดมากกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ในเมื่อบอกแค่นี้ พอถึงเวลาถ้าเกิดเรื่องขึ้น นั่นเป็นเพราะไม่มีใครเคยเตือนและดูแลนาง

และตนเองก็โง่งมยิ่งคิดไม่ถึงว่าจะบอกชื่อถ้ำแก่เขาว่า จวนกบ จินเฟยเหยาอยากจะตบหน้าตนเอง ตั้งชื่ออะไร เหตุใดจึงหลุดคำว่ากบออกไปได้ หรือว่าอยู่กับกบนานไป ตนเองจึงเริ่มวิวัฒนาการเป็นกบแล้ว

“พวกเราไปเถอะ ไปหาถ้ำเซียน” เรียกพั่งจื่อกับต้านิวอย่างหน้าม่อยคอตก จินเฟยเหยาขี่พรมบินเริ่มค้นหาถ้ำเซียนที่เหมาะสม

จากในคำพูดของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเมื่อครู่ นางฟังออกแค่หน้าปากถ้ำเซียนที่มีผู้บำเพ็ญเซียนอาศัยอยู่จะมีป้ายแขวนไว้ ทว่าถ้ำเซียนที่ไม่มีป้ายสามารถเลือกได้ตามใจชอบ เพิ่งร่อนลงในหลุม นางจึงพบว่าถ้ำเซียนสามแถวที่ใกล้ด้านบนเกินไปไม่มีคนอาศัยอยู่เลย คาดว่าคงอยู่ใกล้กับอาคารสีทองวิบวับเหล่านั้นเกินไป รู้สึกว่าถูกคนด้านบนเห็น ดังนั้นจึงไม่ค่อยสบายใจ

ส่วนถ้ำเซียนด้านล่างสุดก็ใกล้พื้นเกินไป ตอนนี้ดวงอาทิตย์ไม่อยู่ตรงศีรษะ บางแห่งจึงถูกสิ่งก่อสร้างด้านบนบังแสงอาทิตย์ ไม่ควรเลือกสถานที่แบบนี้ คนที่เข้าไปอยู่ต้องมีตะไคร่และราขึ้นแน่

แต่เพื่อตรวจสอบดูว่าแต่ละถ้ำเซียนมีอะไรแตกต่างกัน จินเฟยเหยาเลือกถ้ำเซียนที่ไม่มีคนอาศัยอยู่หลายถ้ำ เข้าไปดูด้านในรอบหนึ่ง กลับพบว่าภายในถ้ำเซียนเหล่านี้ไม่เหมือนกัน  แต่ละแบบมีขนาดไม่เท่ากัน บางถ้ำมีห้องศิลาห้องเดียว คิดไปคิดมา ผู้บำเพ็ญเซียนในอดีตน่าจะขุดถ้ำเซียนเหล่านี้ขึ้นเอง คนที่อยากได้ที่พักดีๆ ก็สร้างถ้ำศิลาที่งดงามหน่อย คนที่ขี้เกียจก็แค่ขุดตามสบายก็พอ

ส่วนถ้ำเซียนที่มีผู้บำเพ็ญเซียนอาศัยอยู่ ป้ายที่แขวนตรงประตูก็แตกต่างกัน บางอันขึ้นต้นด้วยแซ่โดยตรง แขวนไว้ว่าจวนหลี่ หอจาง ถ้ำหวังกันตามสบาย บางอันก็หรูหราสง่างาม เหมือนถ้ำชิงเฟิง[1] ที่พักเสินอี จวนเพียวเหมี่ยวและอื่นๆ ยิ่งมองนางก็ยิ่งรู้สึกว่าจวนกบของตนเองระคายหู ไม่รู้ว่าจะถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นที่อยู่ของปิศาจกบหรือไม่

นางค้นหาอยู่ในหลุมยักษ์หนึ่งวันเต็มๆ หลังจากเข้าออกถ้ำไปมาหลายครั้งก็หาถ้ำเซียนที่ถือว่าน่าพอใจพบ ถ้ำเซียนสองสามถ้ำภายในเจ็ดแปดจั้งล้วนว่างเปล่า

ประตูถ้ำเซียนว่างเปล่า ยังไม่ได้สร้างแท่นราบ ยืนอยู่บนพรม จินเฟยเหยาหยิบอาวุธเวทที่เป็นกระบี่สั้นออกมาเล่มหนึ่ง เขียนโย้เย้ว่าจวนกบสองอักษรไว้บนถ้ำ เห็นอักษรสองตัวมองไกลๆ แล้วอ่านไม่ออก นางก็นำหมึกยันต์สีแดงที่วาดยันต์ออกมาป้ายลงบนตัวอักษร จวนกบสองคำกลายเป็นสีแดงโลหิต  คราวนี้มองเห็นได้ชัดเจนแล้ว

เขียนชื่อที่พักเสร็จ นางก็เข้าไปในถ้ำเซียนของตนเอง ที่จริงถ้ำเซียนนี้มีเพียงห้องใหญ่ที่พื้นเรียบลื่น ด้านข้างมีถ้ำศิลาขุดไปครึ่งเดียวก็หยุดลง รู้สึกผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้เพิ่งสร้างห้องใหญ่เสร็จก็จากที่นี่ไปด้วยเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง

ทว่าถ้ำเซียนเช่นนี้ตรงกับความต้องการของจินเฟยเหยาพอดี นางสามารถขุดต่อได้ นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าสนุกที่สุด

นางใช้ก้อนหินในห้องใหญ่วาดรูปที่จินตนาการไว้ แล้วเริ่มขุดถ้ำ สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเซียนต้องการมากที่สุดคือห้องฝึกบำเพ็ญ นางยืนอยู่บนพรมบินลอยห่างจากพื้นสองจั้ง เริ่มขุดห้องฝึกบำเพ็ญตรงนั้น

เครื่องมือที่จินเฟยเหยาใช้คืออาวุธเวทที่ได้มาจากกระเป๋าเก็บของเจ็ดใบ นอกจากของวิเศษชั้นล่างสองชิ้น นางยังได้กระบี่สั้นหนึ่งเล่มกระบี่ยาวหนึ่งเล่มและอาวุธจิปาถะสามสี่ชิ้น ตอนนี้นางใช้กระบี่สั้นขุดถ้ำศิลา  ศิลาที่ขุดออกมาก็โยนไว้เบื้องล่างให้พั่งจื่อและต้านิวเก็บ

ถึงแม้ใช้อาวุธที่ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปจะขุดถ้ำศิลาได้ง่ายดายราวกับเฉือนเต้าหู้ ทว่าจะขุดให้งดงามยังต้องใช้เวลาไม่น้อย อีกทั้งเศษศิลาก็ร่วงลงมามากมาย แต่โยนลงไปในก้นหลุมไม่ได้ นางต้องเก็บใส่ในกระเป๋าเก็บของไปทิ้งยังสถานที่อื่นเอง ยุ่งยากอยู่บ้าง

ห้าวันต่อมา ในที่สุดจินเฟยเหยาก็ขุดถ้ำเซียนทั้งหมดเสร็จสิ้น ตรงกลางซึ่งเดิมเป็นห้องโถงใหญ่ ด้านบนมีห้องฝึกบำเพ็ญ ข้างห้องโถงใหญ่เป็นห้องสัตว์ภูติของพั่งจื่อกับต้านิว ทว่าพั่งจื่อคัดค้านอย่างรุนแรงที่จะอยู่กับต้านิว จินเฟยเหยาได้แต่ใช้ห้องใหญ่เป็นห้องหลอมยาและสร้างอาวุธ แล้วขุดบริเวณอื่นอีกสองห้องเล็กๆ ให้พวกมันอยู่อาศัย

ขุดเสร็จหมดแล้ว นางยังพร่ำบ่นอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่พอใจ กบยังจะต้องแบ่งแยกชายหญิงอะไรอีก จะถือสาขนาดนี้ไปทำไม สัตว์ภูติของคนอื่นก็อาศัยอยู่รวมกันหมดทั้งตัวผู้ตัวเมียมิใช่หรือ

หลังจินเฟยเหยาสร้างฐานการแช่ในน้ำแกงยาวิญญาณก็ไม่มีประสิทธิผลแล้ว ทว่ายังทำห้องอาบน้ำให้ตนเอง เป็นสตรีก็ลำบากหน่อย สุดท้ายยังทำห้องเก็บของหนึ่งห้อง สิ่งของบางอย่างที่ใช้เป็นประจำก็ไม่ใส่กระเป๋าเก็บของ วางไว้ด้านนอกจะสะดวกกว่า

เรื่องแปลงยาวิญญาณนางจนปัญญา ภายในถ้ำไม่มีแสงอาทิตย์ ปลูกยาวิญญาณไปก็เติบโตได้ไม่ดี อีกอย่างตนเองย้ายหญ้าวิญญาณไปไว้ในกระถางแล้ว ทั้งหมดอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียน ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆจัดการแปลงยากันอย่างไร รอว่างก่อนนางจะไปเดินรอบเกาะทองคำสักรอบ ตนเองไม่รู้เรื่องราวในเกาะทองคำเลยสักนิด ต้องโทษชายชราขั้นหลอมรวมที่เกียจคร้านคนนั้นที่ไม่บอกกล่าวให้ชัดเจน

มองถ้ำเซียนอันว่างเปล่า ต้องให้นางลงมือด้วยตนเองทุกอย่างจริงๆ ด้วย ศิลาที่ขุดออกมาเหล่านั้นมีขนาดใหญ่นางสามารถตัดทำเครื่องเรือนได้ แต่นางกลับไม่ประหยัดเงิน ซื้อเครื่องเรือนสำเร็จรูปดีๆ มามากมาย ต่อไปถ้าไม่อยู่แล้ว ทิ้งไว้ก็คนอื่นก็ได้ประโยชน์ เอาไปด้วยก็ลำบาก อ่างมายาจิ่งเทียนกลับบรรจุได้ ทว่าไม่ใช่ใส่ขยะต้องรักษาความสะอาดสดชื่นเอาไว้

ยกอ่างมายาจิ่งเทียนขึ้น จินเฟยเหยาไม่ได้เข้าไปนานแล้ว ทุกอย่างนางให้ต้านิวดูแล วางอ่างมายาจิ่งเทียนไว้บนเสาศิลาในห้องใหญ่ ต้านิวที่มีไอปิศาจอยู่บ้างสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ การปลูกหญ้าวิญญาณและเก็บรวบรวมศิลาวิญญาณล้วนเป็นหน้าที่ของมัน

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พั่งจื่อไม่ยอมเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียนนานแล้ว กินๆ นอนๆ อยู่ข้างนอกทั้งวัน ทว่าจินเฟยเหยาไม่จำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณชั่วคราวจึงคร้านจะเข้าไปดูผืนทรายสีดำ


[1] ถ้ำชิงเฟิง เป็นถ้ำที่กลางฤดูหนาวภายในถ้ำอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ กลางฤดูร้อนภายในถ้ำเย็นสบายราวกับวังมังกร ปัจจุบันมีบริษัทเช่าเป็นที่เก็บสุราขาวชั้นหนึ่ง-ชิงหวาอู้ อยู่ในมณฑลเจียงซี