ตอนที่ 81-2 ท่านสามควบคุมตัวเองไม่ได้

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ในศาลา สนมเฉินในตอนนี้อยากบอกเฉินจื่อหลิง น้องสาวของตนว่า ให้หาเจ้าบ่าวดีๆ สักคน แต่น้องสาวเข้าร่วมงานเลี้ยงมาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ปีนี้พอได้ยินว่าเพื่อนสนิทที่สุดของนางอย่างคุณหนูบ้านรองเจ้ากรมอวิ๋นซึ่งมาร่วมงานเลี้ยงด้วย ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีที่ตึกไจซิง ตอนนี้จึงกลอกตา หัวเราะ แล้วหันไปบอกไทเฮา

 

 

“ไทเฮาเพคะ อย่าพูดไป คุณหนูอวิ๋นที่มาเป็นเพื่อนสนมเอกเฮ่อเหลียนในวันนี้ ร้ายกาจมากเลยเพคะ พอจะเทียบรัศมีคุณหนูอวี้ได้อยู่ ได้ยินมาว่า พอก้าวเข้ามาในตึกไจซิง คุณชายชั้นสูงหลายคนก็พากันส่งเด็กรับใช้ไปถามไถ่ไม่รู้จักหยุดหย่อน”

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นได้ยิน ก็เอียงร่างไปพูดเสียงต่ำกับเฉินจื่อหลิง

 

 

“พี่สาวเจ้ากำลังจับเราสองคนมัดรวมกันแล้วขายในทีเดียว?”

 

 

เฉินจื่อหลิงเข้าใจ ตอนนางได้ยินพี่สาวพูด ก็รู้แล้วว่าพี่สาวอยากให้รัศมีของอวิ๋นหว่านชิ่น ส่องมาถึงตนบ้าง เผื่อตนอาจมีโอกาสออกเรือนเพิ่มมากขึ้น! พี่สาวนี่ก็ จริงๆ เลย…

 

 

เจี่ยไทเฮาสงสัย “คุณหนูอวิ๋น? คุณหนูอวิ๋นบ้านไหน?”

 

 

เจี่ยงฮองเฮาชำเลืองมองอวิ๋นหว่านชิ่น ก่อนตอบ

 

 

“เรียนเสด็จแม่ ลูกสาวคนโตของรองเจ้ากรมกลาโหมกลาโหมฝ่ายซ้ายเพคะ”

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนแอบดึงกระโปรงอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ทัน จึงรีบลุกขึ้นยืน ก้มหน้าเดินเบาๆ ออกไป คุกเข่าคารวะ

 

 

“หม่อมฉันแซ่อวิ๋น นามหว่านชิ่น บิดาอวิ๋นเสวียนฉั่ง เป็นรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายซ้าย ปีนี้หม่อมฉันโชคดี ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์เฉลิมพระชนม์ไทเฮา ขอความสาวอยู่คู่พระองค์ตลอดกาล และทรงพระเกษมสำราญอยู่เป็นนิจ”

 

 

คุณหนูลูกขุนนางชั้นสูงมีมากจนเกินไป พินิจเฉพาะที่รูปโฉมงดงามและฉลาดเฉลียวก็ตาลายแล้ว แต่เมื่อสนมเฉินพูดถึง เจี่ยไทเฮาก็ว่าจะถามไถ่พอเป็นพิธี แล้วบอกให้นางกลับไปนั่งตามเดิม

 

 

คิดไม่ถึงว่าคำอวยพรของเด็กสาวกลับไม่เหมือนผู้อื่น คำว่า ‘ขอความสาวอยู่คู่พระองค์ตลอดกาล และทรงพระเกษมสำราญอยู่เป็นนิจ’ ทำให้ตนอึ้ง

 

 

คำอวยพรของผู้อื่นล้วนแล้วแต่เป็นคำโบราณแบบเดิมๆ อย่างทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน อายุยืนหมื่นๆ ปี เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร อะไรทำนองนี้…ดีก็ดีล่ะ เพียงแต่คล้ายขาดสีสันและไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจ ทว่าคำอวยพรของเด็กสาวคนนี้ กลับโดนใจตน

 

 

จริงอยู่ แม้คำว่า ‘ขอความสาวอยู่คู่พระองค์ตลอดกาล และทรงพระเกษมสำราญอยู่เป็นนิจ’ จะเป็นคำที่เรียบๆ ง่ายๆ ไม่หรูหรา แต่กลับจริงใจ และใครๆ ก็อยากเป็นเช่นนี้จริงๆ

 

 

เจี่ยไทเฮาจึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเงยหน้าขึ้นซิ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ลังเลใจ แก้มบนใบหน้าดุจหยกสลักแดงเล็กน้อย

 

 

ถ้าจะบอกว่า การพบกับผู้อาวุโสซึ่งเป็นที่เคารพยิ่งในต้าเซวียนเป็นครั้งแรกนั้น นางไม่ตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย ย่อมเป็นการพูดโกหก! แม้นางอยู่มามากกว่าผู้อื่นชาติหนึ่ง แต่ชาติก่อนนางก็ไม่เคยพบไทเฮา

 

 

นางจึงได้แต่ติ๊ต่างว่าเจี่ยไทเฮาก็คือท่านย่าถงที่บ้าน พอคิดเช่นนี้ ก็ผ่อนคลายคงไม่น้อย ร่องแก้มทั้งสองข้างจึงค่อยๆ บานออก

 

 

เจี่ยไทเฮาเห็นว่า แม้นางอายุยังน้อย หน้าตาก็มิได้สวยไปกว่าสาวๆ ที่ตนเคยพบเห็นมา แต่บุคลิกกลับประทับใจคน ยิ้มก็หวาน ดูไม่เกรงกลัวตนแต่อย่างใด โดยเฉพาะการแต่งหน้าแต่งตัวที่ทันสมัย จึงรู้สึกดีด้วย

 

 

“คำอวยพรของเจ้าถูกใจข้ายิ่ง”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นทอประกายตา พลางแย้มยิ้ม

 

 

“นอกจากคำอวยพรแล้ว หม่อมฉันยังเตรียมของขวัญมามอบให้พระองค์ด้วยเพคะ”

 

 

กลางดึกเมื่อวันก่อน ตอนจางเต๋อไห่มาเชิญให้นางเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังนั้น นางก็เริ่มคิดแล้วว่า จะมอบของขวัญอะไรให้ไทเฮาดี ซึ่งงานนี้แม้มิใช่พิธีเฉลิมพระชนมพรรษา แต่ก็เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ที่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัวหลังเสร็จพิธี ซึ่งอยู่ในบรรยากาศการเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของเจี่ยไทเฮา นางจึงใช้เวลาหนึ่งวัน ในการเตรียมของขวัญวันเกิดหลายอย่าง และวันนี้ก็นำมาด้วย โดยฝากไว้กับเจ้าหน้าที่ๆ เฝ้าประตูวัง

 

 

เมื่อเจี่ยไทเฮาได้ยิน ก็รู้สึกทึ่ง หลายปีมานี้ นางได้รับของขวัญชิ้นใหญ่จากเหล่าขุนนางและชาวต่างถิ่นมากมายพอควร ไม่รู้ว่านังหนูที่ถูกชะตาเมื่อแรกพบนี้จะให้อะไรนางอีก จึงสนอกสนใจขึ้นมา

 

 

“ดีทีเดียว ข้าจะรอดูของขวัญของเจ้า” แล้วจึงหันบอกจูซุ่นให้ช่วยนำเข้ามา

 

 

อวี้โหรวจวงแค่นหัวเราะ หลายปีมานี้ ยังมีอะไรที่ไทเฮาไม่เคยเห็นบ้าง ของขวัญชิ้นใหญ่สุดที่ชาวต่างถิ่นจากดินแดนตะวันตกมอบให้ก็คือ เมืองๆ หนึ่ง นี่คิดจะใช้ของขวัญวันเกิดเอาใจไทเฮา ทั้งๆ ที่บิดาเจ้ามีเงินเดือนจำกัดเช่นนั้นหรือ ดูซิว่าเจ้าจะส่งของมีค่าอะไรให้!

 

 

จะว่าเอาใจก็ไม่ถูก อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าวังมาในฐานะแขกที่มาบ้านคนอื่น จึงรู้สึกว่าเมื่อเป็นแขกทั้งที ถ้ามามือเปล่า ก็ดูเสียมารยาท และตนก็เพิ่งเข้าวังเป็นครั้งแรก จะเสียมารยาทไม่ได้เป็นอันขาด เตรียมของขวัญไว้ก่อนเป็นดี ตอนนี้เมื่อมีโอกาสพูดคุยกับไทเฮา จะให้ของขวัญเสียเปล่าไปใย และคิดขึ้นได้ว่า ของขวัญที่เตรียมไว้เมื่อวาน มีชิ้นหนึ่ง เหมาะกับไทเฮาพอดี จึงบอกกับขันทีจูซุ่น

 

 

พอจูซุ่นฟังคุณหนูอวิ๋นพูดจบ ก็พาขันทีกับผู้คุ้มกันออกไปจำนวนหนึ่ง ผ่านไปสักพัก ขันทีสองคนก็ยกของชิ้นหนึ่งเข้ามาตั้งหน้าศาลา ดูคล้ายแผ่นกระดานแผ่นหนึ่ง สูงราวครึ่งตัวคน กว้างราวห้าศอก ด้านล่างมีขาสองข้างโผล่ออกมา คลุมด้วยผ้าไหมสีแดง ไม่รู้ว่าคืออะไร

 

 

“นี่คือ…” เจี่ยไทเฮาโน้มตัวเพ่งมอง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ ก้าวเข้าไป ยื่นมือเรียวยาวออก เสียง ‘ฟึ่บ’ ผ้าไหมสีแดงถูกดึงลง ฉากกั้นห้องขนาดย่อมตั้งอยู่ตรงหน้า ทุกคนพากันตะลึงงัน

 

 

อวี้โหรวจวงที่นั่งลุ้นจนตัวโก่ง ตอนนี้ค่อยถอนหายใจออกมาได้ ก่อนนั่งกลับท่าเดิม มุมปากปรากฏ

 

 

รอยยิ้มเย้ยหยัน และแล้วก็เป็นคนที่ไม่เคยเข้าสังคมมาก่อนจริงๆ ถึงได้คิดว่าไทเฮาเป็นป้าบ้านนอกคนหนึ่ง? ให้ฉากกั้นห้องเป็นของขวัญเนี่ยนะ! อยากเด่นอยากดัง ก็ต้องดูว่ามีความสามารถหรือไม่ ถ้าไม่คิดแย่งความเด่น ก็อาจหลงเหลือภาพดีๆ ให้ประทับใจอยู่บ้าง

 

 

ลูกท่านหลานเธอที่นั่งกันอยู่ พอเห็นว่าของขวัญคือฉากกั้นห้องแผงหนึ่ง แม้ผ้าที่ขึงตึงเป็นผ้าเนื้อดีมีราคา แต่ก็มิใช่ของที่มีเพียงชิ้นเดียวในใต้หล้า ภาพปักบนผืนผ้าเป็นรูปอะไร จึงคร้านที่จะดูให้ถ้วนถี่ ด้วยไม่อยู่ในความสนใจอีก แต่กลับได้ยินน้ำเสียงแสดงความชอบใจดังมาจากด้านบน

 

 

“เอ๋ นี่คือ…”

 

 

เจี่ยไทเฮาลุกขึ้นยืน “…เร็ว นำฉากกั้นเข้ามาใกล้ๆ หน่อย ข้าจะดูให้ถ้วนถี่”

 

 

จูซุ่นจึงรีบโบกมือ ขันทีสองคนค่อยยกฉากกั้นเข้าไปในศาลา แล้ววางลงตรงหน้าเจี่ยไทเฮา

 

 

ภาพปักบนฉากกั้นเป็นการปักแบบสู่ซิ่ว ซึ่งนอกจากมีสีสันสดใสสวยงามเฉพาะตัวแบบท้องถิ่นทางใต้แล้ว ฝีมือการปักยังประณีตละเอียดอ่อน ทุกฝีเข็มเป็นฝีเข็มขั้นเทพที่ไร้รอยต่อ และมีจุดบกพร่องน้อยมาก ยิ่งเมื่อนำมาประสานร่วมกันกับการปักแบบสองด้านซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในต้าเซวียน ก็ทำให้ภาพปักกลายเป็นภาพสามมิติขึ้นมา

 

 

บนฉากกั้น เป็นรูปดอกไม้สี่ฤดูนาๆ ชนิดเบ่งบาน ได้แก่ ดอกโบตั๋น ดอกชบา ดอกหอมหมื่นลี้ ดอกแปะเจียก ร่วมกับดอกไม้สุภาพบุรุษทั้งสี่ ได้แก่ ดอกเหมย กล้วยไม้ ดอกไผ่ ดอกเบญจมาศ พร้อมใจกันบานสะพรั่งอย่างชอุ่มชุ่มชื้น สวยสดงดงาม ตัวดอกไม้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาสมจริง คล้ายดอกไม้ค่อยๆ บานออกจากฉากกั้น แทบแยกไม่ออกว่าเป็นดอกจริงหรือดอกปัก!

 

 

โรคประจำตัวของเจี่ยไทเฮาคือโรคภูมิแพ้ละอองเกสรดอกไม้ จนแทบสัมผัสดอกไม้ไม่ได้ แต่ขึ้นชื่อว่าสตรี ไหนเลยจะรังเกียจความงามของดอกไม้ จึงได้แต่เสียดาย

 

 

ตอนนี้พอเห็น ก็เท่ากับนำของที่นางอยากได้แต่ไม่ได้มานานนม ส่งถึงตรงหน้า ทำให้นางปิติยินดียิ่งกว่าได้รับของล้ำค่าใดๆ เสียอีก

 

 

เจี่ยไทเฮาจึงค่อยๆ ยื่นมือที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ผิวพรรณที่เนียนละเอียดสัมผัสกับผิวของดอกไม้บนฉากกั้นทีละนิด พลางทอดถอนใจ

 

 

“สวยมาก สวยจริงๆ ชาตินี้ข้ายังไม่เคยเห็นดอกไม้มากขนาดนี้ในคราวเดียวมาก่อน ดอกไม้ตลอดทั้งปีในสี่ฤดู ในที่สุดข้าก็ได้เห็นแล้ว ตอนฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ ทรงเกรงว่าข้าจะป่วย จึงไม่อนุญาติให้ข้าปลูกดอกไม้ ตอนนี้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ทรงกตัญญู ตั้งแต่ปีก่อนที่เกิดความผิดพลาดแล้วข้าป่วย ก็ทรงรื้อถอนดอกไม้รอบตำหนักข้าเสียเ**้ยนเตียน!…”

 

 

จูซุ่นชะงัก นึกใจใจ การเดิมพันของคุณหนูอวิ๋นในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ ทำให้ไทเฮาสมปรารถนาจนได้ จึงหัวเราะขึ้นมา “คุณหนูอวิ๋นนี่ รู้ใจไทเฮาเสียจริงๆ”