เล่ม 2 ตอนที่ 101 หัวหน้าสำนัก

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

น้ำเสียงนี้ฟังดูคุ้นเคยยิ่งนัก…

ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังคิดว่าเป็นใครก็เห็นว่าเงาร่างของคนผู้นั้นได้ถลามาอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสซุนเสียแล้ว

ท่าทางเงอะๆ งะๆ ของเขาที่สวมเสื้อผ้าขาดๆ ไม่ใช่เยี่ยเหล่าแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก

ทว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

คนที่ดูตกใจกว่าฉู่หลิวเยว่ก็คือซุนจ้งเหยียน

“อ่านอาจารย์ลุง ท่านมาได้อย่างไร!”

อาจารย์ลุง

ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย

นางคาดเดาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าตัวตนของเยี่ยเหล่านั้นไม่ธรรมดา เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงอาจารย์ลุงของผู้อาวุโสซุน!

รุ่นนี้สูงวัยเกินไปหรือไม่

เยี่ยเหล่าถอนหายใจใส่แล้วจ้องซุนจ้งเหยียนตาเขม็ง

เขามองจนซุนจ้งเหยียนรู้สึกหงอ

“…อาจารย์ลุง ท่านเป็นอะไรไปหรือ”

“เป็นอะไร! เจ้ากล้าถามข้าว่าเป็นอะไรรึ!” เยี่ยเหล่าพูดพลางมอบฝ่ามืออรหันต์ให้เขา “เจ้าเด็กเนรคุณ กล้าแย่งคนของอาจารย์ลุงอย่างนั้นหรือ บังอาจยิ่งนัก!”

ซุนจ้งเหยียนไม่กล้าสู้กลับและทำได้พัยงเอามือบังศีรษะหลบหนีเท่านั้น

“อาจารย์ลุง! ท่านลงมือกับข้าทำไม! ต่อให้ข้ากินดีหมีหัวใจเสือ ข้าก็ไม่กล้าแย่งคนของท่านหรอก!”

เมื่อเห็นซุนจ้งเหยียนซึ่งเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงในสำนักกำลังถูกไล่ทุบตี ฉู่หลิวเยว่จึงคลายความกดดันลงมาได้บ้าง

นางกระแอมไอแล้วหันไปมองทางอื่น

“ท่านอาจารย์ลุง หากท่านจะตีข้าท่านก็บอกข้าให้เข้าใจก่อนสิว่าตกลงข้าไปแย่งใครมาจากท่านกันแน่” ซุนจ้งเหยียนตะโกนด้วยความน้อยใจ

อาจารย์ลุงไม่เผยโฉมหน้ามาตั้งหลายปี ทำไมถึงมาตีเขาเพราะคนคนเดียว

ในที่สุดเยี่ยเหล่าก็หยุดมือแล้วพยักพเยิดชี้นิ้วไปที่ฉู่หลิวเยว่

“นาง!”

บรรยากาศในสวนเงียบไปชั่วขณะ

หลิวเยว่สัมผัสได้ว่าพลังปราณลึกลับเหล่านั้นที่เคยถูกซ่อนไว้ก่อนหน้านี้มีคลื่นแห่งความผันผวนเกิดขึ้นแทบจะพร้อมกัน

เห็นได้ชัดว่าทุกคนตกใจกับสิ่งที่เยี่ยเหล่าเอ่ยขึ้น

ซุนจ้งเหยียนตกตะลึงไปชั่วขณะ

“เอ่อคือ…นี่…อาจารย์ลุง ท่านต้องการรับฉู่หลิวเยว่เป็นศิษย์หรือขอรับ แต่ว่า…ท่านเป็นหมอเทวดานี่นา!”

พรสวรรค์ด้านผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์ของฉู่หลิวเยว่นั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนด้านการแพทย์ของหมอเทวดา ดูเหมือนจะยังไปไม่สุดทางน่ะสิ…

ซุนจ้งเหยียนเหลือบมองฉู่หลิวเยว่แล้วเอ่ยเตือนอย่างอดมิได้

“อาจารย์ลุง เป็นเพราะท่านได้ยินมาว่าฉู่หลิวเยว่สอบผ่านทั้งสามวิชาก็เลยต้องการรับนางเป็นศิษย์ใช่หรือไม่ ท่านอาจจะไม่ทราบว่าแม่หนูคนนี้มีพรสวรรค์ด้านผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งมากกว่าหมอเทวดาไม่รู้เท่าไหร่! อีกอย่าง ท่านก็ไม่อยากมีปัญหาเรื่องการรับศิษย์มานานแล้วมิใช่หรือขอรับ”

ด้วยเหตุนี้อาจารย์ลุงจึงไม่รับลูกศิษย์มาเป็นเวลาหลายปี

“หากท่านมีใจต้องการรับศิษย์ไว้สักคนจริงๆ นักเรียนในรุ่นนี้ก็มีพรสวรรค์ไม่เลวหลายคน…”

“พวกเจ้าจะไปรู้สิ่งใด!”

เยี่ยเหล่าตัดบทเขาด้วยความเหลืออด

“ลูกศิษย์ข้าเป็นอย่างไร ทำไม่ข้าจะไม่รู้!”

เมื่อสิ้นเสียงเยี่ยเหล่า เสียงของซุนจ้งเหยียนก็หยุดชะงักลงราวกับว่ามีใครมาบีบคอเอาไว้

ทันใดนั้นบรรยากาศก็เงียบสงัดจนได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจเท่านั้น

ฉู่หลิวเยว่แอบสูดหายใจเงียบๆ

ตอนแรกนางแค่อยากเลือกอาจารย์เงียบๆ อย่างถ่อมตน หลังจากนั้นจะเริ่มตั้งใจฝึกฝนในสำนัก แต่ตอนนี้สงสัยคงเป็นไปไม่ได้แล้ว…

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเยี่ยเหล่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักเทียนลู่ลึกซึ้งขนาดนี้ ทั้งยังมาในเวลานี้พอดีเสียด้วย

“เด็กคนนี้เป็นลูกศิษย์ของข้าตั้งแต่แรกแล้ว! เจ้าคิดจะแย่งข้าไปหรือ ฝันไปเถอะ!”

เยี่ยเหล่ายังคงพะว้าพะวังและมองซุนจ้งเหยียนด้วยสายตาราวกับมองเขาเหมือนหัวขโมยอย่างไรอย่างนั้น

เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่

“หลิวเยว่ คนพวกนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เจ้าอย่าหลงกลพวกเขาเด็ดขาดเชียวนะ!”

ฉู่หลิวเยว่ “…”

ท่านพูดตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้จะดีหรือ…

เยี่ยเหล่ากล่าวพลางเผยสีหน้าน้อยใจ

“เจ้าเด็กคนนี้นี่ มาที่สำนักก็ไม่บอกข้าสักคำ! หรือว่าเจ้าอยากจะหาคนอื่นมาเป็นอาจารย์ของเจ้าจริงๆ หรือ”

ฉู่หลิวเยว่หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้

“ซือฝุ[1] ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้า…”

“เหวยซือ[2] เก็บตัวบำเพ็ญเพียรแค่ไม่กี่วัน พอออกมาปุ๊บก็ไปหาเจ้าที่ตระกูลฉู่ปั๊บ แต่ใครจะไปรู้ข้าหาจนทั่วก็ไม่เจอใครสักคน! ข้าจึงไปถามคนแถวนั้นถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น! หากข้าช้าไปก้าวเดียว เจ้าก็คงกลายไปเป็นลูกศิษย์ของไอ้เจ้าหมอนี่แล้วใช่ไหม!”

ซุนจ้งเหยียนที่โดนด่าก็ไม่รู้จะเสียใจหรืออธิบายอย่างไรแล้ว

บทสนทนาระหว่างเยี่ยเหล่าและฉู่หลิวเยว่มีเรื่องราวมากมายจนเขายังไม่ทันได้โต้ตอบ..

ฉู่หลิวเยว่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ แล้วก็ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา

หากนางรู้ตั้งแต่ทีแรกว่าเยี่ยเหล่าเป็นอาจารย์ในสำนักเทียนลู่ นางก็คงไม่ต้องเปลืองแรงขนาดนี้หรอก

ทว่าพอนึกถึงเรื่องที่เยี่ยเหล่าตามหานางจนวุ่นวายไปทั่ว ไม่ใช่ว่านางจะไม่รู้สึก

เยี่ยเหล่ามองดูหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าเขา หากมาไม่ทันจริงๆ แล้วเขาจะทำใจได้อย่างไร

น้ำเสียงของเขาอ่อนลงและตบแขนฉู่หลิวเยว่เบาๆ

“โชคดีที่เหวยซือมาทันเวลา! ต่อไปอย่าทำเช่นนี้อีกรู้ไหม!”

ฉู่หลิวเยว่ตอบด้วยรอยยิ้มที่สดใส

“รู้แล้วเจ้าค่ะซือฝุ!”

อาจารย์และลูกศิษย์ทางด้านนี้กำลังปลื้มปีติยินดีกัน แต่ทางด้านซุนจ้งเหยียนและอาจารย์ท่านอื่นที่อยู่ในห้องต่างตกตะลึง

เมื่อเห็นว่าเยี่ยเหล่ากำลังจะพานางจากไป ในที่สุดซุนจ้งเหยียนก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วถามอย่างอดไม่ได้

“เยี่ยเหล่า ท่าน…ท่านรับเด็กคนนี้เป็นศิษย์แล้วจริงหรือ”

เยี่ยเหล่าปรายหางตามองเขา

“เด็กคนนี้เรียกข้าว่าซือฝุ เจ้าฟังไม่เข้าหูหรือไง!”

ซุนจ้งเหยียนถึงกับสะอึก

“แต่ว่า…แต่ว่าพรสวรรค์ของนาง…”

“พรสวรรค์ของนาง ข้า…”

ในขณะที่เยี่ยเหล่ากำลังจะพูดอยู่นั้น ฉู่หลิวเยว่กลับดึงชายเสื้อเขาเสียก่อน

หัวใจของเยี่ยเหล่าหล่นวูบ เขามองตาฉู่หลิวเยว่ก็เดาได้ทันทีว่านางคิดอันใดอยู่

ดูแล้วเด็กคนนี้คงไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง…

ก็ได้ หากเปิดเผยตัวตนหมด มันก็จะดึงดูดความสนใจของผู้คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เยี่ยเหล่ากระแอมไอ

“ถึงอย่างไรนางก็สอบผ่านหมอเทวดาแล้ว อีกอย่างนางกับข้าถูกชะตากัน และผ่านพิธีคารวะอาจารย์แล้ว พวกเจ้าพูดไปก็ไร้ประโยชน์เปล่าๆ!”

ดูเหมือนโชคชะตาจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

อันที่จริงซุนจ้งเหยียนก็รู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน

ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านหมอเทวดามากมายนัก ต่อให้ไหว้ครูฝากตัวเป็นลูกศิษย์แล้ว หนทางข้างหน้าก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี!

“ซือฝุ อันที่จริงข้าก็สนใจศึกษาเรื่องค่ายกลมากเหมือนกัน ที่ข้าเข้าสำนักคราวนี้ก็อยากเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเจ้าค่ะ”

คำพูดของฉู่หลิวเยว่ทำให้เยี่ยเหล่าเกิดความกังวลเล็กน้อย

“เจ้าอยากฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าหมอนี่จริงๆ หรือ”

ฉู่หลิวเยว่กลั้นยิ้มและส่ายหน้า

“ในเมื่อข้ามีซือฝุแล้ว แน่นอนว่าข้าจะไม่คารวะฝากตัวกับอาจารย์ท่านอื่นอีกเจ้าค่ะ ศิษย์อยากฝึกค่ายกลกระบี่ด้วยตนเอง ไม่ทราบว่าท่านจะเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่เจ้าคะ”

“ฝึกด้วยตนเองหรือ” เมื่อซุนจ้งเหยียนได้ยินก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ “แม่หนู เจ้าต้องคิดให้ดี หากไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ เส้นทางสู่การเป็นปรมาจารย์นี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอกนะ!”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ายืนกราน

“ขอบคุณผู้อาวุโสซุน ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ซือฝุ ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอกกระมัง”

เยี่ยเหล่ากระอึกกระอัก

อันที่จริงเขาก็พอจะแอบเดาออกว่าฉู่หลิวเยว่ไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์สอนปรมาจารย์จริงๆ ก็ได้ เช่นเดียวกับการทักษะด้านการแพทย์ที่ไม่อาจเดาขอบเขตได้ หรือแม้แต่กระทั่งนางอาจจะถึงระดับขั้นที่เป็นอาจารย์ของเขาก็ได้

“เจ้าอยากจะทำสิ่งใด ซือฝุจะห้ามเจ้าได้อย่างไร เช่นนั้นก็เป็นไปตามนี้ก็แล้วกัน!”

เยี่ยเหล่าโบกมือ

“เอาทะเบียนรายชื่อมา!”

ไม่นานก็มีคนเดินออกจากห้องและนำหนังสือหนาเล่มหนึ่งมา

บนหน้าปกบันทึกเล่มนั้นมีตัวอักษรปิดทองสี่ตัวเขียนอยู่

“สำนักเทียนลู่”

เยี่ยเหล่าเอามือวางบนบันทึกเล่มนั้น เมื่อเขาปล่อยมือหน้ากระดาษบันทึกก็ขยับพลิกหน้าได้ด้วยตัวมันเอง!

ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ข้างๆ จึงสามารถอ่านรายชื่อที่อยู่ในบันทึกได้ชัดเจน

ชื่อของนักเรียนทุกคนล้วนเป็นตัวอักษรสีดำ ส่วนรายชื่อของอาจารย์จะเป็นตัวอักษรสีแดง

เมื่อพลิกมาถึงหน้ากระดาษแผ่นใหม่ที่ว่างเปล่า ในที่สุดมันก็หยุดได้เอง

เยี่ยเหล่ามีสีหน้านิ่งขรึม เขาชี้นิ้วแล้วเขียนชื่อของเขาบนหน้ากระดาษขาวสะอาด

“เยี่ยจือถิง”

ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีทองเป็นประกายระยิบระยับ

ชื่อของเขาเป็นตัวอักษรสีทอง!

ไม่นานนัก ฉู่หลิวเยว่ก็เห็นลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏขึ้นเองตรงบรรทัดใต้ชื่อของเยี่ยเหล่า

“หัวหน้าสำนักคนที่หกสิบห้าแห่งสำนักเทียนลู่”

[1] ซือฝุ สรรพนามที่ศิษย์เรียกอาจารย์

[2] เหวยซือ สรรพนามแทนตัวเองของอาจารย์