ตอนที่ 155 เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ + ตอนที่ 156 กินยา

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 155 เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ

อันโหรวรู้สึกว่าตัวเธอนั้นต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ จิ่งเป่ยเฉินไปโรงพยาบาลแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?

มันไม่สามารถพูดแบบนี้ได้ แน่นอนส่วนหนึ่งเพราะเขาเป็นเจ้านายของเธอ มันย่อมมีอะไรเกี่ยวข้องกัน ไปดูเขาสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรหรอก

เมื่อมาถึงหน้าโรงพยาบาล อันโหรวก็เดินเข้าไปโดยไม่มีท่าที่จะหยุด ภายในโรงพยาบาลมีแต่กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อฟุ้งกระจายไปทั่วปลายจมูกของเธอ ดูเหมือนในโรงพยาบาลจะมีคนอยู่เต็มไปหมด

เธอเดินไปพลาง กดโทรศัพท์ไปพลาง นิ้วมือของเธอปัดผ่านหน้าจอที่เย็นยะเยือก เธอคิดไม่ถึงเลยว่าจิ่งเป่ยเฉินจะป่วย แต่ป่วยเป็นอะไรนั้นเธอไม่ทราบจริง ๆ คงไม่ใช่โรคร้ายแรงหรือเส้นเลือดอุดตันอะไรแบบนี้หรอกนะ?

ให้ตายสิ เธอควรจะถามฉีเซิงเทียนให้แน่ชัดเสียก่อน แบบนี้มีแต่จะทำให้ตัวเองรู้สึกประหม่าและเป็นกังวลจนต้องมาในที่สุด

ในที่สุดก็กดไปยังหมายเลขของจิ่งเป่ยเฉิน พลางเอาโทรศัพท์แนบกับหูและรอฟังเสียงเรียกเข้า ไม่ช้าเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา

“ประธานจิ่งคะ คุณอยู่ที่ไหน? ฉันมาเยี่ยมคุณในฐานะตัวแทนของพนักงานทุกคนของบริษัทจิ่ง” เธอยืนอยู่หน้าลิฟต์และจ้องมองไปที่ตัวเลขที่ไหลผ่านไปมา

เสียงรอบข้างดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอก็ได้ยินคำตอบของเขาอย่างชัดเจนว่า “ห้องผ่าตัดชั้นสามของแผนกผู้ป่วยนอก”  

เธอรีบกดลิฟต์ตรงหน้าทันที แต่ลิฟต์ก็ดูเหมือนจะมาช้าเกินไป บันไดก็ดูเหมือนจะไม่สูงมากนัก เธอถือโทรศัพท์ไว้และไม่ได้รอให้ลิฟต์มาถึง รีบเดินขึ้นบันไดไปทันที

เธอเดินขึ้นไปโดยแทบไม่หยุดหายใจ ก่อนจะรีบวิ่งไปยังห้องผ่าตัด

มือซ้ายของจิ่งเป่ยเฉินถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล ส่วนตัวเขาก็กำลังฟังข้อควรระวังที่แพทย์พูดอย่างจริงจัง พลันสายตาเหลือบมองไปยังอันโหรวที่กำลังวิ่งเข้ามาโดยไม่ตั้งใจ

อันโหรวเมื่อมองเห็นผ้าพันแผล เธอก็รู้สึกตกใจมากขึ้น ฝีเท้าค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นช้าลง ก่อนจะอ้าริมฝีปากกว้างขึ้นและตะโกนออกมาเสียงดังว่า “ประธานจิ่ง”

มันดูร้ายแรงเกินไปหน่อยนะ ทำไมจู่ ๆ ถึงได้บาดเจ็บ?

จิ่งเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนพลางเหลือบมองไปที่เธอหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินไปข้างนอกและพูดว่า “หยิบยามาด้วย”

“ค่ะ!” เธอรีบหยิบยาบนเก้าอี้ ก่อนจะเดินตามเขาออกไป

จิ่งเป่ยเฉินเดินเร็วมาก เดินเร็วเสียจนเธอตามไม่ทัน จึงไม่ทันได้อ่านฉลากยาว่าเขียนอะไรไว้บ้าง

ตอนที่จะลงไปที่ด้านล่างเขาได้เดินลงบันได เธอจึงเดินตามเขาไปโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เมื่อมาถึงห้องโถง จิ่งเป่ยเฉินก็ได้เดินออกไปข้างนอก

เธอเหลือบมองไปยังถุงยาในมือ

จิ่งเป่ยเฉินเข้าไปในรถ ดวงตาสีเข้มของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ซุกซ่อนความเจ็บปวดที่ถูกผ้าพันแผลรัดแน่น ให้ตายสิ ฉีเซิงเทียนนี่มันเฉือนเนื้อเข้าไปเต็ม ๆ ชัด ๆ

เมื่อเตรียมอะไรเสร็จเขาก็ขับรถมาที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าบาดแผลเพียงเล็กน้อย แต่เล่นพันซะใหญ่เกินจริง ทำให้อันโหรวที่เห็นผ้าพันแผลรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที

อันโหรวรีบออกมาพร้อมกับยาในมือ เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นรถของเขา โดยเขานั้นนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ แล้วนี่เขาจะขับรถยังไง?

เธอโน้มตัวลงมองไปยังจิ่งเป่ยเฉิน บางทีอาจจะเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บ สีหน้าของเขาเลยดูซีดเผือดแบบนี้ “ประธานจิ่ง ทำไมไม่ไปนั่งรถของฉันแทนคะ รถของคุณเดี๋ยวให้ผู้จัดการฉีมาขับไปแทนก็ได้”

หรือไม่ก็รออีกสักหน่อยให้ฉีเซิงเทียนมาขับรถของเธอไปก็ได้!

จิ่งเป่ยเฉินลงจากรถ แต่ก็ไม่ได้มุ่งตรงไปที่รถของเธอแต่อย่างใด เขาเดินอ้อมมานั่งที่นั่งข้าง ๆ คนขับ ก่อนจะปิดประตูรถเสียงดัง ‘ปัง’

ความหมายแบบนี้มันเห็นได้ชัดว่าเขาจะเอารถของตัวเองกลับไป

ช่างเถอะ ในเมื่อเขาเป็นเจ้านาย เขาพูดอะไรก็ต้องทำ

เธอเข้าไปในรถด้วยท่าทีขุ่นเคือง ก่อนจะวางยาแก้อักเสบไว้ที่ช่องเก็บของตรงกลางและขับรถออกไป

ระหว่างทางจิ่งเป่ยเฉินไม่ได้พูดจาอะไรสักคำ อันโหรวกำพวงมาลัยไว้แน่น สายตาจับจ้องมองไปด้านหน้า แต่ก็แวะมาเหลือบตามองเขาอยู่หลายรอบ อยากจะถามมากเหลือเกินว่าเขานั้นบาดเจ็บเพราะอะไร อาการบาดเจ็บไม่ร้ายแรงใช่ไหม

ตอนที่เธอหยิบยามา เธออยากจะรู้จริง ๆ ว่าหมอพูดอะไรบ้าง แต่เธอก็ประเมินความสามารถของตัวเองสูงไป เพราะคำว่าหมออะไรพวกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอรู้จักจริง ๆ

นอกจากคำว่าจิ่งเป่ยเฉินแล้ว เธอก็ไม่รู้จำคำอื่น ๆ เลยสักคำ

เมื่อพวกเขากลับมาถึงก็ประมาณสิบเอ็ดโมง นี่ยังไม่ถึงเวลากินข้าว ทำให้ตอนนี้มีคนอยู่ที่ด้านนอกบริษัทจิ่งค่อนข้างมาก เธอจึงขับรถไปจอดไว้ที่ชั้นใต้ดิน ซึ่งมีคนค่อนข้างน้อยกว่ามาก

เมื่อรถจอดลง เธอก็ปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะเหลือบมองไปที่เขาและพูดว่า “ประธานจิ่ง คุณบาดเจ็บร้ายแรงมากเลยเหรอคะ?”

“แล้วคุณคิดว่ายังไง?” จิ่งเป่ยเฉินถามกลับอย่างเย็นชา ราวกับว่าคำถามของเธอนั้นมันดูไร้สาระ ก่อนจะลงจากรถไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเขาลงจากรถ เธอก็รีบหยิบถุงยาและเดินตามเขาไป เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนป่วยอยู่ แต่ทำไมถึงได้เดินเร็วขนาดนั้น เหมือนกับว่าร่างกายของเขาแข็งแรงกว่าเธอเสียอีก

เมื่อมาถึงลิฟต์ส่วนตัว เธอก็กดไปที่ชั้นสิบห้าและยืนรออยู่ข้าง ๆ เขา ตอนนี้บรรยากาศรอบ ๆ มีเพียงแค่พวกเขาสองคนและความเงียบ ราวกับว่าจะได้ยินเสียงของหัวใจกันและกัน

“คุณมองผมแบบนี้ เป็นห่วงยังงั้นเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินจู่ ๆ ก็โน้มตัวเข้ามาใกล้เธอ ใบหน้าที่ซีดขาวของเขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

“แน่นอนว่าต้องเป็นห่วงสิคะ ประธานจิ่งคุณบาดเจ็บขนาดนั้น ฉันที่เป็นลูกน้องหรือคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นห่วงคุณมาก ในใจก็ย่อมเจ็บปวดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนบาดเจ็บเหมือนกัน” เธอแสร้งทำเป็นพูดเกินจริง พลางเอามือกุมที่หน้าอกของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่เขา ใบหน้านั้นดูแฝงไปด้วยความจริงใจ

“ผมไม่เห็นว่าคุณต้องจริงจังขนาดนั้นเลย” ถึงแม้ว่าใบหน้าของเธอจะซีดเหลือง แต่เธอเล่นแสดงออกมาแบบนี้มันก็ออกจะดูเกินไปหน่อย

“ประธานจิ่งไม่ต้องห่วงเรื่องของฉันหรอกค่ะ ดูเหมือนว่าตอนนี้คุณไม่เป็นแล้วสินะ! บาดแผลเล็กน้อย!” เธอชำเหลืองมองไปที่ลิฟต์ที่เพิ่งจะเปิดออกตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือออกไปทำท่าราวกับเชิญ “ประธานจิ่ง เชิญค่ะ”

ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นเลขา ถ้าหากว่าตอนนี้เธอคืออันโหรว คำพูดของเธอก็พอจะจินตนาการออกก็คงเป็น ‘จิ่งเป่ยเฉินไสหัวออกไปซะ!’

แต่ตอนนี้เธอทำได้แค่อ้าปากเรียกประธานจิ่ง คุณจิ่ง ชื่อแต่ละชื่อฟังแล้วก็น่าโกรธเคืองจริง ๆ

โชคดีที่เธอยังพอจะควบคุมตัวเองได้อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นละก็ ไม่ช้าก็เร็วมีหวังเธอได้กลายเป็นบ้าแน่ ๆ

ในลิฟต์แคบ ๆ ทั้งสองคนยืนนิ่ง โดยเขายืนอยู่ด้านหน้า ส่วนอันโหรวก็ยืนอยู่ด้านหลัง พลางมองไปที่เขาอยู่หลายรอบ เพราะดูท่าทางเหมือนเขาจะโกรธอยู่เล็กน้อย

ทันใดนั้นลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้นแปด ฉิวซียืนอยู่หน้าลิฟต์ แต่เมื่อเห็นจิ่งเป่ยเฉินที่ได้รับบาดเจ็บกำลังยืนอยู่และที่ด้านหลังของเขาคืออันอีหาน

เธอก็แอบคิด หรือว่าอันอีหานจะทำร้ายประธานจิ่ง?

“ประธานจิ่ง คุณ…..”

“ออกไป!” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ก่อนที่ลิฟต์ตรงหน้าจะค่อย ๆ ปิดลงอีกครั้ง

จิ่งเป่ยเฉินที่ดูคุ้นเคยทำท่าเหมือนจะกลับมาแล้ว แม้ว่าเขานั้นจะได้รับบาดเจ็บอยู่ แต่ความโอหังของเขาก็ยังคงเดิม

ลิฟต์ที่ถูกเปิดออกอีกครั้งเมื่อถึงชั้นที่สิบห้า พวกเขาเดินออกมาพร้อม ๆ กัน

จิ่งเป่ยเฉินเดินตรงไปยังห้องทำงานของเขาทันที เสียงปิดประตูดังขึ้น ไม่รู้ว่าใครกันที่กล้าฟันแขนของจิ่งเป่ยเฉินแบบนั้น

เธอนั่งลงที่โต๊ะก่อนจะมองไปที่ยาในมือ ดวงตาของเธอมองไปรอบ ๆ ก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ

ถ้าหากเขาได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อวานเขาบอกว่าไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์? หรือว่าคุณนายจิ่งจะมีความสามารถทำให้แพทย์จัดการเรื่องพวกนี้ได้

เธอยิ่งคิดมากก็ยิ่งรู้สึกแปลก หรือว่าจิ่งเป่ยเฉินนอกจากจะได้รับบาดเจ็บที่แขนแล้ว เขายังป่วยจริง ๆ?

ไม่หรอก? ไม่ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาที่หามรุ่งหามค่ำ ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนั้น

จิ่งเป่ยเฉินกลับมาถึงห้องทำงานก็เห็นชาใส ๆ วางอยู่บนโต๊ะ แต่ตอนนี้มันเย็นชืดไปเสียแล้ว

เมื่อเขานั่งลงก็เอาผ้าพันแผลในมือออก เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ผ้าพันแผลพวกนี้ดูเกินจริงไปหน่อยตามความคิดไม่ดีของฉีเซิงเทียน มันดูไม่ได้ผลจริง ๆ นั่นแหละ

……………………………

ตอนที่ 156 กินยา

ประตูห้องทำงานของเขาถูกเปิดออกอีกครั้ง เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของอันโหรว เธอเดินเข้ามาจากด้านนอกโดยถือแก้วน้ำอุ่นไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ดูเหมือนจะถือยาเอาไว้

เธอเดินเข้าไปด้านหน้าเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวางแก้วน้ำลงตรงหน้าเขาและพูดว่า “ประธานจิ่ง กินยาค่ะ”

จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองไปที่ยา แม้ตัวยาจะดูน่ากลัว แต่ยาเมื่ออยู่ในฝ่ามือของเธอแล้วมันดูเบาสบายเป็นอย่างมาก

เขาเอื้อมมือไปหยิบเม็ดยามาจากฝ่ามือของเธอ ก่อนจะสัมผัสไปยังมือของเธอ และค่อย ๆ กินยาทีละเม็ด สัมผัสที่มือไปครั้งสองครั้งมันนุ่มนวลชวนให้รู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกาย อืม ดูท่าครั้งนี้น่าจะโชคดีเรื่องการกินยา หลังจากนี้คงต้องคิดเรื่องการกินยาสักหน่อยแล้ว

อันโหรวจับจ้องไปที่การกระทำของเขาอย่างช้า ๆ แม้ว่าใจของเธอคิดทนไม่ไหวอยากง้างปากของเขาขึ้นและยัดยาไปให้เขาทั้งหมด เพราะสิ่งที่เขาทำมันเหมือนกับไก่ที่กำลังจิกเม็ดข้าว ค่อย ๆ กินทีละเม็ดแบบนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสฝ่ามือของเธอ หัวใจมันก็พลอยเต้นกระโจนอย่างรุนแรง มันเป็นคำอธิบายที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ มันทำให้เธอกลัว อยากรู้ว่าจิ่งเป่ยเฉินก่อนหน้านั้นเป็นอะไรกันแน่

แต่ห้องพักผ่อนที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหลังของเขา ถ้าเธอไม่ระวังมีหวังคงเอาชนะเขาไม่ได้อีกแน่ ๆ

เมื่อเห็นเขากินยา ในที่สุดเธอก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น ก่อนจะพูดว่า “ประธานจิ่ง วันนี้เรื่องที่ต้องออกไปข้างนอกคงต้องงดก่อนใช่ไหมคะ?”

“อืม”

“ประธานจิ่ง คุณยังมีอาการอื่น ๆ ตรงไหนบ้างไหมที่ยังไม่สบายอยู่?” เธอถามอย่างระมัดระวัง

“คุณแอบได้ยินอะไรมาอีก?” จิ่งเป่ยเฉินเอนหลัง ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่อันโหรว

ทำอะไรไม่ได้ ความเจ็บป่วยที่ซุกซ่อนนั้นมันคืออะไร อะไรคือการชอบผู้ชาย ตอนที่เขาได้ยินก็หงุดหงิดแทบตาย

มันไม่ใช่แค่แต่งงาน? ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะผู้หญิงตรงหน้าเขาแค่คนเดียว!

“ไม่มีหรอกค่ะ!” ถ้าหากเธอแอบได้ยิน เธอจะถามเขาอีกทำไม?

นิ้วมือขวาของจิ่งเป่ยเฉินค่อย ๆ ขยับขึ้นมาวางบนโต๊ะทำงาน ริมฝีปากของเขาเปิดออกเล็กน้อย และเอ่ยถามไปว่า “คุณเตรียมพร้อมจะหย่าตอนไหน?”

เธออึ้งไปสักพัก ก่อนจะรับรู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร ตัวเธอนั้นไม่เคยแต่งงานมาก่อน แล้วจะหย่าได้ยังไงกัน!

“ไม่ค่ะ!” เธอส่ายหน้า

“คือไม่พร้อมแต่งงาน หรือไม่พร้อมหย่า?” เขาดึงมือขวาของตัวเองกลับ ก่อนจะมองไปที่ดวงตาของเธอด้วยท่าทีเย็นชา

สามีชาวต่างชาติคนนั้นมันไม่คู่ควรแต่งงานกับเธอเพียงเพราะต้องการที่จะรักษาลูกของเธอไว้หรอก นั่นเป็นเหตุผลที่ยังไงก็ต้องแต่งงาน

ถ้าหากเธอกล้าให้ลูก ๆ ของเขาไปเรียกผู้ชายคนอื่นว่าพ่อละก็ เขาคงไม่มีทางปล่อยเธอไปง่าย ๆ แน่

“ภายในบริษัทอย่าคุยเรื่องส่วนตัวที่มันไร้สาระเลยค่ะ ประธานจิ่ง ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อนนะคะ!” เธอหันหลังกลับและเดินออกไป

เขาเริ่มจะโมโหมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่มันต้องทำยังไงดี?

ในขณะที่เธอกำลังจะเดินไปถึงประตู มือขวาก็เอื้อมไปจับลูกบิด จู่ ๆ ด้านหลังก็มีเสียงของจิ่งเป่ยเฉินดังขึ้น “ชงชา”

เธอปล่อยลูกบิดประตูทันที ก่อนจะหันหลังเดินกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาและเดินออกไปหยิบถ้วยชามาอีกครั้ง

จิ่งเป่ยเฉินจับจ้องไปที่เรือนร่างของอันโหรว ก่อนจะใช้สายตาที่ดุร้ายจ้องมองและพิจารณาถึงสามีตัวปลอมของเธอ

เมื่อชงชาเสร็จแล้วเธอก็ได้นำมาให้กับจิ่งเป่ยเฉิน ในขณะที่กำลังออกไปก็เจอฉีเซิงเทียนที่เดินเข้ามา เขายิ้มทักทายและพูดว่า “พี่เฉินเขาบาดเจ็บร้ายแรงหรือเปล่า?”

เธอนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่ตอนที่เข้าไป ผ้าพันแผลของจิ่งเป่ยเฉินถูกเอาออกแล้ว ดูท่าไม่น่าจะร้ายแรง!

“ผู้จัดการฉีควรเข้าไปดูด้วยตัวเองนะคะ ถามเอาได้เลยว่าประธานจิ่งมีตรงไหนไม่สบายอีกบ้าง เมื่อวานคุณนายจิ่งโทรมาบอกให้เขาไปที่โรงพยาบาล โดยกำชับเป็นพิเศษอีกต่างหาก อาการบาดเจ็บของประธานจิ่งก็เพิ่งจะเป็นวันนี้ ดูท่าฉันคิดว่าเขาน่าจะมีอะไรปิดบังอยู่ แต่พอฉันถามไปก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา งานหนักขนาดนี้คงต้องฝากคุณแล้ว!” เธอพูดจบก็เดินจากไป

งานเช้านี่ยังไม่ทันได้ทำ ถ้าหากไม่ทำละก็ ช่วงบ่ายคงได้ยุ่งมากแน่ ๆ

พอฉีเซิงเทียนเปิดประตูห้องทำงานเข้าไปก็เห็นสีหน้าที่สงบของจิ่งเป่ยเฉินเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

เขาเหลือบมองไปยังแขนของจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะพูดว่า “พี่เฉินนี่ก็ร้ายกาจนะ พูดซะเกินจริง แถมยังพูดเกินไปมากอีกต่างหาก”

“ออกไปซะ!” จิ่งเป่ยเฉินไม่แม้แต่จะเหลือบมองคนที่เพิ่งเข้ามา

“อย่าโกรธกันเลย ยิ่งโกรธหน้าจะยิ่งเหี่ยวย่นนะ” ฉีเซิงเทียนนั่งลงตรงหน้าเขาและถามอย่างอดใจรอไว้ไม่ได้ “ผลเป็นยังไงบ้าง?”

“ผลดีมากเลย รู้สึกว่าเร็ว ๆ นี้นายคงต้องไปที่แอฟริกาคนเดียวสักหน่อยแล้ว ตอนนี้กลับบ้านไปเก็บข้าวของและคืนนี้ก็ไปได้เลย” จิ่งเป่ยเฉินพูดเสียงเบา มือขวาหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมา ไม่สนใจคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่กำลังมองมาอย่างจริงจัง

“ฉันผิดไปแล้ว ประธานจิ่งฉันผิดไปแล้ว” ฉีเซิงเทียนยื่นแขนออกไปหาเขาและพูดว่า “หรือไม่นายก็เอามีดมาแทงฉันก็ได้ เราจะได้หายกันไง!”

จิ่งเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมองพลางกางมือขวาออก และพูดว่า “มีด”

“นายเอาจริงดิ!” ฉีเซิงเทียนกลัวมาก รีบชักมือกลับทันที

“ทำไมนายไม่คิดถึงความรู้สึกของฉันในตอนนี้บ้าง เลิกพูดไร้สาระ ไปเอามีดมาหรือจะออกนอกประเทศไป เลือกมาซะ!” เขาจงใจสะบัดมือไปมา ก่อนจะเอียงหัวเล็กน้อยและยิ้มที่มุมปาก

“พี่เฉิน ผมจะเก็บมีดที่ทำร้ายพี่ไว้ทำไมกัน ผมโยนมันทิ้งไปไกล ๆ แล้ว!” เขาจะลืมได้ยังไงว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น ขนาดเขาช่วยสร้างโอกาสกับสาว ๆ แล้วด้วยนะ!

จิ่งเป่ยเฉินใช้มือขวายกโทรศัพท์ขึ้นมาและกดไปที่หมายเลข 1 ซึ่งปลายสายก็เชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร สายก็ถูกตัดโดยฉีเซิงเทียน

“งั้นนายก็ควรหาเหตุผลที่ฉันจะเข้าใจมากกว่านี้” ไม่อย่างนั้นละก็ เขาจะโทรไปหาอันอีหานและให้จองตั๋วบินออกนอกประเทศให้ฉีเซิงเทียนซะ

“ประธานจิ่ง ในเมื่อคุณบาดเจ็บขนาดนี้ก็หาโอกาสใช้ของพวกนี้ให้เป็นประโยชน์สิ! เช่นการให้เธอป้อนข้าว เปิดแฟ้ม ใส่เสื้อผ้า พาไปห้องน้ำ จะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น รับรองไฟมันต้องติดแน่ ๆ!” ฉีเซิงเทียนพูดพลางพยักหน้าอย่างรุนแรง “ผู้หญิงทุกคนล้วนมีน้ำใจ เราเองก็ไม่ควรปล่อยให้โอกาสพวกนี้หลุดลอยไปนะ”

จิ่งเป่ยเฉินวางโทรศัพท์ลงอย่างช้า ๆ ที่ฉีเซิงเทียนพูดมาก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่หน่อย ๆ

เมื่อฉีเซิงเทียนเห็นเขาวางโทรศัพท์ หัวใจก็พลอยโล่งมากขึ้นจึงพูดว่า “เมื่อกี้ฉันดูเแล้ว ดูเหมือนเธอจะเป็นห่วงนายมาก ทั้งยังมาฝากให้ฉันมาถามนายอีกว่ามีตรงไหนที่ไม่สบายอีกหรือเปล่า”

จิ่งเป่ยเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ตัวเขาและพูดว่า “ฉีเซิงเทียน ก่อนหน้านั้นนายพูดอะไรกับแม่ของฉันไป? คิดอยากตายหรือไง?”

อันอีหานนี่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะเคยพูดคุยกับซูรั่วหยามาก่อน ถ้าเป็นไปได้จริง ๆ ละก็ คงเป็นเขาเสียมากกว่า

คงเป็นเพราะตอนนั้นที่เขากลับบ้าน ซูรั่วหยาจึงได้โทรศัพท์มาหาเพื่อนของเขาแน่ ๆ

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ตอนนั้นป้าจิ่งโทรมาบอกว่าแนะนำให้นายไปงานนัดบอด ฉันคิดว่านายคงไม่ไปแน่ ๆ ฉันเลยตอบแบบสบาย ๆ ไปว่า มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้นายไม่ยอมแต่งงานแน่ ๆ ซึ่งความหมายของฉันก็คือนายคงมีคนที่ชอบอยู่แล้วในใจ แต่ป้าจิ่งคงเข้าใจผิดไป ส่วนนี้ฉันเองก็ไม่รู้”

ฉีเซิงเทียนเผยใบหน้าที่มืดมนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ประธานจิ่ง นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ฉันจะให้อันอีหานไปเตรียมอาหารกลางวันให้นะ”

จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้สนใจคนที่เดินออกไป เขาหยิบปากกาบนโต๊ะมากำจนแน่น ก่อนจะโยนมันลงพื้นเสียงดัง

ผ่านไปไม่นานเท่าไร ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ครั้งนี้อันโหรวเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องข้าวอาหารกลางวัน เขาเหลือบมองสักพักก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อทำงานต่อ

อันโหรวมองไปที่ตัวของเขา อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ตอนนี้เขาคือคนป่วยจริง ๆ!

เธอเดินเข้าไปวางอาหารกลางวันที่มุมโต๊ะ พลางย้ายเอกสารตรงหน้าเขาออกไป ก่อนจะเอากล่องอาหารกลางวันไปวางแทน และพูดว่า “ประธานจิ่ง กินข้าวกลางวันด้วยค่ะ”

เขาเงยหน้าขึ้นมามองเธอและพูดด้วยน้ำเสียงที่ออกเชิงมั่นใจว่า “ยกมือไม่ได้”

“ประธานจิ่ง อาหารจริง ๆ แล้วสามารถกินได้ด้วยมือขวานะคะ” เพราะงั้นถ้าหากมือซ้ายบาดเจ็บก็ใช้มือขวากินข้าวแทนสิ