บทที่ 39

 

 

นับตั้งแต่วันเปิดร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันของท่านพ่อ ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว

 

หากจะพูดถึงผลลัพธ์ ก็คงต้องบอกว่ากิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปนั้นประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

 

จนถึงวันนี้ พวกเขาขายสินค้าได้หมดก่อนจะถึงเวลาปิดร้านทุกวัน จนต้องปิดร้านไวกว่าปกติ

 

คำว่า ‘เสื้อผ้าสำเร็จรูป’ ตอนนี้ได้ถูกแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรแลมบลู ราวกับกลายเป็นคำสรรพนามใช้แทนร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันไปแล้ว

 

เพราะพวกเขาไม่สามารถผลิตให้เพียงพอกับอุปสงค์ของผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาได้ ไม่นานมานี้จึงต้องจ้างคนตัดเย็บและโรงงานทอผ้าให้ผลิตเสื้อผ้าเพิ่มขึ้น และจำนวนนั้นก็มากเป็นสามเท่าของจำนวนคนงานที่เคยว่าจ้างเมื่อตอนแรก

 

ในเวลานี้พวกเขาก็กำลังมองหาสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อเปิดร้านสาขาเพิ่ม

 

ผู้คนมากมายกำลังตกใจกับการคิดค้นไอเดียใหม่อย่างเสื้อผ้าสำเร็จรูป และราคาของเสื้อผ้าที่ย่อมเยา

 

อย่างไรก็ตาม คนที่ตกใจกับความสำเร็จของธุรกิจครั้งนี้มากที่สุด กลับกลายเป็นผู้คนในตระกูลลอมบาร์เดีย

 

ผู้คนในตระกูลที่เคยคิดว่า ท่านพ่อแทบจะไม่มีตัวตนในสายตาคนอื่น ทั้งยังเป็นแค่น้องเล็กนิสัยทึ่มทื่อที่ชอบอ่านแต่หนังสือ ต่างก็ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ตาลปัตรที่เกิดขึ้น

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนถึงกับคิดว่า ‘นี่ใช่แคลอฮันคนนั้นที่พวกเขารู้จักจริงๆ หรือเปล่า’ ทั้งยังตรวจสอบกับเครย์ลีบันอยู่หลายครั้งหลายครา

 

ฐานะของท่านพ่อจึงแตกต่างไปจากเมื่อสองสัปดาห์ก่อนเป็นอย่างมาก

 

ยิ่งไปกว่านั้น เพราะท่านพ่อ วันนี้คฤหาสน์จึงอึกทึกครึกโครมตั้งแต่เช้า มันไม่ใช่งานที่ไม่ว่ายังไงทุกคนก็ต้องเข้าร่วมเหมือนงานเลี้ยงเมื่อคราวก่อน เป็นเพียงแค่มื้อเช้าที่ทุกคนต่างก็มีอิสระในการเลือกว่าจะมาร่วมกันรับประทานหรือไม่ก็ได้

 

ยกเว้นเวสตินที่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ กับครอบครัวลอเรนซ์ที่ไปพักอยู่ที่บ้านภริยาอย่างตระกูลคิเนฟอร์คตลอดช่วงสุดสัปดาห์ ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันหมด

 

เธอนั่งลงข้างท่านพ่อ ใช้ส้อมจิ้มผลไม้เข้าปาก ในขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตใบหน้าของผู้คนซึ่งนั่งอยู่รอบๆ โต๊ะไปด้วย

 

ท่านปู่หัวเราะด้วยความพอใจ ในขณะที่มองเหล่าข้ารับใช้เดินเข้าออกห้องอาหารกันอย่างยุ่งวุ่นวาย

 

“ฮ่าฮ่า! ดูดีจริงๆ เลยนะ ว่ามั้ยล่ะ ชานาเนส”

 

“ค่ะ ท่านพ่อ พวกคนงานเองก็ชอบใจกันมากเลยละค่ะ”

 

“ไอ้ของที่เรียกว่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปนั่น มันช่างสะดวกสบายจริงๆ เลยนะ แคลอฮัน!”

 

ร้านขายเสื้อผ้าของท่านพ่อ หลังจากที่เปิดตัวก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เพียงไม่กี่วันยังได้รับคำสั่งซื้อปริมาณมหาศาลว่าจะซื้อเสื้อผ้าแบบเดียวกันหลายร้อยตัวในครั้งเดียว

 

คนที่สั่งซื้อก็คือตระกูลลอมบาร์เดียนั่นเอง

 

ลอมบาร์เดียเลือกเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน นำมาใช้เป็นยูนิฟอร์มของพวกคนงานที่ทำงานอยู่ภายในคฤหาสน์

 

ด้วยคำสั่งซื้อนั่น ทำให้ท่านปู่กลายเป็นลูกค้าระดับวีไอพีของร้านขายเสื้อผ้าในทันที และวันนี้ก็คือวันแจกจ่ายเสื้อผ้าที่สั่งซื้อไว้พวกนั้นให้แก่บรรดาข้ารับใช้

 

ชุดยูนิฟอร์มโดยรวมแล้วเป็นสีถั่วแดงหรือสีบากันดีเข้ม มันเป็นชุดเดรสที่พวกผู้หญิงสามารถใส่เสื้อไว้ข้างในอีกชั้นได้อย่างอิสระ ส่วนพวกผู้ชายจะเป็นกางเกงกับเสื้อกั๊กที่ใส่คู่กับเสื้อเชิ้ตหลากสไตล์ตามที่แต่ละคนต้องการได้เช่นกัน

 

เดิมทีร้านขายเสื้อผ้านั้นขายเฉพาะเสื้อผ้าผู้หญิง แต่เพราะคำสั่งซื้อในครั้งนี้จึงทำให้ต้องตัดเย็บเสื้อผ้าผู้ชายขึ้นมาด้วย ทว่าต่อให้คำนวณเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว กำไรที่เหลือก็ยังถือว่ามีมากมหาศาล มันเป็นคำสั่งซื้อที่เยอะมากจริงๆ

 

“ขอบคุณที่ชมครับ ท่านพ่อ”

 

ท่านพ่อพยักหน้าด้วยใบหน้าขวยเขินเล็กน้อยและท่ามกลางหลายสิ่งหลายอย่าง สิ่งที่เธอชอบมากที่สุดก็คือการเปลี่ยนไปในเรื่องนี้นั่นเอง

 

“อะแฮ่ม”

 

เบเจอร์กระแอมไอเสียงต่ำ เอาแต่ดื่มน้ำใสสะอาด

 

“คิดไอเดียบรรเจิดแบบนั้นได้ยังไงเนี่ย แคลอฮัน”

 

ท่านปู่เอ่ยถามท่านพ่อด้วยใบหน้าพึงพอใจ

 

“ฮึ่ม”

 

ยิ่งเสียงชมเชยดำเนินต่อไป ใบหน้าของเบเจอร์ก็ยิ่งแข็งทื่อลงไปเรื่อยๆ

 

ถึงแม้จะแสร้งทำตัวยึดติดอยู่กับความคิดของตัวเอง แต่ใต้ตาที่กระตุกถี่ยิบเป็นระยะนั่น มันทำให้รู้ว่าข้างในกำลังโมโหจนเดือดพล่านขนาดไหน

 

อา น่าสนุกจัง!

 

เบเจอร์ไม่มีทางทนให้ความสนใจของตระกูลกับอาณาจักรหันเหไปทางท่านพ่อได้แน่นอน

 

ฟีเรนเทียมองเบเจอร์ที่มีสีหน้าเช่นนั้นตรงๆ จนสุดท้ายเธอต้องหยิกต้นขาเอาไว้ เพื่อพยายามอดกลั้นไม่ให้เผลอหลุดหัวเราะออกมาโจ่งแจ้งเกินไป

 

“โยฮัน”

 

ท่านปู่เอ่ยเรียกพ่อบ้านที่ยืนรออยู่ด้านข้าง

 

“ครับ ท่านเจ้าตระกูล”

 

“พวกคนงานว่ายังไงกันบ้าง ชอบใจกันอย่างที่ชานาเนสบอกหรือเปล่า”

 

“ทุกคนบอกว่าไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้ากันอีกต่อไปแล้ว และยังรู้สึกขอบคุณมากด้วยครับ”

 

“ฮ่าฮ่า อืม ดีแล้วละ ดี”

 

ท่านปู่พยักหน้าไม่หยุดด้วยความพอใจ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

 

“ถ้าหากเสื้อผ้ามีปัญหา หรือมีคนต้องการเสื้อผ้าสำรองช่วยทำให้สามารถหาซื้อได้เป็นระยะด้วยนะ เป็นไปได้ใช่มั้ย แคลอฮัน”

 

“ครับ แน่นอนครับ จะสั่งการเอาไว้ให้นะครับ ถ้าโยฮันติดต่อไปยังร้านขายเสื้อผ้า จะให้จัดการส่งสินค้ามายังคฤหาสน์ได้ตลอดครับ”

 

พ่อบ้านดูจะตกใจกับคำพูดของท่านปู่เล็กน้อย ก่อนจะยิ้มพร้อมกับโค้งคำนับท่าทางเปี่ยมไปด้วยความเคารพและความรู้สึกขอบคุณ

 

“อืม และก็แคลอฮัน”

 

“ครับ ท่านพ่อ”

 

“ทำได้ดีมาก”

 

เพียงแค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้นคำพูดชมเชยประโยคเดียว ราวกับคำพูดไม่สลักสำคัญอะไรที่บิดาเอ่ยพูดกับบุตรชายแต่ไม่ต่างจากการส่งเสียงดังกึกก้อง

 

พฤติกรรมของทุกคนที่นั่งล้อมโต๊ะอาหารต่างก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แม้แต่พ่อบ้านโยฮันยังมองท่านปู่ด้วยสีหน้าว่างเปล่า

 

“ฮึ่มๆ”

 

แม้แต่ท่านปู่ยังต้องกระแอมไอเมื่อรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้างก่อนจะลงมือทานอาหารต่ออย่างรวดเร็ว

 

“…ขอบคุณครับ ท่านพ่อ”

 

ท่านพ่อเองก็ตกใจไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยตอบเสียงแผ่ว

 

ในตอนนั้นเอง เซรัลก็พูดแทรกด้วยโทนเสียงสูงจนโอเวอร์

 

“ตอนนี้อีกไม่กี่วันก็ถึงวันที่เบเลซักของพวกเราจะเข้าวังแล้วนะคะ ท่านพ่อ”

 

อีกฝ่ายทำเป็นพูดจาไหลลื่น ตั้งใจที่จะเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาจากเรื่องท่านพ่อไปเป็นเรื่องของเบเลซักลูกชายของตัวเอง

 

“เอาของขวัญอะไรไปมอบให้ดีคะ”

 

แต่ฟีเรนเทียรู้ว่าเซรัลไม่ได้ต้องการขอความเห็นจริงๆ หรอก

 

พูดง่ายๆ ก็คือ มันเป็นคำพูดขอให้มอบสิ่งของที่เหมาะสมในบรรดา ‘สมบัติของตระกูล’ ออกมา

 

ชานาเนสไม่มีทางไม่รู้ความหมายที่ซ่อนไว้อยู่ในคำพูดนั่น หน้าผากงามจึงขมวดนิ่วลงพลางเอ่ยพูด

 

“แค่พวกเด็กๆ พบปะแล้วเล่นกัน จำเป็นต้องนำของขวัญไปด้วยอย่างนั้นหรือ”

 

“ไม่ใช่เด็กชนชั้นสูงคนอื่นเสียหน่อย นี่คือเจ้าชายลำดับที่หนึ่งผู้ที่จะขึ้นเป็นองค์รัชทายาทในอนาคตนะคะ เข้าวังไปพบเป็นครั้งแรก ก็ต้องนำของขวัญเชิดหน้าชูตา…”

 

“ถ้าอย่างนั้นก็เลือกของขวัญที่เหมาะสมกับสถานการณ์ไปสักชิ้นก็แล้วกัน”

 

“แต่ท่านพี่…”

 

“เซรัล”

 

ท่าทางเข้มงวดของชานาเนสทำให้เซรัลแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อและหันไปมองท่านปู่ราวกับร้องขอความช่วยเหลือ

 

“…ก่อนเข้าวังก็ไปเอากุญแจคลังจากโยฮันก็แล้วกัน”

 

ห้องเก็บสมบัติที่ท่านปู่เรียกว่า ‘คลัง’ มันคือตู้นิรภัยที่ตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของคฤหาสน์

 

ฟีเรนเทียเองก็เคยเข้าไปอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยสมบัติที่ตระกูลลอมบาร์เดียเก็บรักษามาตลอดหลายร้อยปี คลังของตระกูลลอมบาร์เดียกินพื้นที่ลึกลงไปชั้นใต้ดินทั้งหมดสามชั้น ข้างในนั้นมันใหญ่มากเสียจนถ้าหากเดินไม่ดีก็อาจจะหลงทางเอาได้

 

ที่ท่านปู่บอกว่า ‘เอากุญแจไป’ พูดอีกอย่างก็คือ ให้ไปเลือกของข้างในนั้น เอาไปมอบเป็นของขวัญให้เจ้าชายได้ตามสบาย

 

ดูจากการที่ใบหน้าของเซรัลเบิกบานขึ้นทันทีราวกับเปลวไฟที่ส่องสว่าง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย

 

ชานาเนสไม่พอใจในการตัดสินใจเช่นนั้นของท่านปู่ แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรเพิ่ม

 

“ขอบคุณค่ะ ท่านพ่อ”

 

เซรัลลูบศีรษะของเบเลซักที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางหัวเราะ เบเจอร์เองก็คลายสีหน้าลงไปคล้ายกับสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

 

เบเลซักไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าพวกผู้ใหญ่กำลังพูดอะไรกันอยู่ เขากำลังยุ่งอยู่กับการกวาดเบคอนใส่เข้าปากด้วยความตะกละ