ตอนที่ 86 อวี้หลานซีต่างหากที่เป็นภรรยาในอนาคตของเขา

เดิมพันเสน่หา

อวี้ไป่หันรู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่การพูดออกไปแบบนี้ก็ดีกว่าการให้หนานกงเยี่ยเจอกับอวี้หลานซีโดยไม่ได้เตรียมตัว เพราะถึงอย่างไรทุกคนก็รู้ดีว่าอวี้หลานซีเป็นสะใภ้ที่นายท่านหนานเลือกเอาไว้ ถึงแม้พวกเขายังไม่ได้หมั้นหมายและยังไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่เธอก็ถือเป็นว่าที่ภรรยาของหนานกงเยี่ย

 

 

หลายปีที่ผ่านมา อวี้หลานซีเรียนอยู่ต่างประเทศ เธอไม่เคยมางานวันเกิดของอวี้ไป่หันมาก่อน แต่ปีนี้เธอกลับมาเมืองหลงแล้ว การที่เธอมาร่วมงานวันเกิดของอวี้ไป่หันถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครห้ามเธอไม่ให้มาได้

 

 

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม เขาหันไปมองเหลิ่วรั่วปิง ภายในใจของเขารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย ถึงแม้เขาไม่ได้รักอวี้หลานซี แต่ความรู้สึกที่อวี้หลานซีมีให้เขานั้น เขารู้ดีแก่ใจ อีกทั้งนายท่านหนานเองก็พูดแล้วว่าเธอเป็นสะใภ้ของตน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เหลิ่งรั่วปิงเจอกับเธอ

 

 

“คุณหนานกงจะให้ฉันกลับไปก่อนไหมคะ” เหลิ่วรั่วปิงพูดขึ้นเสียงเรียบ คล้ายกับว่าเป็นเรื่องของคนอื่น เธอไม่ได้มีความรู้สึกไม่พอใจแม้แต่น้อย ไม่มีอารมณ์ใดๆ แม้แต่ความรู้สึกกระอักกระอ่วนก็ไม่มี

 

 

ท่าทีของเธอทำให้หนานกงเยี่ยรู้สึกปวดใจ

 

 

การที่เธอสามารถนิ่งได้ขนาดนี้ มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น เธอไม่ได้รักเขา

 

 

เธอเคยบอกว่าจุดเริ่มต้นระหว่างเธอกับเขามันสกปรก ดังนั้นมันต้องจบไม่สวยแน่นอน เธอปิดประตูหัวใจ ไม่ยอมเปิดใจให้เขา

 

 

ถ้าหากเขารู้ว่าตนเองจะแคร์เธอมากขนาดนี้ และรู้ว่าเธอให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เขาไม่มีวันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับเธอแบบนั้นแน่นอน

 

 

ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เขาไม่อยากปล่อยมือเธอ ไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือเธอ เจายังต้องการมอบความรักที่ดีที่สุดให้กับเธอ

 

 

หนานกงเยี่ยเก็บความเจ็บปวดภายในใจเอาไว้ เขาพูดเสียงเข้ม “ไม่ต้อง” บางทีวันนี้อาจจะเป็นวันที่เขาควรจะพูดทุกอย่างให้ชัดเจน

 

 

คำพูดที่เขาพูดออกมาเหมือนฆ้อนที่ทุบเข้าไปในใจของทุกคน มูเฉิงซี ถังเฮ่า อวี้ไป่หัน หันไปมองหนานกงเยี่ยพร้อมกัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหนานกงเยี่ยจะทำแบบนี้ อวี้หลานซีเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง เธอทั้งมีความเป็นกุลสตรี จิตใจเมตตา เป็นผู้หญิงอ่อนโยน มีความสามารถ เป็นผู้หญิงไร้ที่ติ เธอเหมาะสมจะเป็นแม่ของลูก ผู้หญิงแบบร้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทำให้เสียใจ

 

 

หนานกงเยี่ยส่งสายตาเย็นชาให้กับพวกเขา จากนั้นตักอาหารให้เหลิ่งรั่วปิงด้วยความอ่อนโยน “กินเยอะๆ”

 

 

เวินอี๋เคยได้ยินเรื่องของอวี้หลานซีมาบ้างแล้ว เธอมองไปทางเหลิ่งรั่วปิงด้วยความเป็นห่วง เพราะถึงอย่างไรสถานะของเหลิ่งรั่วปิงในตอนนี้ก็น่ากระอักกระอ่วน

 

 

เหลิ่งรั่วปิงรู้ดีว่าเวินอี๋กำลังคิดอะไรอยู่ เธอคลายยิ้มบางๆ เพื่อที่จะสื่อว่าตนไม่ได้เก็บมาใส่ใจ

 

 

แววตาของเหลิ่งรั่วปิง ทุกคนต่างก็เห็นอย่างชัดเจน แววตาของเธอไร้ซึ่งความรัก ทำให้มู่เฉิงซี ถังเฮ่าและอวี้ไป่หันเป็นห่วงหนานกงเยี่ย ผู้หญิงคนนี้ไม่มีหัวใจไม่มีความรู้สึก แต่เขากลับทุ่มเทให้เธอ พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี?

 

 

หนานกงเยี่ยรู้ดีกว่าทุกคนว่าแววตาของเหลิ่งรั่วปิงเป็นยังไง ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด รู้สึกผิดหวังและหมดเรี่ยวแรง ทุกอย่างบนโลกใบนี้ขอแค่เขาอยากได้ก็ต้องได้มาครอบครอง แต่หัวใจของเธอเขากลับไม่สามารถครอบครองมันได้

 

 

บรรยากาศในห้องมาคุขึ้นมา อวี้ไป่หันถนัดในการแก้ไขสถานการณ์เป็นอย่างดี เขาจึงพูดขึ้น “เฮ้ ถังเฮ่า ช่วงนี้ครอบครัวของนายได้บังคับนายไปนัดบอร์ดไหม”

 

 

ถังเฮ่าดื่มเหล้าเข้าไปหนึ่งอึกด้วยความรำคาญ “อย่าพูดถึงเรื่องนี้!”

 

 

“ฮ่าๆๆ….” อวี้ไป่หันหัวเราะชอบใจ “คิดไม่ถึงจริงๆ คนอย่างแกจะมีเรื่องเครียดด้วย ความเป็นจริงเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี มีผู้หญิงคอยทำให้ชุ่มฉ่ำหัวใจ ชีวิตของแกจะได้มีสีสัน วันๆ แกเอาแต่อยู่กับยาจนแทบจะแต่งงานกับมันอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็เป็นห่วงกลัวว่าแกจะไม่ปกติ อีกอย่างพ่อกับแม่ของแกก็เป็นห่วงเรื่องทายาทด้วย”

 

 

“การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความรัก เป็นการขึดหลุมฝังศพตัวเองชัดๆ ฉันไม่อยากมีชีวิตแบบนั้น” ถั่งเฮ่ามีความคิดเป็นของตนเองสูงมาก

 

 

หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ “ความรักคืออะไร” เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าความรักเป็นยังไง ตั้งแต่เบ็กจนโต ไม่เคยมีใครสอนเขาว่าควรจะนักใครสักคนยังไง

 

 

“ความรัก…” อวี้ไป่หันทำท่าทางเหมือนตนเองเชี่ยวชาญกับเรื่องนี้ “ความรักคือการที่แกสามารถนอนกับทุกคนได้ตอนที่ยังไม่มีเธอ แต่พอมีเธอแล้วแกสามารถนอนกับเธอได้แค่คนเดียว”

 

 

“ฮ่าๆๆ…” เสียงหัวเราะของผู้หญิงที่อยู่รอบๆ อวี้ไป่หันดังขึ้น “คุณชายอวี้ คุณตลกมากเลยนะคะ”

 

 

อวี้ไป่หันหัวเราะด้วยความได้ใจ เขาบีบจมูกของหญิงสาวเบาๆ “ตอนนี้ฉันอยากนอนกับเธอแค่คนเดียว ซึ่งก็หมายความว่าฉันรักเธอ”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงเห็นมาเยอะแล้ว เธอไม่ได้เก็บเอาคำพูดของอวี้ไป่หันมาใส่ใจ เหลิ่งรั่วปิงกินอาหารตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าเวินอี๋ยังเป็นผู้หญิงใสซื่อ เมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ไป่หัน หน้าของเธอก็แดงระเรื่อ จนนั่งไม่ติดเก้าอี้ เวินอี๋คิดในใจ ถ้าหากมู่เฉิงซีคิดแบบนี้เธอจะทำยังไงดี

 

 

มู่เฉิงซีรู้สึกว่าผ้าขาวของตนถูกคนเอาหมึกมาทำให้เปื้อน เขาไม่พอใจมาก จึงยกเท้่ขึ้นแล้วเตะเก้าอี้ของอวี้ไป่หัน อวร้ไป่หันเกือบจะหงายหลัง เสียงหัวเราะที่มีก่อนหน้านี้เงียบลงทันที

 

 

อวี้ไป่หันมองมู่เฉิงซีด้วยสายตาโมโห เขาหมดอารมณ์ทันที จึงยกมือขึ้นโบก แล้วไล่ผู้หญิงพวกนั้นออกไป

 

 

หนานกงเยี่ยหันหน้าไปมองเหลิ่งรั่วปิง เมื่อเห็นเธอยังคงนั่งนิ่งด้วยความสง่างาม เขารู้สึกภูมิใจขึ้นมาทีนที ผู้หญิงของหนานกงเยี่ยไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเธอก็นิ่งมาก ไม่ใช่ผู้หญิงที่คอยออเซาะเขาไม่ต้องเป็นกังวลว่าเธอจะคิดเล็กคิดน้อย

 

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง จากนั้นประตูก็เปิดออก อวี้หลานซีสวมชุดเดรสสีน้ำเงิน เธอเดินเข้ามาด้วยความสง่างาม ใบหน้าของเธอแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

ก่วนอวี้เดินตามมาข้างหลัง เขามองดูหนานกงเยี่ยด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน เขารู้ดีว่าหนานกงเยี่ยไม่ต้องการให้อวี้หลานซีโผล่มาที่นี่ แต่เขาไม่สามารถทนกับคำขอร้องของอวี้หลานซีได้ เขาจึงขับรถส่งเธอมาที่นี่

 

 

เหลิ้งรั่วปิงเหมือนไม่เห็นอวี้หลานซีอย่างไรอย่างนั้น เธอเอาแต่ก้มหน้ากินอาหาร

 

 

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม จากนั้นเงยหน้าขึ้น แล้วคลายยิ้มอ่อนโยนให้กับอวี้หลานซี

 

 

เวินอี๋มองอสี้หลานซีกับเหลิ่งรั่วปิงสลับไปมา จู่ๆ เธอก็รู้สึกเศร้าใจ ไม่ว่าเหลิ่งรั่วปิงจะแคร์เรื่องนี้หรือไม่ แต่สถานะของเธอในตอนนี้น่ากระอักกระอ่วน เวินอี๋นึกถึงตนเอง เธอกับมู่เฉิงซีไม่เหมาะสมกันแม้แต่น้อย เขาไม่กล้าให้คนที่บ้านรู้ว่ากำลังคบกับตน เวินอี๋กลัวว่าในอนาคตข้างหน้า เธอจะตกที่นั่งลำบากมากกว่าเหลิ่งรั่วปิง

 

 

บรรยากาศตอนนี้มาคุมาก

 

 

อวี้ไป่หันยังคงเป็นคนที่คอยทำให้บรรยากาศในห้องดีขึ้น “อั๊ยย๊า หลานซี เป็นเกียรติของผมมากที่คุณมาไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ รีบมานั่งเร็ว”

 

 

อวี้หลานซีคลายยิ้ม เธอเดินไปนั่งทางด้านขวามือขอหนานกงเยี่ย นั่งลงแล้วพูดเสียงหวาน “ไป่หัน ฉันไม่ได้มาสายใช่ไหมคะ”

 

 

“ไม่เลยครับๆ คุณมาได้เวลาพอดี” อวี้ไป่หันพยายามฉีกยิ้ม แต่ไม่ว่าจะมองยังไงรอยยิ้มของเขาก็ดูเป็นยิ้มแห้งๆ

 

 

“เยี่ย คุณได้เตรียมของขวัญหรือยังคะ” อวี้หลานซีพยายามแสดงความเป็นว่าที่เจ้าสาวของหนานกงเยี่ย เธอยิ้มอย่างสง่างาม

 

 

“ครับ” หนานกงเยี่ยพยักหน้า เขายิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณมาได้ยังไงครับ”

 

 

อวี้หลานซียังคงยิ้มหวานท”หลายปีที่ผ่านมาฉันไม่ได้อยู่ที่เมืองหลง ไม่เคยมางานวันเกิดของไป่หันสักครั้ง ปีนี้ฉันกลับมาแล้ว แน่นอนว่าต้องมายินดีด้วยตนเองสิคะ”

 

 

ขณะที่พูด อวี้หลานซีหันหน้าไปมองเหลิ่งรั่วปิง “คุณเหลิ่ง พวกเราเจอกันอีกแล้วนะคะ”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้มบางๆ เป็นการตอบกลับ เธอไม่ได้พูดอะไร ก่อนหน้านี้หนานกงเยี่ยเคยเตือนเธอแล้ว อวี้หลานซีกับเธอไม่เหมือนกัน เวลาที่จะพูดอะไรให้ระวังคำพูดด้วย คำพูดของเขาเธอจำขึ้นใจ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะเงียบ

 

 

อวี้หลานซีไม่สนใจความเย็นชาของเหลิ่งรั่วปิง “ได้นฝยินว่าคุณย้ายกลับมาอยู่ที่วิลล่าหย่าเก๋อ ขาดเหลืออะไรบอกฉันได้นะคะ เดี๋ยวฉันให้คนไปจัดการ” ท่าทีของเธอ เหมือนท่าทีของฮองเฮาที่กำลังปฏิบัติต่อสนมเอก

 

 

เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกว่าตนเองน่าเศร้าและน่าสงสาร แต่นี่เป็นความจริง เธอเองก็ไม่มีอะไรจะพูด ด้วยเหตุนี้เธอจึงลุกขึ้น “ขอโทษนะคะ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน”

 

 

“รอฉันด้วยค่ะ ฉันไปด้วยค่ะพี่รั่วปิง”เวินอี๋ตามเหลิ่งรั่วปิงออกไป เธอรู้สึกอึดอัดใจ

 

 

หนานกวเยี่ยมองดูแผ่นหลังของเหลิ่งรั่วปิง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

มู่เฉิงซีเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เวินอี๋เป็นผู้หญิงอ่อนหวาน เธอเป็นคนที่จิตใจละเอียดอ่อน เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ คงทำให้เธอรู้สึกกลัว เธอไม่ใช่เหลิ่งรั่วปิง ความคิดของเวินอี๋ง่ายในการชักจูงมาก เขากลัวว่าเธอจะเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้

 

 

เมื่อเข้าไปในห้องน้ำ เหลิ่งรั่วปิงยืนล้างมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

เวินอี๋วิ่งตามเข้ามา น้ำตาคลอเบ้า “พี่รั่วปิง”

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคลายยิ้ม “เด็กโง่ ร้องไห้ทำไม”

 

 

“คุณหนานกงทำแบบนี้กับพี่ได้ยังไงคะ!”

 

 

“ไม่เห็นมีอะไรหนิ พี่เป็นแค่สัตว์เลี้ยงแก้เบื่อของเขา อวี้หลานซีต่างหากที่เป็นภรรยาในอนาคตของเขา พี่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับคุณหนานกงก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระยะยาว

 

 

“พี่รั่วปิง ตอนนี้เวินอี๋เข้าใจแล้วว่าพี่เป็นห่วงเรื่องอะไร ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองควรจะทำอย่างไร ถ้าอนาคตข้างหน้ามู่เฉิงซีทำกับฉันแบบนี้”

 

 

“เข้าใจก็ดีแล้ว ถ้าวันไหนเขาใจร้ายกับเธอ เธอก็ไปจากชีวิตเขา นี่เป็นทางเดียวที่เธอจะสามารถปกป้องตนเองได้

 

 

“ค่ะ” เวินอี๋ร้องไห้จนน้ำตาอาบแก้ม ดวงตาของเธอบวมแดง

 

 

เหลิ่งรั่วปิงคว้าตัวเธอเข้ามากอดด้วยความปวดใจ เธอตบหลังของเวินอี๋เบาๆ เป็นการปลอบโยน เธอไม่สามารถช่วยอะไรเวินอี๋ได้มากกว่านี้แล้ว เวินอี๋ยกหัวใจตนเองให้กับมู่เฉิงซี ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนี้เธอต้องแบกรับมันเอาไว้

 

 

ผ่านไปนานครู่หนึ่ง ประตูห้องน้ำถูกเปิดเข้ามา มู่เฉิงซีบุกเข้ามาในห้องน้ำด้วยสีหน้ากังวล “เวินอี๋ ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”

 

 

เวินอี๋เงยหน้าขึ้น นานครู่หนึ่งกว่าเธอจะหมุนตัวกลับไป เธอไม่อยากให้มู่เฉิงซีเห็นน้ำตาของตนเอง

 

 

เหลิ่งรั่วปิงมองไปทางมู่เฉิงซี “คุณออกไปรอข้างนอกหนึ่งนาที ที่นี่เป็นห้องน้ำผู้หญิง พวกฉันยังทำธุระส่วนตัวไม่เสร็จ”

 

 

มู่เฉิงซีลังเล ทว่าสุดท้ายเขาก็หมุนตัวออกไป

 

 

“พี่รั่วปิง ตอนนี้ฉันไม่อยากเจอเขาแล้ว” น้ำตาของเวินอี๋ไหลรินลงมาอีกครั้ง

 

 

เหลิ่งรั่วยิ้มแล้วเช็ดน้ำตาให้กับเธอ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คนโง่ เราต้องเผชิญหน้ากับความจริง ตอนนี้เวินอี๋บอกว่าไม่อยากเจอเขา จากนิสัยของมู่เฉิงซีแล้ว เขาคงไม่มีวันยอม ไม่ว่าสุดท้ายเธอจะตัดสินใจยังไงก็ควรที่จะพูดออกไปให้ชัดเจน”

 

 

“ค่ะ” เวินอี๋พยักหน้า

 

 

“ไปกันเถอะ”

 

 

หลังจากที่เวินอี๋เดินออกไป เหลิ่งรั่วปิงมองดูตนเองในกระจกแล้วจัดทรงผมให้เข้าที่ จากนั้นหมุนตัวเดินออกไปจากห้องน้ำ ถึงแม้เธอจะไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอก็ต้องกลับไปที่งานเลี้ยง ถ้าไม่ได้รักเขาก็ต้องไม่สนใจทุกอย่าง เธอต้องแสดงออกไปให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

รองเท้าส้นสูงสีขาว เหยียบบนพื้นหินอ่อน ภายในอาคารที่กว้างใหญ่ เสียงนั้นดังกึกก้อง

 

 

ทางเดินที่ยาวเป็นทาง มุมทางเดิน เธอได้ยินเสียงที่คุ้นหู เป็นเสียงของหนานกงเยี่ยและอวี้หลานซี