บทที่ 81 แสดงมากเกินไป[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 81 แสดงมากเกินไป[รีไรท์]

ฉู่ชวิ๋นและฮวาชิงหวู่ ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเมืองหยุนหยาน กองกำลังต่าง ๆ ของแต่ละตระกูลเมื่อรู้ข่าวก็เคลื่อนไหวทันที

คนแรกที่ได้รับข่าวนี้คือตระกูลซู

ซูเหลาหู่เป็นผู้อาวุโส เขาส่งซูฟานไปเพื่อเชิญฉู่ชวิ๋นและ ฮวาชิงหวู่มาพักยังบ้านตระกูลซู เรื่องนี้ทำให้ตระกูลอื่น ๆ อิจฉาจนแทบบ้า

แต่แล้วมันยังไงละ? ยังไงซะพวกเขาก็ต้องไปเจอฉู่ชวิ๋นและสนิทกันอยู่ดีนั่นแหละ หลังจากเหตุการณ์ตระกูลหยุน ทุกคนต่างก็พยายามทำความรู้จักกับโลกของจอมยุทธ์

จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์! เป็นคนที่หายากราวกับขนนกฟินิกซ์ มีตัวตนเหมือนเทพ! สิ่งนี้ทำให้พวกเขามีความมุ่งมั่นในใจมากขึ้น และอยากตีสนิทกับฉู่ชวิ๋น

ณ บ้านตระกูลซู

ซื่อเหอเยวี่ยนหรือเรือนสี่ประสาน คือบ้านที่ล้อมรอบด้วยกำแพงทั้งสี่ด้านมีลานบ้านอยู่ตรงกลาง มันได้รับการตกแต่งอย่างประณีต ทั้งภายในและภายนอกได้รับการคุ้มกันโดยทหารพร้อมกระสุนจริง

ในฐานะที่เขาเป็นพยัคฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ มันไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะได้อยู่อย่างสุขสบายขนาดนี้

ณ ศาลาในสวนของบ้านตระกูลซู ฉู่ชวิ๋น ฮวาชิงหวู่ ผู้อาวุโสซู พี่น้องซูฟาน รวมถึงนักพนันหญิงนั่งอยู่ล้อมรอบโต๊ะหินอ่อน

พยัคฆ์ซูผู้ที่โหดร้ายที่สุดแห่งกองทัพรินน้ำชา แล้วยื่นให้ฉู่ชวิ๋นให้ด้วยความเคารพ ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความกล้าหาญและเกลียดชังความชั่ว ตอนนี้เขาถูกลดความสำคัญลงราวกับคนธรรมดาทั่วไปเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่ชวิ๋น

“ผู้อาวุโส โปรดดื่มชา!”

ฉู่ชวิ๋นหยิบชาขึ้นมาแล้วจิบเบา ๆ เขาเพียงแตะริมฝีปากลงบนถ้วยชาเท่านั้น พยัคฆ์ซูไม่ได้มีความไม่พอใจแสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย ปรมาจารย์อย่างฉู่ชวิ๋นนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะสามารถดื่มชาธรรมดา ๆ ได้

“ในเมื่อฉันกับซูฟานเป็นพี่น้องกัน คุณก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าผู้อาวุโสหรอก เรียกฉู่ชวิ๋นหรือนายท่านก็ได้” ฉู่ชวิ๋นกล่าว

พยัคฆ์ซูก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “ผมจะเรียกว่านายท่านแล้วกันครับ!”

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย

“ลูกพี่ มันไม่น่าสนใจเหรอ พี่ถึงไม่ยอมมางานเลี้ยงขอบคุณพี่ที่เราเตรียมไว้ให้ พี่รู้ไหมว่าผมต้องอับอายมากแค่ไหน?” ซูฟานเทน้ำชาใส่ในถ้วยชาของตัวเองแล้วดื่มทันที พร้อมบ่นกระปอดกระแปด

“ขอโทษด้วย มีบางอย่างที่ทำให้รอไม่ได้จริง ๆ” ฉู่ชวิ๋นพูดขอโทษ

มันเป็นความผิดของเขาจริง ๆ เขาไม่คิดว่าที่ด้านล่างของภูเขาผีเสื้อจะใช้เวลาเป็นเดือน

“อย่าพูดแค่ขอโทษสิ ชดใช้คืนด้วย” ซูฟานกล่าว

“จะให้ชดใช้ยังไงล่ะ?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยรอยยิ้ม

ซูฟานกลอกตาไปมา ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ลูกพี่สอนทักษะพิเศษอะไรก็ได้ให้ผมได้ไหม มันคงเป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับลูกพี่ใช่ไหมล่ะ?”

ฉู่ชวิ๋นมองเขาขึ้นลงพร้อมพูดว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะอยากสอน แต่นายคงโง่เกินกว่าที่จะเรียนรู้มันได้”

ซูฟานเกือบจะเชื่อ แต่เมื่อเขาเห็นฉู่ชวิ๋นยิ้มมุมปาก เขาจึงรู้ว่าฉู่ชวิ๋นกำลังล้อเขาเล่น “ลูกพี่ มีอย่างที่ไหนพูดจาทำร้ายกันแบบนี้ ถ้าผมไม่มีวิชาละก็ ผมตายแน่ ๆ”

การที่มีซูฟานอยู่ด้วยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนพูดอะไรจนทำให้บรรยากาศอึดอัด พยัคฆ์ซูเองก็ค่อย ๆ คลายความตึงเครียดลง และเริ่มถามขึ้นเกี่ยวกับพลังยุทธ์ ฉู่ชวิ๋นจึงต้องอดทนตอบคำถามไปทีละคน

วันนี้ซูถังสวมชุดเดรสสีขาว มีใบหน้ากลมและดวงตาที่สดใส เธอแอบมองดูฉู่ชวิ๋นเป็นครั้งคราว จากนั้นก็รีบก้มหน้าหลบอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอแดงก่ำราวกับผลแอปเปิ้ลสุก มันทำให้เธอดูน่ารัก

ฮวาชิงหวู่ลอบสังเกตเธอ พลางขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

นักพนันสาวรู้เรื่องนี้ดี เธอถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ และกังวลเกี่ยวกับเรื่องของซูถัง คนที่ฉู่ชวิ๋นชอบจริง ๆ ต้องพิเศษขนาดไหนกัน? มันยากสำหรับคนธรรมดาอย่างซูถังที่จะไปเข้าตาเขา เธอกลัวว่าซูถังจะจริงจังเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ และสุดท้ายก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง

ในระหว่างการพูดคุยกันฉู่ชวิ๋นก็นึกถึงสำนักความหวังใหม่ เขาเลยถามเรื่องนี้ขึ้นมา

“สำนักความหวังใหม่เหรอ? เรียกว่าสำนักไร้คุณธรรมจะยังดีซะกว่า” ซูฟานพูดออกมาอย่างดูถูกดูแคลน

“นายท่านอาจไม่รู้นะครับ สำนักความหวังใหม่มีชื่อเสียงที่ไม่ธรรมดาในเรื่องวรยุทธ์ แต่สิ่งที่พวกเขาทำมันทำให้คนในแวดวงเดียวกันต้องอับอายขายขี้หน้ามาก ๆ ”

“สำนักไร้คุณธรรมเหรอ? ชื่อนี้เหมาะดีนะ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

ใบหน้าของซูฟานขยับมาใกล้และจ้องที่ฉู่ชวิ๋นตรง ๆ “ลูกพี่ถามถึงสำนักความหวังใหม่ทำไมเหรอ? ไอ้โง่พวกนั้นคงไม่ได้ไปกวนใจลูกพี่หรอกนะ”

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าและพูดอย่างเงียบ ๆ “มีบางอย่างที่ไม่น่ายินดีเกิดขึ้นน่ะ”

“ไม่น่ายินดี? ลูกพี่เล่าให้ฟังหน่อยสิ” สีหน้าของซูฟานตอนนี้คือสีหน้าของคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ฉู่ชวิ๋นสงสัยว่าทำไมซูฟานจึงดูมีความสุขนัก

“ท่านคงจะยังไม่ทราบ เมื่อก่อนเจ้าฟานเคยถูกสี่ผู้อาวุโสแห่งสำนักความหวังใหม่ทำร้าย ถ้าไม่ใช่เพราะบารมีของตระกูลซู ผลลัพธ์คงน่ากลัวกว่านี้”

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นมองซูฟานด้วยความสนอกสนใจ

ซูฟานแสดงสีหน้าอับอายเล็กน้อย “ลูกพี่ อย่าพูดถึงเรื่องที่มันผ่านมาแล้วเลย มันรังแต่จะทำให้เสียภาพลักษณ์ที่ดีของผมเปล่า ๆ”

ยิ่งซูฟานไม่อยากพูด ฉู่ชวิ๋นก็ดูจะยิ่งสนใจมากขึ้น

“งั้นฉันพูดเอง!” เขาไม่ได้คาดหวังว่านักพนันสาวจะพูดโพล่งขึ้นมา

“เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ฉันได้พบกับสี่ผู้อาวุโสแห่งสำนักความหวังใหม่โดยบังเอิญ พวกเขาลวนลามฉัน…แต่โชคดีที่ซูฟานช่วยฉันไว้” นักพนันสาวใช้คำพูดเพียงน้อยนิดแต่ครอบคลุมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่เรื่องที่อันตรายกลับพูดออกมาแค่เล็กน้อย

ซูฟานถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โชคดีที่นักพนันสาวไม่ได้บอกว่า เขาถูกทุบตีจนเกือบตาย สุดท้ายเขาต้องอาศัยชื่อของตระกูลซู เพื่อทำให้อีกฝ่ายตระหนักถึงศีลธรรมและไว้ชีวิตเขา

“อย่าให้ฉันเจอไอ้เฒ่าพวกนั้นอีกนะ ฉันจะกรอกปากมันด้วยลูกกระสุนปืนซะเลย!” ซูฟานพูดด้วยความโมโห

“นายจะไม่ได้เจอพวกมันอีกแน่นอน” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม

ซูฟานตะลึงและถาม “ลูกพี่หมายความว่าไง? คงไม่ใช่ว่า…” ซูฟานไม่ได้พูดต่อ แต่ทำท่าทางเอานิ้วมือมาเชือดคอของตัวเอง

ฉู่ชวิ๋นยิ้มและพยักหน้า “ใช่ พวกมันตายไปแล้ว ฉันฆ่าพวกมันเอง ยังมีเป่ยชงอีกคน รวมเป็นผู้เฒ่าทั้งหมด 3 คน”

“ลูกพี่ของผม เยี่ยมมาก! พี่ฆ่าผู้อาวุโสทั้งสามของสำนักความหวังใหม่ ผมอยากจะบอกว่าพี่ฆ่าได้ดีจริงๆ” ซูฟานตะโกนอย่างตื่นเต้น

ฉู่ชวิ๋นฆ่าทั้งสามคนต่อเนื่องกัน แต่กลับไม่มีใครตกใจเลย แค่เพียงรู้สึกเศร้ากับสำนักความหวังใหม่ แต่ไม่ว่าคุณจะทำอะไรฟ้าย่อมเห็นเสมอ พวกมันคงจะคิดไม่ถึงสินะว่าจะไปทำให้ปรมาจารย์ผู้เยาว์คนนี้โกรธ อยากรู้เสียจริง ๆ ว่าเมื่อตอนที่สำนักความหวังใหม่ไปทำให้ปรมาจารย์น้อยคนนี้โกรธ เขาจะมีสีหน้าแบบไหนกันนะ?

……

……

ในขณะเดียวกัน ทหารก็กำลังรายงานสถานการณ์ให้กับพยัคฆ์ซู “หัวหน้า มีคนมาเต็มหน้าบ้านเลยครับ พวกเขาบอกว่าต้องการพบนายท่านฉู่”

“เจ้าพวกนี้รู้ดีจริง ๆ เลยวุ้ย” พยัคฆ์ซูยิ้มและมองฉู่ชวิ๋น

“ถ้านายท่านรำคาญ ผมจะไล่พวกเขาให้นะครับ”

ฉู่ชวิ๋นเกรงว่าจะเกิดปัญหา เขาพยักหน้า แต่เมื่อเขาได้ยินฮวาชิงหวู่พูดว่า “ตระกูลฮวาก็มาเหรอ?”

ทหารมองไปที่พยัคฆ์ซู เขาพยักหน้าก่อนที่จะตอบ “มาครับ”

“ตามสบาย ทำตามที่เธอต้องการเถอะ” ฉู่ชวิ๋นพูดเบา ๆ เขารู้ว่า ฮวาชิงหวู่มีปมในใจ เธอเป็นคนของตระกูลฮวา

เธอสูดลมหายใจลึก ๆ และยิ้มให้ฉู่ชวิ๋น จากนั้นก็หันไปหาพยัคฆ์ซูและพูดอย่างสุภาพว่า “คุณปู่ซู วันนี้คงต้องขอรบกวนที่บ้านนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”

เธอไม่ใช่ฉู่ชวิ๋น เธอจึงไม่สามารถพูดและทำสิ่งต่างๆ ได้ตามที่เธอต้องการ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายชราที่อยู่ในกองทัพมาตลอดทั้งชีวิต เธอเลยไม่กล้าที่จะเป็นใหญ่

ฮวาชิงหวู่เป็นผู้หญิงของฉู่ชวิ๋น เธอทั้งสุภาพและอ่อนโยน ซึ่งพยัคฆ์ซูชื่นชอบเธอมาก เขาหัวเราะและพูดออกมาทันที “ที่นี่อาจดูเงียบเชียบไปนะ แต่พอแก่ตัวลงแล้วฉันก็ชอบความครื้นเครงอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ”

จากนั้นเขาก็มองไปที่ทหารแล้วพูดว่า “ปล่อยให้ทุกคนเข้ามา”

ทหารรับคำสั่งของเขา หลังจากนั้นไม่นานก็มีผู้ชายหลายคนเดินตามเข้ามา ภายใต้การควบคุมของทหาร คนทั้งสิบที่มานี้เป็นกำลังสำคัญในเมืองเมืองหยุนหยาน และพวกเขาก็ได้รับข่าวเรื่องของฉู่ชวิ๋น จึงพากันมาที่นี่

“ทักทายครับปรมาจารย์ฉู่”

“ปรมาจารย์ฉู่ ผมชื่อเกาจินเผิงจากหัวไท่อินเตอร์เนชันแนล ท่านเรียกผมว่าเสี่ยวเกาได้ครับ”

“ท่านฉู่ ผมชื่อ…”

“ผม…”

พวกเขาเริ่มแนะนำตัวเองกันทีละคน พยายามสร้างความประทับใจให้กับฉู่ชวิ๋น คนเหล่านี้ไม่ว่าจะไปเป็นแขกจากที่ใดก็ตาม ทุกคนจะนำของขวัญที่มีค่าติดไม้ติดมือมาด้วย แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างกันมาก

ฉู่ชวิ๋นไม่รู้ว่าหลังจากเหตุการณ์ตระกูลหยุนแพร่ออกไป เขาถูกระบุว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งมากที่สุดในตอนนี้ แน่นอนว่าพวกเขาทุกคนรับรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ตระกูลฮวาได้ทำลงไป ดังนั้นในเวลานี้ พวกเขาจึงตั้งใจจะแยกตัวออกมาจากตระกูลฮวา ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ

……

มีผู้คนมากมายจากตระกูลฮวา นอกจากฮวาชิงซาน ผู้ที่กระตือรือร้นในเรื่องพลังแล้วยังมีฮวาโม่เซี่ย สามพี่น้องและฮวาเซิ่งกับฮวารุ่ย คนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นอยู่ตอนนี้ก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ดวงตาของฮวาชิงซานเป็นประกาย เขาตระหนักดีว่าตอนนี้ตระกูลฮวากำลังตกอยู่ในช่วงมรสุม ถ้าหากจัดการไม่ดี ตระกูลฮวาคงจะล่มสลายและถูกลบออกจากเมืองหยุนหยานอย่างแน่นอน

“ผู้อาวุโสซู” ฮวาชิงซาน ประสานมือคารวะ

พยัคฆ์ซูพยักหน้ารับ ดวงตาของฮวาชิงซานขยับไปที่ฉู่ชวิ๋นและเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เขามองที่ฮวาชิงหวู่และยิ้มอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวหวู่ ปู่พาพวกเขามาที่นี่เพื่อขอโทษสำหรับเรื่องในครั้งนั้น”

“ขอโทษ?” ฮวาชิงหวู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“ไม่จำเป็นค่ะ”

สีหน้าของฮวาชิงซานเปลี่ยนไปเล็กน้อย ช่างเป็นเรื่องแปลกประหลาด เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เสี่ยวหวู่ ปู่รู้ว่าหลานโกรธ แต่พวกเราไม่มีใครรู้ว่าตระกูลหยุนมันจะเลวทรามขนาดนั้น เราแค่พยายามหาตระกูลที่ดีให้กับหลาน เราไม่เห็นตัวตนที่แท้จริงของตระกูลหยุนจนเกือบจะผลักหลานเข้าไปในกองไฟ ปู่ต้องขอโทษหลานจริง ๆ แต่เราเป็นคนตระกูลเดียวกัน ไม่มีความเกลียดชังใดที่ไม่สามารถแก้ไขได้หรอก”

คำพูดของฮวาชิงซานอาจดูจริงใจ ซึ่งคนที่ไม่รู้ความจริงอาจหลงเชื่อการแสดงของพวกเขา

แต่คนที่อยู่ในนี้อยู่ระดับไหนกัน? พวกเขาที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดเป็นคนที่มีพลังจิตวิญญาณ พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ จนกระจ่างแจ้งได้ พวกเขาจึงไม่ถูกหลอกโดยง่าย พวกเขามองดูตระกูลฮวาที่น่ารังเกียจ มองดูฮวาชิงซานด้วยเหยียดหยามและลอบประเมินสมาชิกตระกูลฮวาคนอื่น ๆ

เธอรู้สึกผิดหวังกับตระกูลฮวามานานมากแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะฉู่ชวิ๋นคนพวกนี้จะมาขอโทษเธอได้ยังไง

ฮวาชิงซานเป็นผู้อาวุโสที่แสนเจ้าเล่ห์ เขาไม่สามารถโน้มน้าวฮวาชิงหวู่ได้ จึงดึงฮวาโม่เซี่ยออกมาด้วยความโกรธ

เขาพูดว่า “มันเป็นเพราะแก ดูสิว่าแกเลือกคู่ให้กับเสี่ยวหวู่ได้ห่วยแตกแค่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะปรมาจารย์ฉู่ ตระกูลของเราคงจมลงไปอยู่ในกองไฟแล้ว!”

ใบหน้าของฮวาโม่เซี่ยซีดจนเหมือนคนตาย ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าเขาถูกตัดหางปล่อยวัด อย่าว่าแต่จะได้ครอบครองอำนาจของตระกูลฮวาเลย ต่อไปตำแหน่งของเขาคงถูกลดลงมา และอาจถูกขับไล่ออกจากตระกูลก็เป็นได้

“เสี่ยวหวู่ เป็นเพราะพ่อเอง พ่อขอโทษ” ฮวาโม่เซี่ยก้มศีรษะลงด้วยความอับอาย “พ่อไม่ขอให้ลูกให้อภัย พ่อหวังเพียงแค่ให้ลูกมีความสุขในอนาคตก็พอ”

เขามองไปที่ฉู่ชวิ๋นและพูดว่า “ท่านปรมาจารย์ฉู่ มันเป็นความผิดของผมเองที่ทำผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วน แต่ผมมีลูกสาวคนเดียวคือเสี่ยวหวู่ ผมไม่มีอะไรจะขออีกแล้ว แค่อยากให้เธอมีความสุข ผมขอมอบเสี่ยวหวู่ให้กับท่าน เธอทนทุกข์ทรมานจากการแย่งชิงมามากแล้ว ได้โปรดดูแลเธอเป็นอย่างดีด้วยเถอะครับ”

เมื่อฮวาโม่เซี่ยเงยหน้าขึ้นน้ำตาก็ไหลออกมา

เมื่อเห็นแบบนั้นดวงตาของฮวาโม่เวิ่นกะพริบตาสองถึงสามครั้ง เขาเดินขึ้นไปหาฮวาชิงหวู่และพูดว่า “เสี่ยวหวู่ ฉันรู้ว่าเธอไม่สบายใจ แต่ยังไงเขาก็เป็นพ่อของเธอ ความเข้าใจผิดของพ่อกับลูกมันปรับความเข้าใจกันได้เสมอ กลับบ้านกับพวกเราเถอะ ฉันรับรองว่าพวกเราจะชดใช้สิ่งที่ติดค้างกับเธอตลอดเวลาที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”

“เสี่ยวหวู่ ได้โปรดกลับบ้านกับพวกเราเถอะนะ เธอเป็นลูกหลานของตระกูลฮวา มีอะไรก็กลับไปคุยที่บ้านนะ อย่าปล่อยให้คนอื่นหัวเราะเยาะเราที่นี่เลย” ฮวาโม่เหยียนเองก็โน้มน้าวเช่นกัน

ฮวาเซิ่งนิ่งเงียบ ท่าทีที่เขาแสดงออกมาไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“พี่ใหญ่คิดว่าฉันควรยกโทษให้พวกเขาแล้วกลับบ้านเหรอ?” ฮวาชิงหวู่เอ่ยถามฮวาเซิ่ง ฮวาเซิ่งไม่คิดว่าจะถูกถาม เขานิ่งไปสักพัก

แต่ไม่นานใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ และพูดว่า “ห้ามกลับไป”

“เซิ่งเอ๋อ” ฮวาโม่เหยียนกระซิบ

ฮวาชิงซาน ฮันโม่เวิ่น และฮวาโม่เซี่ย กำลังจ้องมองที่ ฮวาเซิ่งพร้อมคำเตือนในสายตาของพวกเขา

ฮวาเซิ่งไม่สนใจสายตาพวกนั้น เขาหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “น้องหกเป็นคนฉลาดมาก เธอฉลาดกว่าที่พวกคุณคิด สิ่งที่พวกคุณทำมันมากเกินไป”

ทันทีที่ฮวาเซิ่งพูดจบ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที

“เซิ่งเอ๋อ แกพูดจาอะไรเหลวไหล?” ฮวาชิงซานโกรธทันทีที่ได้ยิน