เล่มที่ 3 บทที่ 82 พาเจ้าไปชมดอกไม้

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลินเมิ้งหยาไร้ซึ่งความรู้สึกอยากอาหาร ลุกขึ้นไปนั่งบนโต๊ะอ่านหนังสือทางด้านหลังพลางหยิบหนังสือขึ้นอ่าน

    ป๋ายจีและป๋ายซ่าวสบตากัน อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ

    พระชายาของพวกนางช่างแตกต่างจากผู้อื่นเสียจริง

    ไม่ว่ากินอะไรก็รู้สึกเปรี้ยวไปหมด เช่นนั้นหัวใจของนางจะยังคงหลงเหลือความหวานอยู่หรือไม่?

    เมื่อท้องว่าง หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกว่าร่างกายของตนเองไร้ซึ่งเรี่ยวแรง

    หากมิใช่เพราะเมื่อคืนหลงเทียนอวี้มาก่อกวนนางที่ตำหนัก นางก็คงไม่นอนตาค้างเช่นนี้

    ฮือๆ ปวกหัวจังเลย มึนหัวชะมัด!

    “โหยว ใครทำให้เจ้าเด็กน้อยขุ่นเคืองกัน ชิๆ คิ้วขมวดแน่นเสียจะอัดยุงตายได้เลยนะเนี่ย”

    น้ำเสียงสบายๆ ของชิงหูดังขึ้น เขากระโดดโลดเต้นไปมา

    หลังจากร่างกายฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ชิงหูดูสงบนิ่งกว่าแต่ก่อน

    เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เขาไม่เคยเปิดเผยรอยยิ้มออกมา

    แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขายังคงมีอุปนิสัยขี้เล่นดังเดิม

    หลินเมิ้งหยาปวดหัวมาก นางไม่อยากสนใจชิงหู

    ทำเพียงชำเลืองมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือของตนเองต่อ

    “เจ้าเด็กน้อยโกรธใครหรือ?”

    ชิงหูได้กลิ่นน้ำส้มสายชูแห่งความหึงหวงแต่เช้า

    เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าเข้ามาในเขตตำหนักของหลินเมิ้งหยา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง

    ทั้งที่รู้แต่ยังเอ่ยถาม หลินเมิ้งหยาไม่สนใจเขา เมื่อคืนไม่มีใครรู้ว่าหลงเทียนอวี้เข้ามาที่ห้องของนาง แต่เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์คนนี้รู้อยู่แก่ใจ

    “เลิกโกรธได้แล้ว เอาแบบนี้ไหมล่ะ ข้าจะไปฆ่าผู้หญิงคนนั้นให้ดีหรือไม่?”

    สำหรับชิงหู มนุษย์แบ่งออกเป็นสองประเภท

    ประเภทแรกฆ่าได้ อีกประเภทยังฆ่าตอนนี้ไม่ได้ แต่หลินเมิ้งหยาแตกต่างออกไป เพื่อผู้หญิงที่แตกต่างคนนี้แล้ว ทุกคนบนโลกล้วนสามารถฆ่าได้ทันที

    “เอาแต่พูดว่าจะฆ่าจะแกง เจ้าไม่กลัวทางการมาจับตัวเจ้าไปหรือ ข้ากลัวเจ้าจะทำให้บ้านของข้าแปดเปื้อน”

    หลินเมิ้งหยาตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ดูท่า นางควรจะไปนอนพักผ่อนอีกสักหน่อย

    “คิกๆ นอกจากเจ้าก็ไม่มีใครจับตัวเหยียได้แล้ว? เจ้าเด็กน้อย อย่าโมโหไปเลย หรือให้เหยียพาเจ้าไปเที่ยวเล่นดีไหมล่ะ?”

    ชิงหูเล่นหูเล่นตา ต้องการเพียงอยากทำให้หลินเมิ้งหยาอารมณ์ดีเท่านั้น

    “ขอโทษที ตอนนี้ข้าอยากนอนพักผ่อน”

    หลินเมิ้งหยารู้สึกเหมือนสมองกำลังจะระเบิด เหตุใดวันนี้เจ้าเด็กนี่จึงส่งเสียงดังเช่นนี้ หรือนางควรจะไปขอยาทำให้เป็นใบ้จากป๋ายหลี่รุ่ยดี?

    “อยู่ที่นี่แล้วจะนอนหลับได้อย่างไร ยิ่งนอนก็จะยิ่งปวดหัว ไปเถิด เหยียจะพาเจ้าไปที่ดีๆ สาบานเลยว่าเจ้าจะได้นอนหลับฝันหวานทีเดียวเชียวล่ะ”

    ชิงหูไม่สนใจว่าหลินเมิ้งหยายังจะมีเหตุผลอะไรหรือไม่ มือหนายกขึ้นโอบเอวบาง

    “เฮ้ ชายหญิงควรมีระยะห่างต่อกันนะ!”

    ดิ้นหนีสุดชีวิต สีหน้าของหลินเมิ้งหยาไม่น่ามอง

    ทว่าชิงหูกลับถลึงตาใส่นาง ราวกับว่าไม่สนใจความเป็นผู้หญิงของนาง

    “ผู้หญิง? มีผู้หญิงคนไหนในโลกนี้กล้าหาญและไร้ซึ่งความรู้สึกเช่นเจ้าด้วยหรือ?”

    เพียงประโยคนี้ทำให้หลินเมิ้งหยาอยากจะต่อยเขาเหลือเกิน

    เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ รอดูเถิดว่านางจะจัดการเขาอย่างไร!

    ล้มเลิกเรื่องต่อต้าน หลินเมิ้งหยาปล่อยให้ชิงหูโอบกอดนางและพาบินข้ามกำแพงไปอย่างอิสระ

    เจ้านี่มีทักษะการต่อสู้สูงกว่าทุกคนที่นางเคยเจอ หลงเทียนอวี้เองก็ต่อสู้ได้ไม่เลว ไม่รู้ว่าหากทั้งสองได้ประลองกันแล้วใครจะเป็นผู้ชนะ

    ช่างเถิด คิดเสียว่ากำลังนั่งอยู่บนรถบัสแล้วกัน

    ถึงอย่างไรประสบการณ์กระโดดขึ้นขึ้นลงลงเช่นนี้ก็มีไม่บ่อยนัก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่ถูกจับเป็นตัวประกัน

    “เอาล่ะเจ้าเด็กน้อย ถึงแล้ว”

    จู่ๆ เสียงของชิงหูพลันดังขึ้น

    ร่างของหลินเมิ้งหยาขยับเล็กน้อย ทว่านางรู้สึกได้ถึงสัมผัสนุ่มนวลที่ฝ่าเท้า

    หรือนางจะไม่ได้อยู่บนพื้นดิน?

    เปิดเปลือกตาทั้งสองข้าง มองดูสถานที่ที่ตนเองเพิ่งมาถึง

    ทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทั้งสีชมพูอ่อน สีม่วง สีขาว สีของดอกไม้ทั้งสามแต่งแต้มทำให้โลกใบนี้มีสีสันมากขึ้น

    ส่วนตำแหน่งที่นางยืนอยู่คือจุดที่มีกลีบดอกไม้ร่วงหล่นตามธรรมชาติคล้ายกับเตียงนอนขนาดใหญ่

    “สวยจัง!” แม้หลินเมิ้งหยาจะละทิ้งความเป็นสาวไปนานแล้ว แต่จะมีหญิงสาวคนไหนบ้างที่จะปฏิเสธสถานที่สุดแสนโรแมนติกเช่นนี้

    “สวยใช่มั้ยล่ะ ที่นี่มีข้าเพียงคนเดียวที่รู้จัก แต่ต่อให้มีคนธรรมดาทั่วไปพบเห็น แต่ด้านนอกเต็มไปด้วยขวากหนาม หากไม่เก่งจริงก็ไม่มีทางเข้ามาถึงที่นี่ได้”

    ชิงหูยังพูดไม่จบว่า นอกจากขวากหนามแล้ว ที่นี่ยังเป็นหุบเขาที่ลึกมาก

    หากมิใช่เพราะเขาเคยถูกศัตรูไล่ต้อนจนหลุดมาถึงที่นี่แล้วละก็ เกรงว่าเขาคงไม่รู้จักสถานที่งดงามราวกับสรวงสวรรค์เช่นนี้

    “สวยมากจริงๆ เตียงนอนกลีบดอกไม้นี่ก็ด้วย สบายจังเลย”

    หลินเมิ้งหยามองบริเวณรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ สถานที่นี่ประหนึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยดอกไม้ก็มิปาน

    เตียงดอกไม้หลังนี้หนานุ่ม ไม่ต้องกลัวว่าตนเองจะตกลงไป อีกทั้งยังรู้สึกเสมือนตนเองกำลังอยู่ในนิยายและลอยละล่องอยู่เหนือหมู่เมฆา

    “ในเมื่อชอบมากขนาดนี้ เจ้าก็นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ วางใจเถิด หากเหยียอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครหน้าไหนมาทำลายความฝันของเจ้าได้อย่างแน่นอน”

    ชิงหูกระโดดหนึ่งครั้ง ก่อนจะหายไปท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้

    หลินเมิ้งหยามองตามแผ่นหลังที่หายไปของเขา อดพูดไม่ได้ว่านางรู้สึกซาบซึ้งใจเหลือเกิน

    ราวกับว่าเขามักจะทำเรื่องที่คนอื่นไม่เคยคาดคิดเสมอ

    หลินเมิ้งหยาเอนกายนอนลงบนเตียงดอกไม้ มองดูท้องฟ้า หนุนกลีบดอกไม้ต่างหมอน หัวใจพลันรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

    นางจะต้องทุกข์ใจทำไมกัน? ถึงอย่างไรนางก็แต่งงานหลอกๆ กับหลงเทียนอวี้เท่านั้น สักวันหนึ่งมันก็ต้องจบ

    มีหญิงสาวจากซีฟานเพิ่มมาอีกหนึ่งนางแล้วอย่างไรเล่า? ถึงอย่างไรหลงเทียนอวี้ก็เป็นชายหนุ่ม ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องการสิ่งนั้น

    ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นถึงท่านอ๋อง ต่อให้ตายอย่างไรนางก็ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่มีคนรู้ใจ

    หลินเมิ้งหยาพลิกตัว หาวเบาๆ สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ก่อนจะหลับไป

    ทันทีที่ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอกัน สายลมหอบหนึ่งพัดเอากลีบดอกไม้ผันผ่านร่างของหลินเมิ้งหยาไป

    ทันใดนั้นร่างของหลินเมิ้งหยาถูกห่อหุ้มไว้ด้วยกลีบดอกไม้จนเหลือแต่เพียงศีรษะเล็กๆ ที่กำลังเผยให้เห็นใบหน้าหลับฝันหวาน

    หลินเมิ้งหยานอนหลับพักผ่อนอย่างผ่อนคลาย ทว่าสถานการณ์ทางจวนกลับร้อนระอุ

    หญิงสาวจากซีฟานนามว่าหงอวี้เดินทางมายังตำหนักหลิวซินแต่เช้า แต่งแต้มใบหน้าอย่างงดงามเพื่อมาถวายคำนับพระชายา

    หลินเมิ้งหยาไม่อยู่ห้อง ไม่ว่าสาวใช้จะหาตัวกี่รอบก็หาไม่เจอ

    สุดท้ายไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงเชิญให้หญิงสาวคนนั้นนั่งรอที่ห้องรับแขก โดยมีหลินจงอวี้อยู่เป็นเพื่อน

    ทว่าหลินจงอวี้กลับไม่รู้สึกดีกับหญิงสาวที่ทำให้พี่สาวของตนเองรู้สึกหึงหวงเลยแม้แต่น้อย

    วางชาลง เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยสิ่งใด นั่งลงบนเก้าอี้แล้วอ่านหนังสือในมือของตนเอง

    หงอวี้อายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น ทว่ากลับรูปร่างสูงเพรียวสะโอดสะอง

    ดวงตากลมโต ดั้งโด่งเป็นสัน หากเปรียบเทียบกับมาตรฐานความงามของต้าจิ้น นับว่านางเป็นคนสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว

    ทว่า นัยน์ตาซึ่งแฝงไว้ด้วยอารมณ์ต่างๆ มากมาย ไม่อาจเทียบได้กับความจริงใจที่หลินเมิ้งหยามี หลังจากถูกอบรมมาอย่างดีแล้ว นางไม่ต่างอะไรจากหญิงสาวในฝันของพวกผู้ชาย

    “องค์ชายน้อย ข้าขอถามหน่อยได้มั้ยว่าเพราะเหตุใดพระชายาจึงไม่ออกมาพบข้า?”

    หลังจากถูกฝึกอบรมมานาน หงอวี้เรียนรู้ภาษาของต้าจิ้นเป็นอย่างดี นางไม่หลุดพูดภาษาถิ่นของตนเองเลยแม้แต่น้อย

    “พี่สาวของข้าอยากพบหรือไม่อยากพบเจ้า ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีสิทธิ์ถามด้วยซ้ำ”

    หลินจงอวี้เลิกเปลือกตาขึ้น สายตาเย็นชาพลางจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นางผู้นี้มิอาจเทียบกับพี่สาวพระชายาได้เลยแม้แต่น้อย

    หลังจากหงอวี้ได้เห็นใบหน้าของหลินจงอวี้ นางแอบตกตะลึง

    แม้เด็กคนนี้จะยังไม่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ทว่าใบหน้าของเขากลับงดงามมีเสน่ห์ หากเขาเติบโตขึ้นแล้วละก็ เกรงว่าแม้แต่สาวงามอันดับหนึ่งของซีฟานก็มิอาจเทียบเขาได้เลย

    เป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาเหลือเกิน ไม่รู้ว่าพี่สาวที่เขาเรียกจะงดงามมากขนาดไหน

    ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่า เพราะเหตุใดฮ่องเต้จึงส่งมอบนางที่เป็นสาวงามที่สุดให้กับท่านอ๋องอวี้

    ท่านอ๋องอวี้ผู้นี้ช่างมีความสุขสมบูรณ์เหลือเกิน

    “เจ้าค่ะ หงอวี้ผิดไปแล้ว”

    ทั้งที่เป็นแค่เพียงแขกเท่านั้น แต่กลับแสดงท่าทีประหนึ่งเป็นนายต่อหน้าตน

    หงอวี้เก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ นางเชื่อว่าหากนางอ่อยเหยื่อจนสำเร็จ นางจะต้องได้กลายเป็นชายารอง จากนั้น…

    “เชิญแม่นางหงอวี้กลับไปก่อนเถิด นายหญิงของพวกเราไม่สบาย ไม่ต้อนรับแขก”

    ป๋ายซ่าวเดินเข้ามาในห้องรับแขก ก่อนจะเอ่ยอย่างมีมารยาท

    หงอวี้คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่สาวใช้ในตำหนักแห่งนี้ยังหน้าตางดงามแทบทุกคน ดูท่า นางคงมิอาจเอาความงามของตนเองเข้าข่มพระชายาได้แล้ว

    แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้มา หงอวี้จึงค่อนข้างกล้าแสดงออก

    เกรงว่าผู้ชายบนโลกใบนี้ล้วนมิอาจทนได้กับหญิงสาวที่ต่อต้านบ้านเล็กบ้านน้อยของตนเอง

    เอาเถิด คราวหน้านางค่อยมาเจอพระชายาก็ยังทัน

    “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าขอตัวลา แล้วข้าจะมาใหม่วันพรุ่ง”

    ทันทีที่คิดจะกลับออกไป นางได้เห็นหญิงสาวในชุดผ้าไหมเดินเข้ามาภายในพร้อมทั้งหอบหายใจเป็นพัลวัน

    “ป๋ายจี ป๋ายซ่าว ป๋ายจื่อ พระชายาเล่า? พระสนมเต๋อเฟยต้องการให้พระองค์เข้าเฝ้า”

    คิ้วของจิ่นเยว่ขมวดเข้าหากัน สีหน้าแสดงให้เห็นถึงความกระวนกระวาย

    เมื่อช่วงเช้าพระสนมเต๋อเฟยได้รู้ข่าวที่ว่าท่านอ๋องพาผู้หญิงจากซีฟานกลับจวนมาด้วย

    เมื่อคิดได้ว่าเพิ่งแต่งงานกับพระชายาได้ไม่นาน จากนั้นท่านอ๋องรับหญิงสาวคนใหม่เข้ามา พระชายาจะต้องเจ็บปวดอย่างแน่นอน

    ดังนั้นจึงตามตัวท่านอ๋องไปว่ากล่าวเสียยกใหญ่

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องจะใจร้อนพลางบอกว่าพระชายาไล่เขาออกไปนอนนอกตำหนัก

    ดังนั้นพระสนมเต๋อเฟยจึงรู้สึกว่าความหึงหวงของพระชายาช่างรุนแรงยิ่งนัก

    ดังนั้นจึงต้องการตามตัวพระชายาไปสั่งสอน

    แต่เมื่อจิ่นเยว่ก้าวผ่านธรณีประตูตำหนักหลิวซินเข้ามา ก็ได้เห็นหญิงสาวหน้าตาสวยงามสวมใส่ชุดสีแดงแปลกตายืนอยู่

    หลังจากที่ได้เห็นเสื้อผ้าสีแดงชุดนั้น นัยน์ตาและสีหน้าพลันเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจ

    “แม่นางท่านนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงสาวที่ท่านอ๋องพาเข้าจวนมา แต่เสื้อผ้าสีแดงมีเพียงพระชายาเอกเท่านั้นที่จะสวมใส่ได้ การที่เจ้าสวมใส่เช่นนี้เป็นการไม่เหมาะสมยิ่งนัก”

    รอยยิ้มของหงอวี้พลันแข็งทื่อ

    คิดไม่ถึงเลยว่าสีแดงที่ตนเองชอบที่สุดจะกลายเป็นของพระชายาคนนั้น

    นางขังเปลวไฟในหัวใจเอาไว้ในอก สุดท้ายทำได้เพียงพยักหน้าลงด้วยความจำยอม