ตอนที่ 33.1 การแข่งขัน (1)

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่แลกเงินจากเจ้าหน้าที่หนุ่มในสมาคมทหารรับจ้างสำเร็จ คณะเดินทางของเหวินหย่าก็ออกจากอาคารสมาคมทันทีโดยไม่เข้าไปร่ำลาสหายใหม่ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะไม่ต้องการจะรบกวนนาง

หลังจากออกมาจากสมาคมทหารรับจ้าง พวกเขาทั้งห้าก็ตรงไปยังโรงเตี๊ยมแสงจันทร์ที่ได้จองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ในตอนที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นและออกจากห้องพักมาเพื่อเตรียมตัวรับประทานอาหาร  พวกเขาก็ได้เห็นหนึ่งร่างบางในชุดสีดำล้วนและหนึ่งร่างเล็กในชุดสีเดียวกันดูคุ้นตากำลังจะเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม

“พี่ฉินอวี้โม่~”

สาวน้อยฉีฉีวิ่งเข้ามาหาฉินอวี้โม่อย่างตื่นเต้นยินดีก่อนจะจับแขนเล็กของพี่สาวคนใหม่ไว้แน่น  ในตอนที่พบกันเมื่อครู่ หนูน้อยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างจากฉินอวี้โม่ นางถูกชะตาพี่สาวคนสวยคนนี้

“พวกพี่เองก็พักที่นี่ด้วยหรือ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มรับพลางลูบผมเปียยาวของฉีฉี

“ที่นี่เต็มแล้วใช่หรือไม่? แม่นางหาห้องว่างไม่ได้ใช่ไหม?”

เหวินหย่าเดินเข้ามาหา นางมองฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน

ฉินอวี้โม่พยักหน้าอีกครั้งและยิ้มตอบ นางชอบบุคลิกและบรรยากาศที่สัมผัสได้จากสตรีวัยกลางคนผู้นี้มาก  กลิ่นอายจากตัวแม่นางเหวินหย่าทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน  เมื่อได้พูดคุยด้วยแล้วทำให้นางรู้สึกสบายใจราวกับได้พบมารดาอีกครั้งก็มิปาน

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา เราจะจัดการเรื่องห้องให้ คืนนี้ข้ากับฉีเอ๋อร์จะนอนห้องเดียวกัน ห้องที่ว่างก็จะให้แม่นางอวี้โม่กับสหายเข้าพักได้”

เหวินหย่ายิ้มอ่อนหวานและหันไปพูดกับฉีฉี

“อย่าลำบากพวกท่านเลยเจ้าค่ะ  ข้าว่าข้าไปหาโรงเตี๊ยมอื่นดีกว่า”

ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าและกล่าวปฏิเสธ แม้ว่านางจะรู้สึกดีที่อีกฝ่ายให้ความเมตตาและหวังดีต่อตัวนางจากใจจริง แต่หากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากจะรบกวนพวกเขา

“ไม่ลำบากเลย ไม่ลำบากสักนิด ข้าเองก็ไม่ได้นอนกับท่านแม่มานานแล้วด้วย วันนี้ข้าจะได้ฟังนิทานก่อนนอนด้วย  แล้วข้าเองก็ชอบพี่ฉินอวี้โม่มาก พี่สาวท่านอย่าปฏิเสธเลยนะ”

ฉีฉียิ้มส่งสดใสให้อย่างมีความสุข

นางชอบกลิ่นอายจากตัวพี่สาวคนใหม่มาก และนางก็อยากจะอยู่ใกล้ๆ พี่สาวคนนี้ให้นานขึ้นด้วย

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขอรับน้ำใจของพวกท่าน”

เมื่อได้เห็นรอยยิ้มแสนอบอุ่นของเหวินหย่าและความกระตือรือร้นของหนูน้อยฉีฉีแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ไม่อาจปฏิเสธพวกนางได้อีก อดีตนักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 ได้แต่พยักหน้ารับไมตรีนี้ด้วยรอยยิ้ม

“ยอดเยี่ยมที่สุด”

ฉีฉีกระโดดตัวลอยพร้อมกับพูดอย่างดีใจ

“ท่านแม่ไปสั่งอาหารก่อนได้เลย ข้าจะพาพี่ฉินอวี้โม่และพี่เสี่ยวโร่วไปที่ห้องพักก่อน”

ฉีฉีจูงมือฉินอวี้โม่และพาเดินขึ้นไปชั้นบน หนูน้อยต้องการจะพาพี่สาวทั้งสองไปยังห้องพักก่อนเป็นอันดับแรก

“ได้สิ อย่าลืมพาอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วลงมาทานอาหารด้วยล่ะ”

เหวินหย่าส่งเสียงตอบรับและกำชับเรื่องอาหารมื้อเย็นกับฉีฉีที่เดินจากไปแล้ว สตรีผู้อ่อนโยนส่ายหน้าอย่าระอา แต่ทว่าก็ไม่ได้คิดที่จะห้ามปรามบุตรสาวแต่อย่างใด

“ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่”

ฉีฉีที่รีบพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วขึ้นไปจนเกือบจะถึงชั้นบนส่งเสียงดังตอบกลับมา

ห้องพักของคณะเดินทางทั้งห้าอยู่ที่ชั้นสาม ฉีฉีจูงมือฉินอวี้โม่ไม่ยอมปล่อย เด็กผู้หญิงผมเปียลากสตรีในชุดบุรุษเดินลิ่วๆ ตรงไปยังประตูห้องก่อนจะผลักเข้าไป

“พี่ฉินอวี้โม่ พี่เสี่ยวโร่ว คืนนี้พวกท่านนอนที่นี่นะ”

ห้องของฉีฉีในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นห้องที่ใหญ่โตและกว้างขวางอย่างมาก มันใหญ่กว่าห้องของฉินอวี้โม่ที่จวนตระกูลฉินถึงสองเท่า อีกทั้งภายในยังมีเครื่องเรือนของใช้ครบครันพร้อมสรรพ

“สวรรค์ นี่คือห้องพักของโรงเตี๊ยมงั้นเหรอเนี่ย?”

เสี่ยวโร่วตกตะลึงเมื่อเห็นห้องที่ตนและนายหญิงจะใช้พักคืนนี้  สาวใช้น้อยอุทานอย่างตื่นเต้น นางไม่เคยเห็นห้องแบบนี้มาก่อน   นางจำได้ว่าแม้แต่ในเรือนใหญ่หลังงามของตระกูลฉินก็ยังไม่มีห้องที่หรูหราและกว้างขวางเช่นนี้ แน่นอนว่าเสี่ยวโร่วไม่คิดว่าในโรงเตี๊ยมที่เมืองเยว่กวางจะมีห้องสวยๆ เช่นนี้อยู่

เมื่อได้เห็นท่าทางของเสี่ยวโร่ว  ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างเอ็นดู

“ไปกันเถอะ ลงไปทานมื้อเย็นกัน”

เมื่อพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วมาดูห้องพักแล้ว ฉีฉีก็ดึงมือฉินอวี้โม่ให้เดินลงไปชั้นล่าง

เมื่อพวกนางลงมาถึงก็พบว่าแม่นางเหวินหย่าและคนอื่นๆ จับจองโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเอาไว้รอแล้ว  ซึ่งในตอนนี้ทุกคนก็นั่งประจำที่อย่างเรียบร้อย และเหลือเพียงที่ว่างสามที่สำหรับสตรีสามนาง

โต๊ะสำหรับอาหารมื้อเย็นในวันนี้ของพวกนางถือเป็นโต๊ะที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยม เพราะตั้งอยู่ติดริมระเบียงในทำเลที่สามารถมองออกไปชมทิวทัศน์ของถนนหนทางในเมืองนี้ได้

ฉีฉีพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินมานั่งประจำที่เช่นกัน

ในตอนที่เสี่ยวโร่วออกมาจากเมืองหลิงซีพร้อมกับฉินอวี้โม่ นางมักจะแสดงความนอบน้อมและให้เคารพฉินอวี้โม่อยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็เป็นกิริยาที่บ่งบอกได้ชัดว่าทั้งคู่อยู่ในสถานะนายและบ่าว  อย่างไรก็ตามฉินอวี้โม่ก็ได้บอกกับเสี่ยวโร่วแล้วว่านางอยากให้เด็กสาวปฏิบัติกับนางอย่างเป็นกันเองเหมือนพี่น้องมากกว่าและไม่อยากให้มีพิธีรีตองเมื่ออยู่ด้วยกัน

ดังนั้นแล้ว เสี่ยวโร่วจึงค่อยๆ ปรับกิริยาของตนเองทีละน้อย  เวลานี้นางปฏิบัติกับฉินอวี้โม่คล้ายอยู่กับพี่สาวขึ้นมาได้บ้างแล้ว   แม้ว่าจะยังติดปากเรียกฉินอวี้โม่ว่าคุณหนูและยังมองว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านายอยู่ตลอด  แต่อย่างน้อยวิธีปฏิบัติของนางก็ผ่อนคลายขึ้นและไม่ได้มีกฎมากมายมาคอยกำกับไว้เหมือนที่ผ่านๆ มา

“แม่นางอวี้โม่ เจ้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองอย่างนั้นหรือ?”

หลัวเจี๋ยเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้มใจดี  แม้จะไม่คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นคนเลวร้าย แต่ก็รู้สึกว่าตัวตนของสาวน้อยผู้นี้ค่อนข้างเป็นปริศนา องครักษ์วัยกลางคนจึงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวนางอยู่เต็มไปหมด

“ไม่ใช่ ท่านลุง พวกเรามาจากเมืองหลิงซี เราอยากจะเดินทางไปที่นครไป๋อวิ๋นและที่ผ่านเข้ามาในเมืองเย่วกวางแห่งนี้ก็เป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้น ข้าเองก็ได้ยินมาบ้างว่า อีกเจ็ดวันข้างหน้าจะมีอสูรบุกโจมตีเมืองและจะเปิดให้ยอดฝีมือมากมายแข่งขันกันสังหารอสูร ข้าเห็นว่าน่าสนใจดี จึงคิดจะอยู่รอเพื่อเข้าร่วม”

ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนเหล่านี้นางไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง สตรีโฉมงามจึงบอกความตั้งใจของตนออกไปตรงๆ ยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากมายนัก  อีกทั้งหากนางเดาไม่ผิดคนเหล่านี้น่าจะมาจากนครไป๋อวิ๋นและนางเองก็กำลังจะเดินทางไปยังนครแห่งนั้น  บางทีหากชะตาต้องกันนางอาจจะได้พบกับพวกเขาที่นั่นอีกครั้งก็ได้

“จริงเหรอ? พี่ฉินอวี้โม่ พี่จะไปที่นครไป๋อวิ๋นอย่างนั้นหรือ?”