ตอนที่ 81-3 ท่านสามควบคุมตัวเองไม่ได้

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนที่เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นทูลว่ามีของขวัญวันเกิดมอบให้ไทเฮานั้น สนมเอกเฮ่อเหลียนยังกลัวอยู่ว่า ถ้าไทเฮาเกิดไม่ชอบของขวัญขึ้นมา มิต้องหน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บหรือ แต่ตอนนี้เห็นที ไม่เพียงโล่งใจ ยังยินดีปรีดาเกินคาดอีก นังหนูนี่ เป็นไปตามที่คิดไว้จริงๆ เป็นคนที่มีเอกลักษณ์ตามธรรมชาติ สมควรแล้วที่จะโดดเด่น

 

 

กลุ่มคนที่นั่งกันอยู่ ก็ย่อมเออออห่อหมกตามไทเฮา พากันส่งเสียงชื่นชมขึ้นมา

 

 

ครั้นพอเจี่ยไทเฮาชื่นชมภาพปักสู่ซิ่วรูปดอกไม้สี่ฤดูนาๆ ชนิดเบ่งบานบนฉากกั้นจนพอพระทัยแล้ว ก็เรียกให้คนยกไปไว้ที่ตำหนักฉือหนิง แล้วค่อยกลับไปนั่งที่เดิม ยิ้มพลางว่า

 

 

“มีมาก็ต้องมีไป เมื่อคุณหนูอวิ๋นมีน้ำใจกับข้าเช่นนี้ ข้าจะใจแคบได้อย่างไร”

 

 

ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ว่ามีเด็กสาวที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่ จึงมิได้ตระเตรียมของล้ำค่ามา ได้แต่ยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ดึงปิ่นปักผมบนศีรษะออกมาอันหนึ่ง วางไว้บนมือจูซุ่น

 

 

“จูซุ่น นำไปมอบให้คุณหนูอวิ๋น”

 

 

กลุ่มคนส่งเสียงฮือฮา

 

 

ด้วยเจี่ยไทเฮาถึงกับมอบเครื่องประดับส่วนตัวให้อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นรางวัลตอบแทน ซึ่งเมื่อเทียบกับหยกสมปรารถนาที่มอบให้อวี้โหรวจวงเมื่อครู่ ก็ไม่รู้ว่าแพงกว่ากันมากน้อยเท่าไหร่!

 

 

มู่หรงไท่นั่งอยู่ในกลุ่มคน ตอนเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นถูกเจี่ยไทเฮาเรียกให้เข้าไปพูดคุยด้วยนั้น ก็เริ่มสำนึกเสียใจแล้ว ตอนนี้ในใจจึงยิ่งสับสน จนไม่รู้ตัวว่า หลิวซื่อจื่อและคุณชายสูงศักดิ์หลายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาล้อเล่นกับตน

 

 

“คุณชายรอง ที่แท้นางก็มีความสามารถมากโขอยู่นา”

 

 

พอมู่หรงไท่ได้ยิน ก็กัดฟัน ยกสุราขึ้นดื่มจอกแล้วจอกเล่าอย่างเบื่อหน่าย

 

 

อีกด้าน ซย่าโหวซื่อถิงก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า การเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังเป็นครั้งแรกของนาง จะสามารถดึงความสนใจจากไทเฮาได้ ดวงตาจึงยิ่งลึกล้ำขึ้น ถ้าพูดจากใจจริง เขาไม่ค่อยอยากให้นางมาเปิดตัวในวัง เพราะในวัง ไม่ใช่สถานที่ๆ ดีเสียเท่าไหร่

 

 

ส่วนบรรดาหนุ่มสาวชั้นสูงที่นั่งอยู่กับโต๊ะ ต่างก็หันไปจ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่น โดยลืมอวี้โหรวจวงที่เพิ่งเฉิดฉายไปชั่วขณะ

 

 

อวี้โหรวจวงจับชายเสื้อตนเอง แล้วขยำ พยายามข่มความร้อนรุ่มในทรวงอกไว้ ทำไม ทำไมนางถึงต้องมาหลอกหลอนตนอีก ลูกสาวบ้านๆ ของขุนนางชั้นสามอย่างนาง มีคุณสมบัติอะไรมาเทียบเคียงเสมอตน ทำไมคนอื่นๆ ถึงพากันชอบนาง ตาบอดกันหมดหรือไง! ตนนี่สิ ถึงจะเป็นลูกผู้ดีอย่างแท้จริง ดอกไม้ป่าริมทาง ถึงจะหอมแค่ไหน ใช้เท้าเหยียบลงไป ก็ร่วงหายกลายเป็นดินแล้ว!

 

 

แม้ได้พูดคุยกับไทเฮาไม่กี่คำ แต่เห็นชัดว่า ดาวเด่นในงานเลี้ยงเปลี่ยนไป กลายเป็นคุณหนูอวิ๋นแทน

 

 

เพราะอย่างไรอวี้โหรวจวงก็เป็นคุณหนูในตระกูลพระบรมวงศานุวงศ์มาหลายยุคหลายสมัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่

 

 

จะได้รับคำชมและของรางวัล แต่อวิ๋นหว่านชิ่นมางานเลี้ยงเป็นครั้งแรก ก็เป็นที่ประทับใจของเจี่ยไทเฮาแล้ว แบบนี้ถึงจะเรียกว่าความสามารถที่แท้จริง!

 

 

ตอนอยู่ในตึกไจซิง จริงๆ แล้วหนุ่มๆ ชั้นสูงทั้งหลายที่มาถามไถ่เรื่องราวของอวิ๋นหว่านชิ่นนั้น ไม่ได้อะไรกลับไป ตอนนี้จึงคิดแผนเตรียมดำเนินการอีก โดยหลังจากงานเลี้ยงเลิก ค่อยให้คนไปสืบต่อ ซึ่งพอพวกเขาเห็นลูกสาวแม่ทัพเฉินสนิทสนมกับอวิ๋นหว่านชิ่น ก็คิดว่าต้องส่งคนไปตีสนิทกับเฉินจื่อหลิงก่อน เพื่อสำรวจทิศทางลม บริเวณที่เฉินจื่อหลิงนั่งจึงคึกคักขึ้นในพริบตา สายตาไม่น้อยเพ่งเล็งมาที่นาง ซึ่งสนมเฉินก็มองดูอยู่เงียบๆ  พลางดีใจอย่างอดไม่ได้ เพราะเป็นไปตามจุดประสงค์ที่ต้องการขายน้องสาวของนาง

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นบอกให้เมี่ยวเอ๋อร์รับปิ่นปักผมจากมือของจูซุ่น ก่อนจับกระโปรงข้าง แล้วค่อยๆ ก้าวเท้ากลับไปนั่งตามเดิม

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมองดูอวิ๋นหว่านชิ่นที่ทำตัวเรียบร้อยขณะอยู่ต่อหน้าไทเฮา กระทั่งเดินก็ยังเหมือนกระต่ายเชื่องๆ อย่างไรอย่างนั้น แววตาจึงเคร่งขรึมลงอีกโดยไม่รู้ตัว เด็กโง่ ทำไมไม่ทำหน้าดุกับไทเฮาเหมือนที่เคยทำกับตนล่ะ เสแสร้งเก่งชะมัด ก่อนเผยอปากโดยไม่รู้ตัวอีก

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลงสักพัก ก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาแหวกอากาศจ้องมองมาที่ตน ไม่ต้องดูก็รู้ว่าใคร จึงระมัดระวัง หายใจลึกๆ รับอากาศเย็นของฤดูใบไม้ร่วงเข้าปอด แล้วยกจอกสุราขึ้นละเลียด ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

 

 

เมื่อซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางไม่สบตาตน ใบหน้าอันหล่อเหลาก็ค่อยๆ แดง โดยยังไม่ทันดื่มสุรา หน้าก็มีสีแล้ว

 

 

ตอนที่เขาอยู่ด้านล่างของตึกไจซิงและมองขึ้นไปนั้น ก็รู้สึกราวกับกำลังมองดอกไม้ในหมอก มองจันทร์บนผิวน้ำ มองเห็นไม่ชัดเจน ตอนนี้ ถึงจะเรียกว่ามองเห็นจริงๆ

 

 

นางหันไปคุยพลางหัวเราะกับเสด็จแม่ เอาอกเอาใจด้วยการรินสุราให้ เสด็จแม่ก็ดูเบิกบานใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

 

 

“ท่านสาม” ซือเหยาอันก้มลงกระซิบข้างหู “ไม่เพียงแต่ไทเฮาที่ชื่นชอบคุณหนูอวิ๋น คล้ายสนมเอกก็ชื่นชอบนางด้วยเช่นกัน”

 

 

ใครว่าแค่เสด็จแม่ ยังมีหนุ่มๆ สูงศักดิ์ที่ตึกไจซิงพวกนั้นอีก ซย่าโหวซื่อถิงจับจ้องอวิ๋นหว่านชิ่นไม่วางตา

 

 

จริงอย่างที่จางเต๋อไห่ว่า นางเป็นคนเก่งคนหนึ่ง ซย่าโหวซื่อถิงขยับปลายนิ้วออกจากจอกหยก แววตาหมองหม่นลงเล็กน้อย

 

 

เขาใจเต้นตึกตักเมื่อนางไม่สนใจเขา ขณะอยู่ต่อหน้าผู้คน แต่กับคนอื่นๆ ในงานเลี้ยง นางกลับยิ้มแย้มแจ่มใสดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ บางครั้งก็ยกจอกสุราขึ้นชนกับเสด็จแม่อย่างอาจหาญ บางครั้งก็ท้าวคางฟังผู้อื่นพูดอย่างน่ารักน่าชัง บางคราก็ปัดเส้นผมที่ปลิวปรกหน้าผากเบาๆ เผยให้เห็นเสน่ห์บางอย่างของเด็กสาวที่ยากพบเห็น…

 

 

ทันใดนั้น นางก็ยกมืออันบอบบางขึ้น เผยให้เห็นข้อมือขาวๆ ดุจสายบัว

 

 

พลังสายตาอันคมกริบที่อยู่ไม่ไกลของเขาเพ่งมองมาอย่างรวดเร็ว และรู้สึกได้ถึงความเนียนขาวของ

 

 

ข้อมือ จนตัวเขาเองยังตกใจ

 

 

ทำให้ลิ้นในปากที่แห้งผากม้วนกลับ รู้สึกร้อนที่หน้าอก จนลามขึ้นไปถึงจมูก ร้อนไปทั้งตัวชนิดที่ลมเย็นปลายฤดูใบไม้ร่วงก็เอาไม่อยู่ เรื่องน่าอายในคืนก่อนหน้านี้ก็ข่มไม่ลง ภาพผุดขึ้นในหัวสมองเขาอีกครั้ง…

 

 

คืนนั้น ไม่รู้ทำไม ซย่าโหวซื่อถิงถึงได้รู้สึกร้อนวูบวาบ จึงนอนอย่างกระสับกระส่าย

 

 

เขาทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง ด้วยรู้ว่า ปฏิกิริยาทางกายภาพของเพศชายกำลังแผลงฤทธิ์

 

 

ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่ออายุราวสิบห้า ปฏิกิริยาเช่นนี้บางครั้งก็รบกวนจิตใจ แต่เขาก็ควบคุมมันได้มาหลายปี ประการแรก เพราะเขาเติบโตในวัดแต่เด็ก จึงรู้จักฝึกสมาธิเพื่อควบคุมจิตใจต่อสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งทำให้เขามีจิตใจบริสุทธิ์กว่าชายหนุ่มทั่วไป ประการที่สอง เนื่องจากเขาบาดเจ็บจากพิษ เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ได้ ทำให้ยิ่งต้องควบคุมตัวเอง แต่คืนนั้น ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้พลิกไปพลิกมา ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ

 

 

หัวสมองวนเวียนอยู่กับเรื่องในคืนนั้นที่หมู่บ้านสกุลเกา ความรู้สึกที่ได้สัมผัสนางในอ้อมกอด ได้สัมผัสริมฝีปากอันนุ่มนิ่มหอมหวานของนาง

 

 

ช่วงที่ไฟในใจกำลังลุกไหม้ ที่สุดแล้วเขาก็ควบคุมมันไม่อยู่ และเผลอหลับไปขณะสับสน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด รู้สึกแต่เพียงความตึงที่ไม่ยอมคลายตัวลงนั้น ค่อยๆ คลายตัวลง กล้ามเนื้อตลอดทั้งร่างที่ขยายตัว ก็ค่อยๆ อ่อนนุ่มลง พอลืมตาขึ้น ก็เห็นร่างที่งดงามร่างหนึ่ง นั่งหันหลังอยู่ปลายเตียง มือทั้งสองข้างยันเตียงไว้ แล้วหันหน้ามาครึ่งหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นอบอุ่นดุจสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ เยือกเย็นดุจภูเขาในฤดูใบไม้ร่วง นางก้มศีรษะเล็กๆ ลง แล้วจ้องมองเขา

 

 

แผ่นหลังนั้น ใยเขาจะไม่รู้ว่าเป็นใคร ทั้งๆ ที่รู้ว่ากำลังอยู่ในฝัน แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงแหบเสียงแห้งว่า “ที่รัก…”

 

 

เขาไม่คิดมาก่อนว่าตนเองจะมีวันนี้ได้ ยังตะโกนคำที่ไร้สาระเช่นนี้ออกมาอีก ซึ่งควรจะเป็นคำของคนที่หลงระเริงในคาวโลกีย์ หรือพวกคุณชายชั้นสูงที่หมกมุ่นอยู่กับกามารมณ์ตะโกนออกมามากกว่า…ซึ่งตัวเขาเอง ดูเหมือนมีแต่ในฝันเท่านั้น ที่สามารถสารภาพออกมาตรงๆ แบบนั้นได้

 

 

สาวงามในฝันสวมชุดนอนบางเบา เช่นเดียวกับภาพที่เห็นบนตึกไจซิงอย่างไรอย่างนั้น รูปร่างโค้งเว้าที่ปราณีต ทำให้ชายหนุ่มหายใจเร็วและแรง และพอสาวงามหันมา รอยยิ้มก็ดุจดอกไม้ผลิบาน ดวงตาดุจเส้นไหม ริมฝีปากที่นุ่มนิ่มดุจกลีบดอกไม้ขยับขึ้นลง คล้ายกำลังพูดว่า “ตื่นได้แล้ว” จากนั้น ก็คล้ายมีผ้าผืนหนึ่ง วางอยู่ข้างร่างกายอันกำยำและหนุ่มแน่นของเขา

 

 

นางใช้แขนข้างหนึ่งท้าวศีรษะ ส่วนอีกข้างสัมผัสอกเสื้อของเขา แล้วมือที่เรียวยาวก็ค่อยๆ เปิดชุดนอนเขาออก ก่อนวาดอะไรบางอย่างลงบนแผลเป็นที่ทรวงอก…เช่นเดียวกับวันนั้นที่นางมาที่จวนอ๋อง แล้วทำหน้าที่แทนงู ดูดพิษให้ตน

 

 

จิตใต้สำนึกก่อนหลับ ยังถูกนางทำให้สะดุ้งตื่น เขาไหนเลยจะควบคุมได้ จับมือของนางไว้ พลางหอบหายใจแรง…

 

 

ในฝัน นางเหมือนในความเป็นจริงอย่างไรอย่างนั้น ดื้อกับเขามาก คล้ายรู้ว่าเขาจับมือนางแล้วจะทำ

 

 

อะไรต่อ นางจึงก้มลงกัดข้อมือที่แข็งแรงของเขาไปคำหนึ่ง จนมีรอยฟันซี่เล็กๆ เรียงอยู่สองแถว จากนั้นนางก็พลิกตัว ขึ้นมานั่งคร่อมบนท้องของเขา แล้วใช้แขนที่เรียวยาวกดไหล่ทั้งสองข้างของเขาไว้อย่างอาจหาญ คล้ายกำลังขี่ม้า พลางหัวเราะร่า หัวเราะจนหัวใจเขาคันยุกยิก ยากที่จะทานทน