บทที่ 82 แสดงความเมตตา[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 82 แสดงความเมตตา[รีไรท์]

คำพูดของฮวาเซิ่งเทียบเท่ากับการฉีกหน้ากากความเจ้าเล่ห์ของตระกูลฮวาก็ว่าได้

“ไอ้หลานชั่ว พูดอะไรเหลวไหลห๊ะ!” ฮวาชิงซานตะโกนออกมา

เดิมทีใบหน้าของฮวาชิงซานก็ซีดพออยู่แล้ว พอได้ยินที่เซิ่งเอ๋อพูดเขาก็โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขาผิดหวังมากกับหลานชายผู้ซึ่งมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ

“ใช่เรื่องเหลวไหลแน่เหรอ?” รอยยิ้มของฮวาเซิ่งนั้นอ่อนโยนและถามออกมาว่า “การทำผิดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือการหลอกตัวเอง คนที่นี่มีใครโง่หรือเปล่า? การแสดงที่เกินจริงขนาดนี้ คิดว่าทุกคนโง่นักรึไง?”

“หุบปาก!” ฮวาโม่เหยียนส่งเสียงคำรามต่ำที่โกรธจัด

“คุณลุง ทำไมไม่ให้พี่ใหญ่พูดต่อละคะ?”

ฮวาชิงหวู่มองด้วยดวงตาเย้ยหยัน ในเวลานี้เธอยังคงคิดอยู่ว่า ตัวเธอมีประโยชน์อะไรอีก เขานี่มันดื้อด้านจริง ๆ

“เสี่ยวหวู่ มีอะไรจะพูดก็ไปพูดที่บ้าน อย่าให้คนนอกเห็นพวกเราเป็นตัวตลก” เขาดูไม่เป็นธรรมชาติมากเมื่อสังเกตเห็นดวงตาของฮวาชิงหวู่

ฮวาชิงหวู่อมยิ้ม มองไปที่ฮวาเซิ่ง “พี่ใหญ่ ทำไมพี่บอกไม่ให้ฉันกลับไปที่ตระกูลฮวา?”

“เพราะมันไม่สำคัญ….ไม่ว่าเธอกลับไปหรือไม่ สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือปรมาจารย์ฉู่!” ฮวาเซิ่งชี้ไปที่ฉู่ชวิ๋น

ด้วยคำพูดของฮวาเซิ่ง สายตาที่มองตระกูลฮวาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ฮวาเซิ่งกระชากหน้ากากความหน้าซื่อใจคดของตระกูลฮวาออกมา นี่คือการเปิดเผยใบหน้าอันแสนน่ารังเกียจต่อสาธารณชน

“ไอ้เฒ่าตระกูลฮวา ทำไมถึงหน้าด้านได้ขนาดนี้ อายุปูนนี้แล้ว ตลอดชีวิตที่ผ่านมาใช้ชีวิตเหมือนหมารึไง? ไม่ต้องพูดถึงท่านปรมาจารย์ฉู่หรอก ไอ้ความคิดนี้ของพวกแก พวกเราเองก็มองออก”

“ได้ยินมานานแล้วว่าคนตระกูลฮวามันไร้ยางอาย บังคับให้คุณหนูฮวาชิงหวู่แต่งงานกับหยุนหนานเฟิง เพื่อหวังที่จะเข้าไปในตระกูลหยุน”

“ฮวาชิงซาน แกคิดว่าทุกคนโง่กันหมดหรือไง ในโลกนี้แกฉลาดคนเดียวเหรอ? เห็นการปั้นหน้าสร้างเรื่องของแกแล้วอยากอ้วกว่ะ เพราะตระกูลหยุนพัง พอไม่มีความหวังเหลืออยู่เลยเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นปรมาจารย์ฉู่แทน?”

……

……

ผู้นำทั้งหมดของเมืองหยุนหยานอยู่ที่นี่ เป็นผู้มีอำนาจ ย่อมไม่เห็นตระกูลฮวาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความเมตตาอะไรให้ทั้งนั้น

ใบหน้าตระกูลฮวาทั้งหมดนั้นดูไม่ได้อย่างมาก ในเวลานี้ ฉู่ชวิ๋นผู้ซึ่งเงียบงัน จู่ ๆ ก็มองไปที่ฮวารุ่ย

ฮวารุ่ยสะดุ้งเฮือก แล้วรีบหลบสายตาเร่าร้อนที่กำลังจ้องมองหน้าอกของฮวาชิงหวู่ทันที

“ฉันจะไว้ชีวิต แต่ดวงตาคู่นั้น ฉันขอก็แล้วกัน!”

ในชั่วพริบตาที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว เส้นไหมวิญญาณสองเส้นถูกดีดออกมาจากปลายนิ้ว และพุ่งตรงไปที่ดวงตาทั้งสองของฮวารุ่ย

ด้วยการเคลื่อนไหวเบา ๆ ของนิ้วมือฉู่ชวิ๋น ลูกตาสองข้างของฮวารุ่ยก็ถูกควักออกมาและตกลงกับพื้น กลิ้งไปหลายตลบ

“อ๊ากก…!!”

เสียงกรีดร้องโหยหวนของฮวารุ่ยแผดออกมา มือของเขาปิดดวงตาเอาไว้ พร้อมเลือดสีแดงที่ไหลออกมาจากง่ามนิ้ว

“ตาฉัน ตาของฉัน ฉันมองไม่เห็นแล้ว!”

ฮวารุ่ยกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ทุกคนเงียบสงัด พวกเขารู้ดีว่าฮวารุ่ยต่อไปนี้คงได้แต่ต้องใช้ชีวิตในความมืดให้ได้เท่านั้น

เหตุใดฉู่ชวิ๋นจึงควักดวงตาของฮวารุ่ยออกมา? ทุกคนในตระกูลฮวาสามารถเดาได้ไม่ยาก เพราะสายตาของฮวารุ่ยที่มองฮวาชิงหวู่เต็มไปด้วยความโรคจิต ทำให้พวกเขาเดาได้ถึงเก้าในสิบ

หากมองแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่น คงแค่ถูกด่ากลับมาว่าโรคจิตทุกคนนั่นแหละ แต่ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นของฉู่ชวิ๋น! เขายังกล้าที่จะอยากได้ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ทุกคนรู้ว่าจุดจบของฮวารุ่ยเป็นเพราะเขาทำตัวเอง จึงไม่มีใครกล้าเห็นอกเห็นใจเขา

“รุ่ยเอ๋อ….”

เมื่อเห็นภาพที่น่าสังเวชใจของลูกชาย ฮวาโม่เหยียนก็รีบเข้าไปหาทันที

“แปะ!”

เสียงเบาๆ แต่ทำให้ฮวาโม่เหยียนเหมือนถูกฟ้าผ่า

ทุกคนมองไปที่เท้าของเขา ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้าง เขาเหยียบลูกตาของลูกชายตัวเองอยู่จริง ๆ

ฮวาโม่เหยียนลดหัวของเขาลง ใบหน้าซีดเหมือนไร้วิญญาณ เขาตะโกนและรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

“แปะ!”

เสียงอะไรแตกอีกหนึ่งเสียง ฮวาโม่เหยียนฝืนประคองศีรษะอย่างยากลำบาก ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีขาว เขาเป็นลมล้มลงไปแล้ว

เพราะดวงตาทั้งสองข้างของฮวารุ่ยถูกบดขยี้โดยเขาเอง คนที่เหลือกลั้นขำจนตัวสั่น พวกเขาทุกคนต้องเผชิญใบหน้าสีม่วงคล้ายกับท้องผูก

ฮวารุ่ยยังคงเจ็บปวดอยู่ เขาไม่รู้ว่าดวงตาของเขาถูกพ่อบดขยี้ไปเสียแล้ว ถ้ารู้ขึ้นมาคงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เขาใช่ลูกในไส้จริง ๆ หรือเปล่า?

ใบหน้าของตระกูลฮวาซีดเผือด พวกเขารู้ว่าคิดผิด พวกเขายังไม่ทันได้ปีนต้นไม้ต้นใหม่ แต่กลับทำให้คนกันเองทุกข์ทรมานใจ

มีเพียงฮวาเซิ่งเท่านั้นที่เห็นเป็นเรื่องปกติ เมื่อมองไปที่ ฮวารุ่ยที่ถูกห้อมล้อมด้วยความเศร้าใจ เขาก็ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “คุณไม่สามารถมีชีวิตอย่างมีความสุขได้ ถ้าคุณพลาดพลั้งทำอะไรผิดลงไป”

ต่อมาฮวาเซิ่งก้าวออกมา 2 ก้าว โค้งคำนับและกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ฉู่ ผมขอโทษท่านแทนลูกพี่ลูกน้องของผมด้วย หวังว่าท่านจะมีเมตตานะครับ”

ฉู่ชวิ๋นเงียบราวกับบอกว่าก่อนหน้านี้เขาใช้ตาเพียงคู่เดียวต่อชีวิตของฮวารุ่ย และเขาจะไม่อยากทำมันอีกครั้ง

“ขอบพระคุณครับ!”

ฮวาเซิ่งโค้งคำนับขอบคุณ จากนั้นฮวาเซิ่งก็ส่งตัวลูกชายของฮวาโม่เหยียนไปที่โรงพยาบาล บรรยากาศในที่เกิดเหตุนั้นดูอึมครึม และช่างน่าอึดอัดใจ ทุกคนกำลังรอฟังความคิดเห็นของฉู่ชวิ๋น

หากฉู่ชวิ๋นให้อภัยตระกูลฮวา พวกเขาจะต้องดูแลตระกูลฮวาในอนาคต แต่ถ้าหากฉู่ชวิ๋นไม่ยกโทษให้ ตระกูลฮวาจะต้องล้มละลาย และถูกลบออกจากเมืองหยุนหยานในวันพรุ่งนี้

ทุกคนในตระกูลฮวาเป็นเหมือนอาชญากรที่รอการพิจารณาคดี

ฮวาชิงหวู่จ้องมองฉู่ชวิ๋น เขายิ้มและพูดกับเธอว่า “ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ฉันก็ไม่ว่า”

ฮวาชิงหวู่ยิ้ม เธอมองไปที่ฮวาชิงซานและพูดว่า “ฉันต้องการให้เขาออกจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูลฮวา”

ใบหน้าของฮวาชิงซานซีดเผือด และดวงตาของเขาจ้องมองที่ฮวาชิงหวู่ เขาหลงใหลในอำนาจอิทธิพลตลอดชีวิตและแม้ว่ากำลังจะตายเขาก็ไม่เต็มใจที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง เห็นได้ว่าเขากระหายในอำนาจมากแค่ไหน

แต่เขาก็เข้าใจว่าไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้ ถ้าเขากล้าบอกว่าไม่ มันจะไม่มีตระกูลฮวาในเมืองหยุนหยานอีกต่อไป

“ฉันสัญญา!”

หลังจากพูดแบบนั้น ฮวาชิงซานก็รู้สึกเหมือนถูกดูดพลังออกไปจนหมด เขาดูอ่อนแอมาก เขาเดินสะดุดเท้าตัวเองแต่ฮวาเซิ่งยังคงประคองตัวเองไม่ให้ล้ม

ฮวาชิงหวู่เดินไปหาฮวาโม่เวิ่นที่อยู่ตรงหน้า และพูดว่า “คุณลุง ฉันต้องการให้คุณมอบสิทธิ์ในตระกูลทั้งหมดของคุณมาให้ฉัน”

ฮั่วโม่เหยียนถึงกับผงะไปชั่วขณะ ในที่สุดก็ถอนหายใจและยิ้มอย่างขมขื่นก่อนพยักหน้า ดวงตาของฮวาชิงหวู่ย้ายไปที่ ฮวาโม่เซี่ย

กำปั้นของฮวาโม่เซี่ยกำแน่นและคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เขากำลังต่อสู้ในหัวใจของเขา อีกไม่นานเขาก็ละทิ้งทรัพย์สมบัติของเขาไป

“สมบัติทั้งหมดของตระกูลฮวาจะต้องมอบให้กับฉัน และฉันจะเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด จากนี้ไปฉันจะรับผิดชอบตระกูล ฮวาชั่วคราว” ฮวาชิงหวู่พูดเสียงดัง

“ฉันยังคงเด็กมาก คงได้แต่พึ่งพาคุณลุงและทุกท่านเท่านั้น ได้โปรดช่วยกันด้วย!”

ฮวาชิงหวู่โค้งคำนับกับผู้คนรอบตัว คนเหล่านี้รีบคำนับกลับตามพิธีทันที ผู้หญิงคนนี้เป็นของฉู่ชวิ๋น พวกเขาไม่กล้าอยู่เหนือกว่าอยู่แล้ว

“ขอแสดงความยินดีกับน้องหกด้วยนะ!” รอยยิ้มของฮวาเซิ่งนั้นละมุนและไม่สามารถเห็นความคิดที่แท้จริงในหัวใจของเขาได้

“ทุกคนกลับไปที่ตระกูลฮวาก่อน ฉันจะแจ้งว่ามีการประชุมในเช้าวันพรุ่งนี้ ฉันมีเรื่องที่จะประกาศ ถ้ามีคนมาสายหรือไม่มา อย่าหาว่าฉันโหดที่ต้องไล่ออกจากตระกูลฮวาล่ะ” สิ้นถ้อยคำของฮวาชิงหวู่ มันเท่ากับว่าเธอได้ควบคุมตระกูลเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

……

……

ตระกูลฮวาจากไปแล้ว!

คนมากกว่าหนึ่งโหลต่างก็รีบแยกย้าย!

“รอเดี๋ยว…” ฉู่ชวิ๋นตะโกนเรียกทุกคน

เขาหยิบกล่องไม้สี่เหลี่ยมออกมาจากของกำนัลทั้งหมดบนโต๊ะ เมื่อเปิดกล่องไม้ก็พบว่ามีโสมอยู่ในนั้น

“ใครนำสิ่งนี้มา?” ฉู่ชวิ๋นถาม

เกาจินเผิงก้าวเท้าออกมายืนราวกับเด็กประถม และเอ่ยขึ้น

“ท่านปรมาจารย์ฉู่ ผมเป็นคนนำมาเองครับ ผมได้ของสิ่งนั้นมาด้วยราคาที่สูงมาก ผมหาคนมาดูแล้ว มันเกิน 200 ปีแน่นอนครับ”

เกาจินเผิงนึกว่าฉู่ชวิ๋นรังเกียจที่ของขวัญราคาถูกของเขา ดังนั้นเขาจึงอธิบายด้วยความตกใจ

ฉู่ชวิ๋นโบกมือให้เขาสงบใจ ก่อนจะพูดว่า “ไม่ได้ว่าอะไร แค่จะบอกว่าของขวัญชิ้นนี้ดีมาก”

เกาจินเผิงรู้สึกดีใจและภูมิใจที่ได้เห็นสายตาคนอื่นๆ เหมือนจะบอกเป็นนัยว่า ดูท่านปรมาจารย์ฉู่ชื่นชมเขาสิ

“ฉันไม่ชอบเป็นหนี้ใคร รอเดี๋ยวน่ะ!”

ฉู่ชวิ๋นจัดการใช้ทักษะ ‘ค่ายกลเก้ามังกรเพลิงสุริยัน’ ระดับต่ำ ออกมาทันที

“ตื่น!”

หลังจากตกอยู่ในภวังค์ เขาก็ตื่นด้วยเสียงกระตุ้นเบาๆ ของฉู่ชวิ๋น!

ฝูงชนตกตะลึงและดวงตาก็พองโตด้วยความตกใจ พวกเขาเห็นมังกรไฟผุดขึ้นจากพื้นดินและลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า น่าแปลกที่พวกเขาไม่รู้สึกถึงความร้อนเลย

ฉู่ชวิ๋นโยนโสมในมือและเครื่องดื่มชนิดหนึ่งลงไปในค่ายกล แล้วพูดเบา ๆ “ดูดกลืน”

จากนั้นมือของเขาก็ประสานนิ้วมืออย่างซับซ้อนและรวดเร็ว

ทุกคนเห็นโสมโบราณที่ลอยอยู่ในอากาศอย่างน่าประหลาดใจ ภายใต้มีมังกรแหวกว่ายตลอดเวลา ของเหลวสีทองหยดออกมาจากโสมโบราณ แต่มันไม่ได้หยดลงบนพื้น

แต่กลับลอยขึ้นวนไปวนมาอยู่ในค่ายกล

ของเหลวสีทองโผล่ออกมาอีกหยดหนึ่ง ในไม่ช้าของเหลวสีทองก็มีมากขึ้น ในที่สุดก็ถึง 20 หรือ 30 หยด มันเป็นสีทองที่ล่องลอยระยิบระยับอยู่ในอากาศ

ราวกับกำลังเชิญชวน! ดื่มฉันสิ!

ด้วยเสียงดังเล็กน้อย โสมโบราณกลายเป็นฟอง ฉู่ชวิ๋นเริ่มประสานมือเร็วขึ้นเรื่อยๆ ของเหลวสีทอง 20 หรือ 30 หยดกลายเป็นฟองในอากาศควบแน่นกลายเป็นเม็ด หมุนอยู่ในอากาศอย่างรวดเร็ว มันแวววาวและเคลือบด้วยชั้นสีทองลอยไปที่ลานบ้าน ซึ่งทุกคนมัวหมกมุ่นอยู่กับวิสัยทัศน์นี้

“เก็บ!” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้น!

ทันใดนั้นมังกรไฟก็หายไป ไข่มุกทองคำ 20 หรือ 30 เม็ดก็ลอยอยู่ในอากาศ ฉู่ชวิ๋นยื่นมือของเขาออกมาและไข่มุกก็ลอยไปตกลงบนฝ่ามือของเขา

ฝูงชนสีหน้าตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ พวกเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เทพเจ้า? มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้ เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ พวกเขารู้สึกมีแรงกระตุ้นให้คุกเข่าและคารวะ

“คนละ 1 เม็ด!” ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นอย่างเบามือ

ไข่มุกทองคำ 1 โหลลอยออกไปอย่างแปลกประหลาดต่อหน้าคนเหล่านี้ มหัศจรรย์มาก บางคนที่มีความกล้าหาญหน่อยก็เอื้อมมือไปแตะไข่มุกสีทอง เนื้อสัมผัสมันเหมือนจริงไม่ใช่ภาพลวงตา

“ท่านปรมาจารย์ฉู่ นี่คืออะไรครับ?” บางคนอยากรู้อยากเห็นเอ่ยถามขึ้น

“นี่เป็นยาอายุวัฒนะชนิดหนึ่ง มันสามารถรักษาโรคทุกชนิดและรักษาอาการอื่น ๆ ได้ทั้งหมด” ฉู่ชวิ๋นกล่าว

ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นสร้างรากฐานลมปราณ เขาสามารถปรับแต่งยาบางชนิดหรือระดับต่ำแบบนี้ได้ อันที่จริงแล้วไข่มุกทองคำเหล่านี้ไม่ใช่แม้แต่เม็ดยา พวกมันเป็นเพียงแก่นแท้ของโสมโบราณที่ผสานเข้ากับพลังของเขาแล้วกลั่นเป็นยาออกมา

จริง ๆ เหรอ? มันลึกลับเกินไปที่จะเป็นยาที่สามารถรักษาได้ทุกโรค

“ท่านฉู่ชวิ๋น ยานี้ช่วยรักษาโรคได้ทุกโรคจริงเหรอ?” มีคนถามอีกครั้งด้วยความหวัง

ท้ายที่สุดแล้ววิธีการของฉู่ชวิ๋นนั้นเหมือนเทพเจ้าไม่มีผิด ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะเชื่อ ฉู่ชวิ๋นมองไปที่ชายคนนั้นและพูดด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอน รวมถึงโรคซ่อนเร้นของคุณ ยานี้ก็สามารถกำจัดโรคนั้นออกไปได้”

โดยทั่วไปผู้คนมักนึกถึงโรคที่ซ่อนเร้น ช่วยไม่ได้ที่มันทำให้พวกเขานึกถึงช่วงล่างของผู้ชาย นี่คือจางชางเหวิน ประธานกลุ่มตะวันออกของจีน เขามีอิทธิพลอย่างมากในเมืองหยุนหยาน

ในเวลานี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงและทุกคนก็เดาได้ว่าโรคลับนี้คือโรค

 ‘นกเขาไม่ขัน’ อย่างแน่นอน

เขาไปพบแพทย์ที่มีชื่อเสียงตลอดเวลา แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ไม่เป็นที่น่าพอใจ และเขาได้พบฉู่ชวิ๋นโดยบังเอิญ

เขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคือง แต่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขามองดู สีทองที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความหวังว่าบางทีเม็ดทองคำเหล่านี้อาจรักษาโรคซ่อนเร้นของเขาได้

จางชางเหวินยื่นมือออกมาแล้วคว้ามันไว้ ก่อนจะกลืนมันลงไปต่อหน้าทุกคน “คุณหนูฮวา วิวตรงสนามหญ้ามีวิวทิวทัศน์ที่สวยดี ฉันจะพาคุณไปดูเอง”

นักพนันสาวเลือกที่จะออกจากที่นี่พร้อมกับฮวาชิงหวู่และซูถัง ฉากที่เหลืออยู่เป็นส่วนของผู้ชาย จางชางเหวินรู้สึกว่าหลังจากที่ไข่มุกทองคำเข้าไปในร่างกาย มันก็ทำให้ราวกับว่าภายในร่างกายของเขามีกระแสบางอย่างที่ร้อนแรงและวิ่งลงไปที่หน้าท้องของเขา

จากนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกสบายทั่วร่างกาย จางชางเหวินรู้สึกว่ามีสิ่งที่ร้อนผ่าวและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ไม่มีการตอบสนองมานานหลายปี เขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น เขารู้สึกว่ามันหายดีแล้วจริง ๆ

“ฉันหายแล้ว! ฉันหายแล้ว!”

จางชางเหวินก็เปิดกางเกงในของตัวเองดูแล้วตะโกนอย่างตื่นเต้น คนอื่น ๆ เมื่อเห็นดังนั้น หันไปจับไข่มุกทองคำในอากาศทันที