“ท่านอ๋อง เกรงว่าพระชายาจะทรงบรรทมแล้วพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นท่านกลับไปพักที่ตำหนักฉินหวู่ดีหรือไม่”
พ่อบ้านเติ้งกลืนน้ำลายลงคอ อาศัยแสงไฟริบหรี่ชำเลืองมองใบหน้าด้านข้างของท่านอ๋อง
หรี่ตาเล็กลง ใบหน้ามิได้แสดงความไม่พึงพอใจใดๆ แต่ก็มิได้มีท่าทีต้องการจะจากไปเช่นกัน
วันนี้แปลกมากจริงๆ เหตุใดทั้งสองจึงมีท่าทางผิดปกติเช่นนี้?
“ท่านอ๋อง พระชายาทรงบรรทมแล้วเพคะ พระชายาเอ่ยว่าคืนนี้ลมเย็นยิ่งนัก เชิญท่านกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักตนเองเถิดเพคะ”
ในที่สุดเสียงท่าทางลังเลของผอจื่อคนหนึ่งพลันดังขึ้นจากภายใน บางทีอาจเพราะนางรวบรวมความกล้ามาพูด
พ่อบ้านเติ้งมิได้ส่งเสียงต่อต้าน ดวงตาคมกริบพลันหันไปมองท่านอ๋องของตนเองเพื่อขอความคิดเห็น
“ท่าน…” เอ่ยได้เพียงคำเดียว ร่างของท่านอ๋องพลันหายไป
หันรีหันขวาง เหลือบมองทางประตูที่กำลังปิดสนิทอีกครั้ง ครุ่นคิดไตร่ตรอง…เขาไม่จำเป็นต้องตามเข้าไป
เฮ้อ ท่านอ๋องและพระชายาล้วนเป็นคนแปลกยิ่งนัก มีประตูบานใหญ่แต่กลับปิดสนิท สุดท้ายต้องกระโดดข้ามกำแพงเข้าไป
เพียงแตะเท้าเบาๆ ร่างกายพลันหยุดอยู่บนหลังคาตำหนักหลิวซิน
ภายในมืดสนิท ไร้ซึ่งแสงไฟ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ หัวใจของหลงเทียนอวี้พลันรู้สึกไม่สบอารมณ์
เพราะฤทธิ์ของเหล้าทำให้เขารู้สึกเมาเล็กน้อย
สาวเท้าเข้าไปยังหน้าประตูห้องหลักของตำหนัก ยื่นมือผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของหลินเมิ้งหยาโดยไม่คิด
หลินเมิ้งหยาที่กำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นตั้งแต่ตอนที่ประตูถูกเปิดออก
ชิงหูไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แสดงว่ามิใช่คนนอก
กลิ่นเหล้าจางๆ ปนเปื้อนในอากาศ หลินเมิ้งหยาพลันแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ
หลงเทียนอวี้ตัวดี พอดื่มเหล้าเข้าหน่อยเลยคิดจะทำตัวโรคจิตกระนั้นหรือ?
ฮึ ฝันไปเถอะ!
นับตั้งแต่วันอภิเษกสมรส น้อยครั้งนักที่หลงเทียนอวี้จะเข้ามายังห้องนี้
บรรยากาศยังคงเหมือนอย่างวันนั้น ทว่ากลับมีกลิ่นหอมของกายเนื้อของหญิงสาวอ่อนๆ
ไม่เหมือนกลิ่นเครื่องหอมของเขา อีกทั้งยังมิใช่กลิ่นของเครื่องประทินผิว อันที่จริงไม่เหมือนกลิ่นหอมจากเครื่องหอมใดๆ เลย
ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นกลิ่นกายของหลินเมิ้งหยา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อารมณ์ที่เคยขุ่นมัวพลันคลายลง
“เหตุใดท่านอ๋องผู้สง่างามจึงมิรีบไปมีความสุขกับสาวสวยที่เพิ่งพามาล่ะเพคะ?”
เสียงเย็นชาดังขึ้น
หลงเทียนอวี้ชะงัก ยืมแสงสว่างจากแสงจันทร์จ้องมองหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียง
“ข้า…แค่…”
อยู่ๆ ก็พูดไม่ออก หลงเทียนอวี้เองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองต้องกระโดดกำแพงมายังที่นี่
“หากไม่มีเรื่องอันใด เชิญท่านอ๋องเสด็จกลับตำหนักเถิดเพคะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว หม่อมฉันอยากพักผ่อน”
หลินเมิ้งหยาออกปากไล่อย่างไม่ไว้หน้า น้ำเสียงเย็นชาดุจน้ำแข็ง ราวกับว่านางมิเคยรู้สึกอันใดเลยแม้แต่น้อย
ทว่าประโยคนี้กลับทำให้ความรู้สึกของหลงเทียนอวี้เปลี่ยนไป
“เจ้าเป็นชายาของข้า การที่ข้ามาพักผ่อนที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?”
อยู่ๆ น้ำเสียงเผยให้เห็นร่องรอยของความขุ่นเคือง
ขณะที่พูด ขาขยับเข้าใกล้เตียงของหลินเมิ้งหยา
ทั้งสองอยู่ในมุมที่ไม่มีทางให้หลบหลีก
“ท่านอ๋องต้องการเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยายกแขนทั้งสองขึ้นกอดอก พลางจ้องมองร่างกำยำตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา
“ถ้าใช่แล้วอย่างไร? ถ้าไม่ใช่แล้วอย่างไร?”
วันนี้หลงเทียนอวี้หาใช่ท่านอ๋องผู้เย็นชา ราวกับว่าเหล้าขวดนั้นดึงเอาสัญชาตญาณของเขาออกมา
“หากว่าใช่ เช่นนั้นท่านก็ขึ้นมานอนด้วยกันเถิดเพคะ”
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็ยอมโอนอ่อนแล้ว!
“เจ้า…ไม่โกรธหรือ?”
หลงเทียนอวี้ลองเอ่ยถาม ต่อให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าหลินเมิ้งหยาจะพูดว่าได้
“โกรธแล้วมีประโยชน์อันใด ท่านเป็นองค์ชาย ท่านว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน”
ประโยคนี้เสมือนไม่แยแสต่อสิ่งใด หลงเทียนอวี้จะนอนก็ได้ ไม่นอนก็แล้วแต่
แหวกผ้าม่านบังตาออก ภายในคือหลินเมิ้งหยาที่สวมใส่ชุดขาวและกำลังหลับตาอยู่
แม้จะนอนนิ่ง แต่ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าหลินเมิ้งหยาในเวลานี้กำลังโกรธเกรี้ยว
“ข้าดื่มเหล้ามา”
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เสียงแผ่วเบาของหลงเทียนอวี้พลันดังขึ้น
หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าเขานั่งลงข้างกายตนเอง ทว่านางไม่ยอมเปิดตาหรือส่งเสียงตอบโต้
“หงอวี้คนนั้นคือสตรีที่ฮ่องเต้หมิงพระราชทานให้”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลงเทียนอวี้จึงเป็นฝ่ายอธิบายกับหลินเมิ้งหยา
บางทีอาจเพราะเป็นกฎระเบียบ หากท่านอ๋องต้องการรับชายาเพิ่ม จำเป็นต้องรายงานแก่พระชายา
“ฮ่องเต้หมิงมอบให้ท่านหรือไม่หาใช่กงการอะไรของหม่อมฉัน ขอเพียงท่านอ๋องชอบ ท่านอยากจะแต่งงานกับหญิงสาวอีกสิบคนก็ยังได้”
ทันทีที่เอ่ยจบ หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกว่าเหตุใดนางจึงทำตัวประหนึ่งภรรยาที่กำลังหึงสามีเช่นนี้?
พลันนึกเสียใจขึ้นมา จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร หลงเทียนอวี้เป็นเพียงเจ้านายของนางเท่านั้น!
“ข้าไม่มีทางแต่งงานกับเมียอีกสิบคน ข้าจะแต่งก็แต่เพียงชายาองค์เดียวเท่านั้น!”
หลงเทียนอวี้รู้สึกโกรธเล็กน้อย อย่าว่าแต่เขาที่เป็นองค์ชายเลย แม้แต่ฮ่องเต้ก็แต่งงานได้กับฮองเฮาเพียงคนเดียวเท่านั้น
พูดจบ ก็สาวเท้ายาวๆ เดินจากไป
หลินเมิ้งหยาลืมตามองห้องที่ว่างเปล่า
ใช่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วหลงเทียนอวี้ก็จะต้องมีผู้หญิงที่ตัวเองรักอยู่ดี
อีกทั้งยังหาใช่สตรีมือเปื้อนเลือดเช่นนาง
อันที่จริงนางเองก็เตรียมตัวหาทางหนีไปจากที่นี่อยู่ตลอดเวลา…มิใช่หรือ?
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องทุกข์ทนอยู่ที่นี่กันเล่า
ออกจากตำหนักหลิวซินของหลินเมิ้งหยา ทว่าหลงเทียนอวี้กลับหยุดนั่งลงที่ศาลาเล็กในสวนดอกไม้
สายลมพัดเอากลิ่นเหล้าจางหายไป อุณหภูมิในร่างกายเริ่มเย็นลง
เขา…มาที่นี่ทำไม?
หลงเทียนอวี้ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ตนเองเป็นอะไรไป
เขามีหลินเมิ้งหยาเป็นชายาอยู่แล้ว ส่วนผู้หญิงคนนั้นเป็นเพียงคนที่ถูกยัดเยียดมาให้เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นคนจากเผ่าอื่น หัวใจของนางย่อมแตกต่างออกไป
เขาไม่มีทางปล่อยให้คนที่ยังรู้สึกคลางแคลงใจมาร่วมเตียงเคียงหมอนกับตนเองอย่างแน่นอน
ชายา…สำหรับเขาเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น
หลินเมิ้งหยามิใช่คนยุ่งยากวุ่นวาย อีกทั้งยังฉลาด นางเป็นผู้ช่วยคนหนึ่งของตนเอง
แม้จะยังมีความลับปิดบัง แม้เขาจะยังไม่เข้าใจในตัวนางได้ทั้งหมด แต่นางเหมาะสมที่จะเป็นชายาของเขา
นอกจากชายาเอกแล้ว เขาไม่มีทาง “แต่ง” กับหญิงอื่น
หรือหลินเมิ้งหยาจะไม่รู้จักกฎระเบียบข้อนี้กัน?
ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงมิได้พูดปรับความเข้าใจกัน
หลินเมิ้งหยาเข้าใจความคิดของหลงเทียนอวี้ผิดไป ส่วนหลงเทียนอวี้ก็ไม่คิดเข้าไปอธิบาย
เช้าวันถัดมา ทุกคนในจวนต่างรู้สึกได้ถึงบรรยากาศกดดันภายในตำหนักหลิวซิน
แม้หลินเมิ้งหยาจะยังทำตัวตามปกติและส่งยิ้มให้กับคนสนิทเล็กน้อย ทว่าคนรับใช้คนอื่นๆ กลับไม่กล้าโผล่หน้าออกมาหาพระชายาเลยแม้แต่น้อย
“พี่ป๋ายจี นี่คือน้ำล้างหน้าของพระชายา พี่ยกเข้าไปแทนข้าได้หรือไม่?”
สาวใช้ภายในจวนเหลือบมองทางป๋ายจี สีหน้าแววตาล้วนขอความเมตตา
“เจ้ายกไปเองก็ได้นี่? พระชายาไม่กินเจ้าหรอก”
ป๋ายจีไม่เข้าใจ ปกติหลังจากที่สาวใช้เหล่านี้ตระเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางและป๋ายจื่อจึงเข้าไปรับใช้พระชายา
เหตุใดวันนี้ทุกคนล้วนพากันหยุดยืนแต่เพียงหน้าประตู
“เอาล่ะ วันนี้ข้ากับป๋ายจีจะรับใช้พระชายาเอง พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด”
ป๋ายซ่าวที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินผ่านประตูเข้ามา ก่อนจะรับอ่างน้ำไป
“วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดทุกคนพากันขี้เกียจไปหมด? ป๋ายซ่าว เจ้าทำแทนพวกนางทุกอย่าง หากพระชายารู้เรื่องนี้จะมิเอาผิดจากเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ป๋ายจีก็ยกสิ่งของที่หลินเมิ้งหยาจำเป็นต้องใช้ตามป๋ายซ่าวเข้าไปในห้องหลัก
“พี่สาวที่แสนดีของข้า ท่านไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจกันแน่? เมื่อคืนท่านอ๋องพาผู้หญิงกลับมา หากดูจากอารมณ์ของพระชายา ถ้าไม่โกรธเกรี้ยวสิแปลก! สาวใช้พวกนั้นรับมือกับอารมณ์ของพระชายาไม่ไหวหรอก รังแต่จะตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ”
ป๋ายซ่าวอธิบาย ป๋ายจีที่รู้สึกตัวช้าคิดตามจนเข้าใจในที่สุด
“แต่การที่ท่านอ๋องจะพาหญิงสาวกลับมาก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? พระชายามิมีทางใจแคบเช่นนั้นหรอกกระมัง?”
บรรดาเจ้าขุนมูลนายสกุลใหญ่ล้วนมีภรรยาอนุสามถึงสี่คน แม้แต่คนร่ำรวยเองก็มีเป็นโขยง
แล้วพระชายาจะไม่อนุญาตเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ทว่าป๋ายซ่าวกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดของป๋ายจี ผู้ชายมีภรรยาเพียงคนเดียวก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นพระชายาทั้งงดงามและมีความสามารถ เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่รู้จักพอกันนะ
คุณหนูเจียงเอะอะโวยวายสร้างเรื่องไม่เว้นวัน
คุณหนูรองเองแม้จะไม่แสดงออก แต่นางรู้ว่านางจะต้องคิดไม่ซื่อกับท่านอ๋องอย่างแน่นอน
ทว่าคนเหล่านี้ล้วนเทียบไม่ได้กับพระชายา ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าท่านอ๋องกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง ไม่พูดจาพร่ำเพรื่อ เข้าไปพยุงร่างหลินเมิ้งหยาลุกขึ้นจากเตียง
ไร้ซึ่งความเย็นชา ไร้ซึ่งความโกรธเกรี้ยว หลินเมิ้งหยาในวันนี้ยังคงเหมือนเดิม
ขณะเดียวกันสาวใช้ทั้งสองเริ่มสงสัยว่า พระชายาของตนเองอาจจะมิได้มองหญิงสาวจากซีฟานอยู่ในสายตา
ทว่าเมื่อถึงเวลาอาหารเช้า หลินเมิ้งหยากลับขมวดคิ้วแล้วคีบแตงกวาดองไปไว้อีกฝั่ง
“เหตุใดวันนี้แตงกวาดองจึงเปรี้ยวนัก?”
ทันทีที่คำพูดของหลินเมิ้งหยาหลุดออกจากปาก ป๋ายซ่าวและป๋ายจีสบตากัน
ดูเหมือนพระชายาจะไม่ไร้ความรู้สึกไปเลยเสียทีเดียว หรือว่า…จะหึงกันนะ?
“นายหญิง หากเปรี้ยวเกินไปก็อย่ากินเลยเจ้าค่ะ”
ป๋ายจีก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว หยิบชามแตงกวาดองกลับเข้าไปในกล่อง คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน ตะเกียบยกขึ้นคีบเห็ดเข็มทองผัดกับแตงกวา
“เหตุใดอาหารชามนี้ก็เปรี้ยว? เกิดอะไรขึ้นกับโรงครัว น้ำส้มสายชูไม่ต้องใช้เงินซื้ออย่างนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยากระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะ นางเกลียดอาหารรสชาติเปรี้ยวเป็นที่สุด
อาหารพวกนี้ล้วนมีรสเปรี้ยว แล้วแบบนี้นางจะกินอย่างไร?
“นายหญิงกินโจ๊กเถิดเจ้าค่ะ โจ๊กมีรสหวาน”
ป๋ายซ่าวรีบเดินขึ้นมาข้างหน้าแล้วเก็บอาหารรสเปรี้ยวกลับเข้าไป
หลินเมิ้งหยาไม่มีอารมณ์จะกินอีกต่อไป หยิบช้อนขึ้นมาตักโจ๊ก
“เอ๋? เหตุใดแม้แต่โจ๊กก็เปรี้ยวกันเล่า ดูเหมือนโรงครัวจะไม่ตั้งใจทำงานเลยแม้แต่น้อย ป๋ายซ่าว เจ้าจงไปจัดการพวกเขาให้กับข้า!”
หลินเมิ้งหยาโมโหแล้วกระแทกชามโจ๊กรสเปรี้ยวลงบนโต๊ะ
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ หนู่ปี้จะไปจัดการแน่นอนเจ้าค่ะ พระชายาอย่าได้ทรงกริ้วไปเลย”