ตอนที่ 153 พนักงานควรดูแลเจ้านาย
“พนักงานควรเป็นห่วงและดูแลเจ้านายก็พอแล้ว ประธานจิ่งดีมากขึ้นเท่าไร บริษัทจิ่งของพวกเราเองก็จะยิ่งดีมากขึ้น พวกเราที่เป็นลูกน้องก็พลอยจะดีไปน้อย เพราะงั้นประธานจิ่งคุณต้องดูแลร่างกายให้มาก ๆ ไม่อย่างนั้นพนักงานหลายร้อยคนของบริษัทจิ่งจะเป็นห่วงคุณเอาได้!” เธอเอ่ยด้วยสีหน้าที่จริงจัง เมื่อครู่ตัวเธอนั้นดูสับสนเล็กน้อยที่ว่าบริษัทจิ่งมีคนอยู่กี่คนกันแน่
แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ใช่ฝ่ายบุคคล ไม่อย่างนั้นเธอก็คงบอกจำนวนคนได้อย่างแม่นยำไปแล้ว
ภายในห้องทำงานที่เงียบสงบ เธอได้ยินคำถามของจิ่งเป่ยเฉินอย่างชัดเจน “พนักงานหลายร้อยคน รวมถึงคุณด้วยใช่ไหม?”
“แน่นอนค่ะ ฉันเองก็เป็นเลขาตัวแทนของประธานจิ่งเหมือนกัน” เธอจงใจใช่คำว่า ‘แทน’ เพราะรู้ว่าหลินจือเซี๋ยวจะต้องกลับมาเร็ว ๆ นี้แน่!
“เพราะงั้นคุณเลยเป็นห่วงผมสินะ” จิ่งเป่ยเฉินพูดสรุปประโยค คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย “เพียงแต่ว่าผมเองก็หวังว่าคุณจะใช้ตัวตนอีกตัวตนหนึ่งมาห่วงผมมากกว่า”
“ประธานจิ่งคุณคงอยากได้คนรักที่ไม่ธรรมดาหรอก ขอแค่คุณยกแขนขึ้นและร้องออกมาหนึ่งที รับรองทั่วเมือง A สาว ๆ คงต้องมารายล้อมคุณแน่ ๆ พอถึงตอนนั้นคุณก็สามารถดูแลคนต่อคนก็ยังได้ ถ้าหากประธานจิ่งโชคดีหน่อยก็อาจจะได้สักสองสามคน น้ำฝนที่โปรยประทาน[1]จริง ๆ” เธอรู้สึกว่าใบหน้าของเธอนั้นยิ้มแบบเปลือกปลอม แต่เธอก็ยังคงยิ้มให้เห็นฟันทั้งแปดซี่เพื่อเผชิญหน้ากับเขา เธอลืมไปแล้วว่าใบหน้าของเธอนั้นคงแต่งแบบขี้เหร่อยู่
อันที่จริงมันก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดเหมือนที่พวกเขาพูด ๆ กันหรอก แต่อย่างน้อยในความคิดของพวกเขามันก็ดูอ่อนโยนไม่เบา รอยยิ้มจาง ๆ ทำให้เขานึกถึงวันที่เธอไปรับหยางหยางและหน่วนหน่วนด้วยท่าทีแบบนั้น มันอบอุ่นมาก ทั้งดูสบายและดูน่าพิศวงไม่น้อย
“ผู้หญิงไม่ใช่ทุกคนจะชื่นชอบวังหลัง[2] หรืออะไรอย่างนั้นหรอก?” เขายิ้มตอบกลับ
“ประธานจิ่ง คุณลองพิจารณาดูตัวเองก่อนเถอะ! อย่าทำงานหนักจนเกินไป” เธอชี้ไปที่ประตูก่อนจะพูดว่า “ฉันจะออกไปก่อน ประธานจิ่งหากมีอะไรก็ค่อยเรียกฉันนะคะ!”
“ตอนนี้ฉันมีเรื่องต้องทำ”
เธอเดินไปก้าวเดียวก็ต้องหยุดและรอฟังคำพูดของเขา “เรื่องอะไรเหรอคะ?”
เสียงทุ้มต่ำที่เหมือนกับสายลมที่พัดผ่านหูของเธอเอ่ยขึ้น “คิดอยากจะทำงานให้หนักเกินไป”
อันโหรวรู้สึกในหัวของเธอมีเสียงดัง ‘ตูม’ ขึ้นมา ก่อนจะมองไปที่จิ่งเป่ยเฉินและทำท่าลังเลก่อนจะเดินออกไป “ประธานจิ่ง ฉันยุ่งมากจริง ๆ ค่ะ! คุณเล่นสนุกของคุณไปเถอะ”
‘ปัง’ เสียงปิดประตูห้องทำงานดังขึ้น จิ่งเป่ยเฉินจึงนั่งลงอีกครั้ง ก่อนจะหยิบถ้วยชาที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม
งานมันค่อนข้างยุ่งมาก แต่เขากลับเห็นเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น
เพียงแต่ว่าคำพูดของเธอ จริง ๆ แล้วให้เขายอมเสียสละเวลาหนึ่งชั่วโมงก็ยังได้
จิบชาอุ่น ๆ เข้าไปในปาก ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังโทรศัพท์สีดำอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนหน้านั้นเขาเคยถูกบังคับให้นัดบอดก็ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้กลับถูกบังคับให้ไปโรงพยาบาลเสียได้
แน่นอนก็เพราะว่ามันน่าเบื่อที่จะอยู่เฉย ๆ นี่สิ!
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนจะตัดสินใจโทรออกอย่างที่ตั้งใจ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นหลายครั้งกว่าปลายสายจะกดรับ
“พ่อ แม่บอกว่าคิดถึงพ่อ แต่เขินอายเกินกว่าจะกล้าโทรหาพ่อให้กลับบ้าน เพราะงั้นพ่อช่วยกลับมาอยู่กับแม่หน่อย” ไม่อย่างนั้นความสนใจของเธอทั้งหมดจะตกมาอยู่ที่เขามากจนเกินไป เพราะว่ารู้ดีเขาถึงได้กล้าโทรบอกประมาณว่าเขาไม่มีทางไป
“แม่แกโทรมาบอกฉันแล้ว บอกว่าแกไม่ยอมไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจแน่ ๆ ลูกชายถ้าหากป่วยก็ควรรักษาแต่เนิ่น ๆ นะ!” จิ่งเซิ่งยังคงเอ่ยด้วยความเด็ดขาดตั้งแต่วัยหนุ่มจนถึงปัจจุบันก็ยังเหมือนเดิม
“ก็ดี แม่ของผมบอกว่าผมป่วยเป็นอะไร?” เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรถึงต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ เขาไม่ใช่คนบ้าซะหน่อย
“ก็เพราะว่าแกหาแฟนสาวไม่ได้เลยไง แม่แกเลยสงสัยว่าแกอาจจะมีอาการป่วยแอบแฝงอยู่หรือเปล่า สรุปว่าแกมีหรือเปล่า?” จิ่งเซิ่งคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ อย่างน้อยก็ดีกว่าเขาต้องนั่งเครื่องบินกลับไปหลาย ๆ พันไมล์
“คุยกับพ่อแม่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ความคิดคนละแนวทางกันจริง ๆ” เขาวางโทรศัพท์อย่างเด็ดขาด ก่อนจะโยนโทรศัพท์ทิ้งไป
คำว่า ‘โรคที่ซุกซ่อนอยู่’ คำพวกนี้มันเหมือนกับสาปแช่งลูกชาย เขามีลูกชายกับลูกสาวที่โตถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีโรคซุกซ่อนอยู่อีกเหรอ?
ดีจริง ช่างดีจริง ๆ
เดาได้เลยว่าใครเป็นคนแนะนำเรื่องพวกนี้ให้กับแม่ ถึงทำให้แม่คิดว่าเขาเป็นคนเจ็บป่วยแบบนี้
อันโหรวกลับไปที่นั่ง แก้มของเธอแดงระเรื่อเล็กน้อย โชคดีที่เธอมีเครื่องสำอางอยู่บนหน้า คนอื่น ๆ จึงมองไม่เห็นแม้กระทั่งตัวเอง
‘ปัง’ เสียงเปิดประตูดังขึ้น ประตูห้องทำงานของจิ่งเป่ยเฉินถูกเปิดออก
เธอเห็นจิ่งเป่ยเฉินเดินออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เย็นชา ไม่นานเธอก็ลุกขึ้นเพื่อบอกลา จิ่งเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็เดินมาตรงหน้าเธอและยืนนิ่ง
“ไปกับผม ไปพบลูกค้ากัน ให้เวลาคุณเตรียมตัวสองนาที” เขาพูดจบก็หมุนตัวออกไป
อันโหรวเหลือบมองเวลาที่แสดงบนคอมพิวเตอร์ บ่ายสามแล้ว อีกเพียงชั่วโมงเดียวก็ได้เวลาไปรับหยางหยางกับหน่วนหน่วนแล้ว หากต้องไปพบลูกค้าแบบนี้ จะมีเวลามากพอเหรอแค่หนึ่งชั่วโมง
แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องตามเขาออกไปอยู่ดี
ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงสนามกอล์ฟ พวกเขากำลังพูดคุยเล่นกันอยู่ เมื่อเธอเดินตามไปไกล ๆ จิ่งเป่ยเฉินก็ได้โบกมือผ่าน
เมื่อเห็นเวลาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เธอก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อส่งข้อความ ไม่ช้าก็ได้รับข้อความตอบกลับ เธอจึงเก็บโทรศัพท์มือถือและเดินต่อไป
เมื่อเธอรู้สึกเบื่อก็เริ่มที่จะมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าเขาจะสวมชุดกีฬาสีขาวที่ดูเรียบง่าย แต่เขาก็สามารถสวมใส่ออกมาได้ดูดีมีราคาแพง วงสวิงของเขาก็ดูไหลลื่น เหมาะกับการออกกำลังกายที่สง่างามนี้จริง ๆ
จิ่งเป่ยเฉินที่อยู่ตรงหน้าหันกลับมา ดวงตาของทั้งสองคนจึงปะทะกันโดยบังเอิญ เธอรีบหันไปทางอื่น พลางแสร้งมองไปรอบ ๆ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เธอก็รู้สึกใจเต้นรัว เป็นเพราะเมื่อครู่นี้เธอสบตากับเขาหรือเปล่า?
มันช่างเป็นความลำบากใจที่ไม่เคยมีมาก่อนจริง ๆ
“ประธานหยาง ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยินดีให้ความร่วมมือ” จิ่งเป่ยเฉินเดินผ่านเธออย่างใจเย็น ก่อนจะเดินไปคุยกับลูกค้าที่อยู่ตรงหน้า
“แน่นอน แน่นอน มีประธานจิ่งอยู่แบบนี้ ผมเองก็วางใจได้เยอะ หลังจากนี้จะได้พักผ่อนได้สักที!”
อันโหรวติดตามพวกเขาไปที่ด้านหลัง เมื่อครู่นี้แอบโกรธเล็กน้อย จิ่งเป่ยเฉินไม่มีท่าทีสนใจเธอเลยสักนิด
แต่เขาก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอดนั่นแหละ! จู่ ๆ เธอก็เกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
นี่นับว่าไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก
หลังจากส่งประธานหยางไปแล้ว จิ่งเป่ยเฉินก็ได้หยุดเดินและพูดว่า “ไปกันเถอะ ไปรับลูกของคุณกัน”
รับลูก?
อันโหรวเพิ่งกลับมาได้สติ ถึงแม้ว่าจะไม่เชื่อในคำพูดของเขา แต่เมื่อคิดถึงหน้าของหยางหยางในตอนนั้น ทำไมเขาถึงไม่ยอมตัดใจสักทีนะ
จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่ใบหน้าของเธอที่ทำท่างุนงง ก่อนจะอดไม่ได้ที่ยิ้มออกมา เพราะนั่นเป็นความตั้งใจของเขา
หลินจือเซี๋ยวไม่ได้อยู่ที่เมือง A แน่นอนว่าเธอเองก็คงต้องไปรับเด็กน้อยทั้งสองคนด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะสายไปนิดหน่อยแล้ว แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จากนี้เขาจะได้เห็นเธอไปรับหยางหยางอย่างใกล้ชิด ทั้งจะได้ใกล้ชิดกับหน่วนหน่วนอีกด้วย
เมื่อเขากำลังคิดถึงว่าหากหยางหยางว่าจะพูดอะไรดี อันโหรวก็เทน้ำเย็นใส่เขาด้วยการพูดว่า “ไม่คิดว่าประธานจิ่งจะสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อยของพนักงานบริษัทด้วย เพียงแต่ว่าเพื่อนของฉันได้ไปรับพวกเขากลับบ้านแทนแล้วค่ะ! คงไม่ต้องรบกวนประธานจิ่งหรอก”
เขาทำหน้าเย็นชาขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ก็มาบอกว่าเพื่อนรับไปอีก ครั้งที่แล้วก็เหมือนกัน
ดูเหมือนว่าเขาเริ่มจะอยากรู้แล้วสิว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใครกันแน่ เขาจะได้ถลกหนังออกมาได้ถูกคน!
[1] หมายความว่าดูแลอย่างทั่วถึง
[2] เปรียบเปรย มองแค่เบื้องหลังของตระกูลที่ร่ำรวย
…………………….
ตอนที่ 154 ไอเย็นที่เผยออกมา
เธอรู้สึกได้ถึงไอเย็นจากคนข้าง ๆ ก่อนที่เธอจะเงียบปากลงและไม่สนใจ
เมื่อเธอมาที่นี่ เธอก็รู้สึกว่าอาจจะไม่สามารถไปรับลูกได้ทันเวลา จึงตัดสินใจส่งข้อความหาถังซั่ว คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตอบตกลงไวขนาดนั้น
โชคดีที่ทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นจิ่งเป่ยเฉินได้เจอกับหยางหยางแน่ ๆ
เขาจงใจแบบนั้น
“เลิกงาน!” จิ่งเป่ยเฉินเดินหันหลังกลับออกไป ก่อนที่จะกำมือแน่นอย่างควบคุมไม่ได้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา อันโหรวล้างเครื่องสำอางออก ก่อนจะสวมแว่นกันแดดพร้อมกับหมวกทรงแหลมและเดินออกไปที่ประตูบริษัทถังอินเตอร์มีเดีย
ถังซั่วได้พาเด็ก ๆ ทั้งสองคนกลับมาที่บริษัท ได้ยินมาว่าลูซี่เองก็เป็นศิลปินภายใต้บริษัทถัง หวังว่าจะไม่ได้พบกับเธอเข้านะ
เมื่อถึงแผนกต้อนรับเธอก็ยิ้มและทักทาย “สวัสดีค่ะ ฉันแซ่อัน มาหาประธานถังค่ะ“
“คุณอันนี่เอง ตามฉันมาค่ะ” พนักงานต้อนรับที่อยู่โต๊ะด้านหน้ายื่นมือออกมาทำท่าทางเชิญ
ก่อนที่จะพาเธอขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นห้า เธอรู้สึกกระวนกระวายที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงานของถังซั่ว มาที่ชั้นห้าแบบนี้มาทำอะไรกันแน่
เมื่อเดินตามพนักงานต้อนรับไป กระทั่งเข้าไปในห้องถ่ายภาพ เมื่อเข้าไปแล้วก็เห็นอันหน่วนกำลังถ่ายรูปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อันหยางก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ถังซั่วพลางมองไปอย่างตั้งใจ
พวกเขาเลิกเรียนก็มาใช้ชีวิตอย่างเพอร์เฟกต์ ถังซั่วคิดจะทำอะไรกันแน่? ถ่ายรูปหน่วนหน่วนทำไม?
“คุณอัน ประธานถังอยู่ข้างในค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” พนักงานแผนกต้อนรับเอ่ย ก่อนจะเดินออกไป
เธอเดินเข้าไปพลางโค้งตัวลงเล็กน้อย ไม่นานก็เดินเข้าไปอยู่ข้าง ๆ พวกเขา หลายคนรอบตัวถังซั่วมองมาที่เธอ
“หยางหยาง” เธอเอ่ยเสียงกระซิบ
“แม่จ๋า!” อันหยางเมื่อได้ยินเสียงของเธอก็หันหน้ามามองทันที
ถังซั่วก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงที่ชัดเจน ก็รู้สึกว่าแตกต่างจากเสียงของอันอีหานที่เป็นเลขาของจิ่งเป่ยเฉินอย่างสิ้นเชิง พวกเธอไม่น่าจะเป็นคนเดียวกันหรอกใช่ไหม?
“วันนี้ต้องขอบคุณประธานถังที่ช่วยเป็นธุระจัดการให้” เธอยิ้ม แม้จะรู้ว่าการใส่แว่นแบบนี้ดูแล้วไม่สุภาพเท่าไรนัก แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ
“งั้นก็เลี้ยงข้าวผมสิ!” ถังซั่วโน้มตัวลงพลางมองไปที่หยางหยางและพูดว่า “ใช่ไหมหยางหยาง?”
“อือ แม่จ๋าพวกเราควรเชิญคุณลุงถังไปกินข้าวนะ” อันหยางเงยหน้าขึ้นไปมองเธอ ดวงตาเบิกกว้างพลางกะพริบปริบ ๆ
“แม่จ๋า แม่จ๋า” เมื่ออันหน่วนเห็นพวกเขาก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
ทันทีที่อันหน่วนเดินเข้ามา ถังซั่วก็ได้อุ้มเธอขึ้นและพูดว่า “หน่วนหน่วน วันนี้คุณลุงถังขอไปกินข้าวเย็นกับพวกหนูได้ไหม?”
“ได้ค่ะ!” เธอพยักหน้าก่อนจะมองเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเธอก็จำได้ว่าแม่จ๋าของเธอก็อยู่ที่นี่ด้วย จึงรีบหันไปมองทันที “แม่จ๋า แม่โอเคไหมคะ?”
ลูกน้อยทั้งสองคนพูดมาขนาดนี้ บวกกับถังซั่วช่วยเธอเอาไว้จริง ๆ เธอจึงยิ้มอย่างเห็นด้วย
หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จก็เป็นเวลากว่าสองทุ่ม เธอจึงให้พวกเขาไปอาบน้ำและอุ้มกลับเข้าไปนอน ก่อนจากไป เธอก็ถูกหยางหยางดึงมือเอาไว้
เธอนั่งลงข้างเตียง พลางเอามือลูบไปที่ผมของเขาและยิ้ม ก่อนจะถามไปว่า “วันนี้มีความสุขไหม?”
“อืม!” หยางหยางจับมือเธอไว้แน่นและพูดว่า “แม่จ๋า คุณลุงถังไม่ใช่แค่ดีนะ ทั้งยังมารับพวกเราหลังเลิกเรียน พาพวกเราไปเล่น พาพวกเราไปกินข้าวอีก”
ถูกต้อง แม้ว่าเธอบอกจะเลี้ยงข้าวเขา แต่สุดท้ายก็กลายเป็นถังซั่วเลี้ยงข้าวพวกเขาอยู่ดี และทุกครั้งเธอก็ลงมือสายอยู่ตลอด
แถมยังบอกอีกว่าครั้งหน้าคุณค่อยเลี้ยง? ไม่ได้ละมั้ง ครั้งหน้ามันไม่ควรมีแบบนี้อีก
มันเป็นแบบนี้มาแล้วถึงสองครั้ง จิ่งเป่ยเฉินคงไม่ได้ใช้วิธีแบบนี้เหมือนกันนะ เห็นทีคงต้องระวังให้มากขึ้น
พอคิดถึงเรื่องนี้ก็น่าหงุดหงิดจริง ๆ ทุกอย่างเป็นเพราะเห่อฮวาฮุยคนเดียวที่พูดจาเหลวไหลจนทำให้จิ่งเป่ยเฉินเกิดความสงสัยขึ้นมา
“คุณลุงถังเป็นคนดีมากเลยนะ แต่แม่จ๋าไม่ได้ชอบเขา” มันจะดีกว่านี้ถ้าหากไม่ติดต่อกับถังซั่วอีก
แม้ว่าเขาจะเป็นคนดี แต่มันก็ง่ายต่อการถูกรู้ตัวตน
“ทำไมไม่ชอบ? ผมกับน้องทุกคนก็ชอบเขากันหมดนะ! แม่จ๋าลองดูก่อนสิ!” เขาชื่นชอบถังซั่วเป็นอย่างมาก ถ้าหากได้ถังซั่วมาเป็นพ่อของเขา เขาก็ไม่คิดจะปฏิเสธ
“หยางหยาง ต่อให้แม่ชอบคุณลุงถัง คุณลุงถังเองก็อาจจะไม่ได้ชอบแม่จ๋าก็ได้” เธอพูดอย่างฝืนทน
เพราะความเป็นจริงเธอรู้ว่าพวกเขาเป็นยังไง ซึ่งแน่นอนปกติไม่เคยปฏิเสธคำขอของพวกเขา แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก
ถ้าหากเป็นคนอื่นก็ยังพอได้ แต่คนคนนั้นคือถังซั่ว เพื่อนพี่น้องของจิ่งเป่ยเฉิน!
“แม่หมายความว่าตราบใดที่ลุงถังชอบแม่ แม่จะอยู่ด้วยกันใช่ไหม? คุณลุงถังสามารถเป็นพ่อได้ใช่ไหม?” อันหยางเผยดวงตาสีดำที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ถ้าหากเป็นแบบนั้นละก็ เขาจะรีบจัดการถังซั่วให้ได้
“แม่จ๋าไม่ได้หมายความแบบนั้น แม่จ๋าหมายความว่า……..”
“แม่จ๋าผมง่วงแล้ว ผมจะนอน ราตรีสวัสดิ์!” เขาหลับตาลงทันที เพื่อป้องกันไม่ให้อันโหรวพูดต่อ
เพราะเขาเข้าใจว่าถ้าหากลุงถังชอบแม่จ๋า พวกเขาก็จะต้องอยู่ด้วยกันให้ได้
อันโหรวเห็นเขาหลับตาและทำท่าหลับ เธอจึงไม่พูดต่อ เพราะยังไงเธอกับถังซั่วก็ไปด้วยกันไม่ได้
จุดประสงค์ที่เธอกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อตรวจสอบเรื่องราวของตระกูลอันที่เกิดขึ้น ทั้งยังต้องตามหาด้วยว่าแม่ของตนนั้นไปอยู่ที่ไหน
ส่วนเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เธอนั้นไม่ได้ตั้งตารอ และไม่คิดอยากจะลองมันด้วย ตอนนั้นโอวหยางลี่ เธออายุได้สิบกว่าปีเขาก็แต่งงานกับคนอื่นไปซะแล้ว ส่วนความรักนั้นมันคืออะไร?
ตระกูลอันยังล่มสลายอยู่แบบนี้ เธอจะไปรักคนอื่นได้ยังไง
……
เช้าตรู่เธอได้ส่งลูกน้อยสองคนไปโรงเรียนอนุบาลก่อนจะไปยังบริษัทจิ่ง ตามนิสัยเดิมของเธอ เธอมักจะชงชาและจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่พอถึงช่วงเวลาเก้าโมงครึ่งกลับไม่เห็นเงาของจิ่งเป่ยเฉิน
จู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเขาโทรมาบอกว่าเขาต้องไปโรงพยาบาล หรือว่าสุขภาพของเขาจะไม่ดีจริง ๆ?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ในจุดนี้ เธอเองก็ไม่มีกะจิตกะใจในการทำงาน เพราะปกติจิ่งเป่ยเฉินมักทำงานตรงต่อเวลา ส่วนเรื่องกินข้าวหรืออะไรพวกนี้มันผิดปกติจนเกินไป มันทำให้เขามาสายขนาดนี้เลยเหรอ
เธอเหลือบมองไปยังหน้าประตูอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งสิบโมงเช้าก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของจิ่งเป่ยเฉิน ในใจของเธอเริ่มรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก
เธอหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาเพื่อโทรหาฉีเซิงเทียนทันที
ในที่สุดปลายสายก็กดรับ “ผู้จัดการฉี วันนี้ประธานจิ่งไม่เข้าบริษัทเหรอคะ?”
เธอเผยเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล เพราะอย่างไรเขาก็เป็นบอสของเธอ เธอกังวลว่าเขาจะเป็นอะไรขึ้นมา ซึ่งไม่ได้หมายความถึงอะไรอื่น ๆ
ฉีเซิงเทียนเงยหน้ามองไปยังจิ่งเป่ยเฉินที่กำลังก้มหน้าก้มตามองไปที่เอกสาร ก่อนจะหัวเราะอยู่ในใจและพูดว่า “ใช่! ฉันได้ยินว่าวันนี้เขาไปโรงพยาบาลนะ!”
“ส่วนโรงพยาบาลไหนนั้น….” ฉีเซิงเทียนเหลือบมองไปยังจิ่งเป่ยเฉินอีกครั้ง ก่อนที่จะเห็นเขามองมาด้วยความงุนงง จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและพูดว่า “น่าจะเป็นโรงพยาบาลอันรู่ว ฉันยุ่งเรื่องงานอยู่คงไม่ได้ไป เธอก็ลองไปดูเอาละกัน”
พูดจบเขาก็กดวางสาย ฉีเซิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและพูดว่า “พี่เฉิน อันอีหานจะไปโรงพยาบาลเพื่อดูนาย นายจะทำยังไง?”
จิ่งเป่ยเฉินถึงกับโยนเอกสารลงตรงหน้าเขาและเอ่ยด้วยท่าทีที่เย็นชาว่า “สู้พานายไปโรงพยาบาลแทนดีไหม?”
กล้ามาเล่นตลกอะไรก็ไม่รู้อยู่ตรงหน้าเขา ไม่รักชีวิตหรือไง!
“พี่เฉิน ผมกำลังช่วยพี่ไล่ตามผู้หญิงอยู่นะ! เธอคงเป็นห่วงพี่มากแน่ ๆ ตอนนี้คงเปิดประตูห้องทำงานไปไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้ว พี่จะปล่อยเธอทิ้งไว้ท่ามกลางบรรยากาศแบบนั้นเหรอ?” ฉีเซิงเทียนหยิบเอกสารมาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง
อันอีหานคนนั้นคงไม่เห็นจิ่งเป่ยเฉินมาที่บริษัท จึงคิดว่าเขาไม่มา ใครจะรู้ว่าจิ่งเป่ยเฉินนั้นแท้จริงมาตั้งนานแล้ว แต่ได้มาอยู่ที่ห้องทำงานของเขาเพื่อคุยเรื่องโครงการของสกุลเห่อ
“หรือว่าฉันควรจะพาตัวไปโรงพยาบาลดี?” จิ่งเป่ยเฉินยิ้มเยาะพลางถามกลับ