บทที่ 77 เรื่องราวที่บ้าน (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“บัณฑิตหรือ” ลู่เซิ่งพลันงุนงง

“ใช่แล้ว… เห็นคุณชายผู้นั้นคล้ายร่ำรวย ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันยิ่ง…” เฉี่ยวเอ๋อร์ไม่กล้าพูดอยู่บ้าง เรื่องนี้ความจริงเก็บไว้ในใจมานาน แต่เป็นเพราะเกี่ยวกับเรื่องในบ้านของผู้เป็นนาย ลู่เซิ่งไม่ถาม นางก็ไม่กล้าพูดพล่อยๆ

“เป็นคุณชายบัณฑิตร่ำรวยหรือ ข้าว่าแล้ว นางที่แล้วมาจ่ายเงินมือเติบ แค่ร้านเล็กๆ ร้านนั้นจะพอให้นางใช้ได้อย่างไร ที่แท้มีสาเหตุมาจากตรงนี้” ลู่เซิ่งพลันเข้าใจ “ข้ากลับอยากเห็นนักว่าใครกล้ามาหาเรื่องคนตระกูลลู่” สายตาเขามืดครึ้มเล็กน้อย

“ไม่…ไม่ใช่นะคุณชาย ข้าเห็นคุณหนูห้าสนิทกันกับเขายิ่ง ไม่เหมือนความสัมพันธ์… ความสัมพันธ์แบบนั้น” เฉี่ยวเอ๋อร์รีบโบกมือ “คุณชายผู้นั้นดูอ่อนโยนสุภาพมาก คุณหนูห้าอยากได้อะไรเขาล้วนตอบรับ ทั้งสองดูท่าทางมีความสุข”

“หือ? มีความสุขกรือ” ลู่เซิ่งงงงัน เรื่องจริงเรื่องเท็จ เขารู้จักนิสัยลู่อิงอิงดี นางถึงกับเจอคุณชายบัณฑิตหนุ่มที่มีทั้งเงินทั้งมารยาท ยังอ่อนโยนอีกด้วย

“เฉี่ยวเอ๋อร์เจ้าไม่ได้มองผิดกระมัง”

“ไม่ผิด… ไม่ผิดจริงๆ” เฉี่ยวเอ๋อร์รีบยืนยัน “ตอนแรกเฉี่ยวเอ๋อร์ก็นึกว่ามองผิด ต่อมาติดตามดู ค่อยพบว่าไม่ผิด”

ได้ยินดังนี้ ลู่เซิ่งหมดคำพูดอยู่บ้าง เขารู้ดีว่าลู่อิงอิงมีนิสัยอย่างไร ถ้าทั้งสองคนชอบพอกันจริงๆ ก็ดี ถ้าอีกฝ่ายคิดใช้ประโยชน์จากนาง อย่างนั้นต้องตรวจสอบ

“ช่างเถอะ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” เขาบอก

เฉี่ยวเอ๋อร์ลังเลอยู่บ้าง “คุณชายอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่”

“ไม่ต้อง พรุ่งนี้ค่อยทำ” ลู่เซิ่งบิดคอดังกร๊อบๆ

“ได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวเฉี่ยวล่าถอยออกจากห้องเงียบๆ เหลือลู่เซิ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะกลมคนเดียว มือถือจอกสุรา รินสุราดอกบ๊วยให้ตัวเอง ก่อนจิบเบาๆ

‘จากก่อนหน้าถึงตอนนี้ หลังจากฆ่ากงซุนจางหลานแล้ว ร่างกายเราคล้ายปรากฏปัญหา…’ เขาขมวดคิ้ว สลัดเรื่องราวไร้สาระ หลับตาใคร่ครวญ

นึกย้อนอย่างละเอียด ช่วงนี้ตนเริ่มขี้หงุดหงิดมากขึ้น ทุกๆ วันที่ตื่นเช้ามา ต่างรู้สึกผิวหนังร้อนลวก เหมือนเลือดลมหมุนเร็วไม่น้อย

‘ปรากฏการณ์นี้เริ่มตั้งแต่ตอนไหน’ เขาตรึกตรอง

‘เหมือนจะค่อยๆ บังเกิดปรากฏการณ์นี้ตั้งแต่เราเริ่มฝึกวิชาโซ่เก้าสินธุ’

เขาหยิบเคล็ดวิชาโซ่เก้าสินธุออกมาอ่านดูอย่างละเอียด ไล่ตามแถว ตัวหนังสือ ประโยค ไม่ทันไรก็เจอตัวหนังสือเล็กๆ แถวหนึ่งด้านล่างในหน้าที่สาม

‘ผู้ฝึกกล้ามเนื้อจะแห้งและมัน ไม่มีปราณชื้น บวกกับทาน้ำมันยาทั้งตัว ในสามชั่วยามไม่อาจแตะน้ำ เพื่อสำเร็จความรู้สึกถึงปราณ’

วิชาโซ่เก้าสินธุความจริง เป็นวิชาแข็งกร้าวที่ฝึกฝนปราณภายในและเสริมสร้างเอ็น กระดูก ผิวหนังที่หายากสุดขีด ความจริงไม่นับเป็นวิชากำลังภายนอกหากเป็นวิชากำลังภายใน

นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ลู่เซิ่งเลือกมัน

‘กล้ามเนื้อแห้งและมัน ไร้ปราณชื้น ยังต้องใช้น้ำมันยาธาตุร้อนทาตัว ในสามชั่วยามไม่อาจแตะน้ำ… นี่ไม่ใช่ให้ร่างกายอยู่ในสภาพแห้งร้อนโดยสมบูรณ์หรือ’ ลู่เซิ่งพลันเข้าใจบ้างแล้ว

‘ส่วนวิชาหยินหยางกระเรียนหยกของเราเดิมใช้ปรับหยินหยาง ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพร้อนหนาวสมดุล หรือเป็นเพราะวิชาหยินหยางกระเรียนหยก ทำให้เราไม่อาจเข้าสู่วิชาโซ่เก้าสินธุขั้นเบื้องต้นได้สักที’ ลู่เซิ่งคาดเดาในใจ ‘ครั้งหน้าลองใช้วิชาหยินหยางกระเรียนหยกให้หมด ค่อยฝึกวิชาโซ่เก้าสินธุ’

เช้าตรู่วันที่สอง เขาตื่นมากินข้าวเช้าอย่างรวดเร็ว แล้วเก็บของ กำลังจะออกจากบ้าน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ยังไม่ทันมัดสายรัดเอวดี เสียงเคาะประตูก็ดังมา

เฉี่ยวเอ๋อร์วิ่งตุบๆ ไปเปิดประตู

“ผู้ใด”

“พี่ลู่อยู่หรือไม่ ข้าน้อยซ่งเจิ้นกั๋วมาเยี่ยม แม่นางเฉี่ยวเอ๋อร์ไม่เจอหลายวัน ขอรบกวน” เสียงซ่งเจิ้นกั๋วดังมาจากนอกประตู

“คุณชายซ่งนี่เอง คุณชายข้าอยู่พอดี” เฉี่ยวเอ๋อร์ตอบเสียงใส นางมีความทรงจำที่ดีต่อคุณชายซ่งที่มาแทบทุกวันผู้นี้

“พี่ซ่งไม่เจอกันนาน” ลู่เซิ่งหัวเราะจัดการเสื้อผ้า เดินออกจากห้องนอน

ประตูเปิดแล้ว ซ่งเจิ้นกั๋วเดินมาด้วยใบหน้าหดหู่ เห็นหัวโล้นเป็นเงางาม แขนใหญ่เท่าขาของลู่เซิ่ง พลันงงัน

“ท่าน… ท่านคือพี่ลู่?!”

ลู่เซิ่งจนใจอยู่บ้าง ตั้งแต่เริ่มฝึกวิชาแข็งกร้าว รูปร่างยิ่งมายิ่งกำยำเหมือนเป่าลม จนถึงตอนนี้ปิดไม่อยู่แล้ว เขาเข้าออกล้วนสวมชุดสีดำ ยังหมดหนทาง มองผ่านอาภรณ์ดำเห็นกล้ามเนื้อล่ำสันที่เหมือนโคของเขาได้

“เป็นข้าเอง ช่วงนี้กินไม่เลือก ไม่ทราบเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้” ลู่เซิ่งยิ้มหนักใจ “มา มา มา นั่งลงคุยกัน”

เขาลากซ่งเจิ้นกั๋วเข้าไปนั่งในห้อง

“พี่ลู่ ไม่ทราบจะทดสอบเจิ้นกั๋วเมื่อใด ข้ารอจนทนไม่ไหวจริงๆ แล้ว” ซ่งเจิ้นกั๋วกลับบอกปัด ใบหน้าร้อนรน

“ทดสอบ…” ลู่เซิ่งมองออกว่าซ่งเจิ้นกั๋วอดรนทนไม่ไหวแล้ว เรื่องของเรือสำราญหอแดงส่งผลกระทบต่อเขามากเกินไปจริงๆ จนถึงตอนนี้ยังมีท่าทางเจ็บปวดรวดร้าว

“พี่ลู่ ไม่ขอปิดบัง ช่วงนี้ข้าไปสำนักยุทธ์ทุกแห่งในเมือง น่าเสียดาย… เสริมสร้างร่างกายกลับมี แต่จะฝึกจนเกิดความสามารถอย่างพี่ลู่ ไม่มีสักแห่งเดียว” ซ่งเจิ้นกั๋วยิ้มขื่น

ลู่เซิ่งส่ายหน้าขณะมองคนลุ่มหลงในรักจนน่าสงสารผู้นี้

“เอาเถอะ วันนี้เลยก็แล้วกัน วันนี้ไปทดสอบคุณสมบัติพี่ซ่งกัน แต่พูดความจริง ความหวังมีไม่มาก”

ซ่งเจิ้นกั๋วสีหน้าแน่วแน่

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ยังคิดลองดู”

ลู่เซิงลุกขึ้น

“เช่นนั้นตามข้ามา”

เขาให้เฉี่ยวเอ๋อร์จัดการอาหาร และไปร้านค้าถามไถ่สถานการณ์การย้ายบ้าน ตนพาซ่งเจิ้นกั๋วออกจากเมืองเลียบคีรี ทั้งสองขี่ม้าไปตามเส้นทางหลวงด้านข้าง ไม่ทันไรก็ถึงที่ว่างในป่าเล็กที่ลู่เซิ่งใช้ฝึกวิชาเป็นประจำ

อากาศตอนเช้าสดชื่น ฝนเพิ่งตกไป หยดน้ำเกราะพราวบนใบไม้และพื้นหญ้า

“ตรงนี้เถอะ”

ลู่เซิ่งยืนอยู่กลางป่าเล็ก ผูกม้าไว้แล้วหันมามองซ่งเจิ้นกั๋ว

“ควรทดสอบอย่างไร” ในสีหน้าซ่งเจิ้นกั่วมีความคาดหวัง หากมีความหวาดหวั่นยิ่งกว่า

เขาล้มเหลวมาหลายครั้งเกินไป สำนักยุทธ์พอได้ยินคำขอร้องของเขาก็คิดว่าเขาบ้า จะไปถึงระดับนั้นได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเขา เจ้าสำนักยุทธ์ยังทำไม่ได้

จนถึงตอนนี้เขาค่อยเข้าใจจริงๆ ว่า พลังของลู่เซิ่ง พี่ลู่เป็นระดับใดในสังคม

“กล่าวตามจริง ข้าเองก็ไม่ทราบว่าสมควรทดสอบอย่างไร แต่ว่าข้าครอบครองวิทยายุทธไม่น้อย จะถ่ายทอดวิชาเดินลมปราณเบื้องต้นให้ท่านได้ ดูว่าท่านปรับตัวได้ไหม” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ

“วิชาเดินลมปราณ เป็นวิชากำลังภายในใช่หรือไม่?!” ซ่งเจิ้นกั๋วตกตะลึง หลังไปสำนักยุทธ์มาหลายที่ เขาก็ทราบกระจ่างว่าเหล่าอาจารย์สอนวรยุทธ์ เก็บงำความสามารถของตัวเองไว้ถึงขนาดไหน วิชาเดินลมปราณกำลังภายในเป็นสมบัติล้ำค่ามูลค่าหมื่นพัน ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเป็นยอดฝีมือกำลังภายในคนหนึ่งถ่ายทอดให้โดยตรง

“ไม่ต้องตื่นเต้น วิชาเดินลมปราณนี้ก็แค่เป็นวิชาเดินลมปราณทั่วไปที่ธรรมดาที่สุด มีแค่ระดับเดียว ขอแค่ท่านไม่บอกต่อภายนอกก็ไม่มีปัญหามาก” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างขอไปที เขาตัดสินใจแต่แรกแล้วว่าจะถ่ายทอดอะไรให้ซ่งเจิ้นกั๋ว

วิชากำลังภายในที่เขาครอบครองมีเคล็ดสนเขียวหนึ่งสำนึก โน้มนำหยินหยาง วิชาทมิฬพิฆาต วิชากระเรียนหยก วิชาลมปราณแดงฉาน

วิชาลมปราณแดงฉานไม่อาจถ่ายทอดส่งเดช ส่วนวิชาทมิฬพิฆาตฝึกช้าสุดขีด เสียเวลาหลายสิบเท่าของวิชากำลังภายในอื่นๆ ตอนแรกเขาเพื่อความรู้สึกถึงปราณเล็กน้อย ต้องฝึกฝนนานเท่าไหร่ เขาเข้าใจดี ความสามารถนี้จะใช้คล่องแคล่วนั้นยากเย็นแสนเข็ญ

ดังนั้นที่ถ่ายทอดได้จริงๆ มีแต่วิชาหล่อเลี้ยงชีวิตที่เหลือ

แน่นอนยังมีวิชากำลังภายในหลอมรวมที่ตนเรียนรู้ออกมาในภายหลัง แต่ลู่เซิ่งตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ถ่ายทอดวิชากำลังภายในหลอมรวมเหล่านี้ไปด้านนอกเด็ดขาด นอกเสียจากภายหลังวรยุทธ์ของเขามีส่วนสำเร็จ มีคุณสมบัติและศักยภาพสร้างวรยุทธ์เองได้ อาจจะประกาศว่าตัวเองสร้างวิชา ส่วนจะถ่ายทอดหรือไม่ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันเถอะ

“วิชาเดินลมปราณที่ข้าจะถ่ายทอดให้ท่านในตอนนี้ ท่านต้องรับปากข้าสองสามข้อ ข้อแรก ห้ามถ่ายทอดให้คนอื่น ข้อสอง ตอนฝึกฝนถ้ารู้สึกไม่ดี ให้หยุดทันที ข้อสาม ค่ายสำนักที่ข้าอยู่คือสำนักอาทิตย์ชาด ถ้าวิชาเดินลมปราณกำลังภายในท่านฝึกไม่สำเร็จ ข้าจะถ่ายทอดวรยุทธ์กำลังภายนอกให้ แต่ต้องเข้าสำนักอาทิตย์ชาดก่อน”

ลู่เซิ่งรู้สึกว่าสำนักอาทิตย์ชาดมีคนน้อยเกินไป อย่างมากสุดเขายังขยายคนได้ เมื่อคนมากก็จัดการเรื่องราวได้ง่าย อาศัยแค่พรรควาฬแดงยังกระจัดกระจายเกินไป มีแรงเกาะตัวไม่พอ

หนำซ้ำเขาต้องการพลังและขุมกำลังที่เป็นของตัวเอง การถ่ายทอดความสามารถแก่ซ่งเจิ้นกั๋วเป็นแค่จุดเริ่มต้น

“ข้ารับปากสามข้อนี้!” ซ่งเจิ้นกั๋วทราบดีว่าไม่อาจพลาดโอกาส การได้รู้จักกับยอดฝีมือระดับลู่เซิ่ง สำหรับเขาเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ ดังนั้นตอบรับทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“ท่านพิจารณาดีแล้วหรือไม่ นอกเสียจากท่านบรรลุระดับสุดยอดของการฝึกกำลังภายในและกำลังภายนอกพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นตลอดชีวิตอาจเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักอาทิตย์ชาด” ลู่เซิ่งแต่งสถานะหนึ่งขึ้น

“พิจารณามาอย่างดีแต่แรกแล้ว” ซ่งเจิ้นกั๋วไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ข้าต้องกราบท่านเป็นอาจารย์ หรือว่า…”

“ถ้าท่านสำเร็จปราณภายใน กราบข้าเป็นอาจารย์ก็ได้ ถ้าไม่สำเร็จ…” ลู่เซิ่งส่ายหน้า ไม่พูดอะไร ถ้าฝึกฝนปราณภายในไม่สำเร็จ กราบเขาเป็นอาจารย์ก็ไม่มีประโยชน์ ขีดความสามารถส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่การฝึกฝนกำลังภายในและกำลังภายนอกพร้อมกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่เป็นท่า

“เข้าใจแล้ว” ซ่งเจิ้นกั๋วพยักหน้า

“เช่นนั้น เริ่มเลยเถอะ เลียนแบบข้า” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ

เขาฉีกผ้าสีเทาสองผืนปูไว้บนพื้น ตนทรุดนั่งลงขัดสมาธิ

ซ่งเจิ้นกั๋วนั่งขัดสมาธิตาม

“ผนึกจิตสงบปราณ”

“ผนึกจิตสงบปราณ!” ซ่งเจิ้นกั๋วสีหน้าขึงขัง

“หลับตา”

“หลับตา” ซ่งเจิ้นกั๋วหลับตา

“ปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่า อย่าคิดอะไรทั้งสิ้น ผ่อนคลายร่างกาย ไม่ต้องเกร็ง…” ลู่เซิ่งนำซ่งเจิ้นกั๋วทีละคำๆ เริ่มฝึกเคล็ดสนหนึ่งสำนึก

เขาทราบว่าสาเหตุที่เรือสำราญหอแดงในตอนนั้นต้องการสร้างปัญหาให้ซ่งเจิ้นกั๋ว เป็นเพราะคุณสมบัติร่างเขาเป็นคนปีหยินเดือนหยินยามหยินซึ่งหายากสุดขีด

ลู่เซิ่งไม่ทราบว่าคนแบบนี้มีอะไรพิเศษ แม้แต่ผีก็รวบรวมกันตามล่า แต่สุดท้ายคงมีส่วนที่แตกต่างจากคนธรรมดาอยู่บ้างกระมัง

ลู่เซิ่งบรรยายบทเบื้องต้นของเคล็ดสนหนึ่งสำนึกระดับหนึ่งออกมาทีละส่วนๆ

การกำจัดความฟุ้งซ่านเดิมเป็นขั้นตอนที่ยากเย็น ความคิดของคนซับซ้อนเกินไป นอกจากทารก ไม่อย่างนั้นผู้ใหญ่ไหนเลยกำจัดความฟุ้งซ่าน ทำจิตใจให้ว่างเปล่าได้ง่ายดายปานนั้น

แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งคาดไม่ถึงคือ ซ่งเจิ้นกั๋วนั่งลงไม่เกินครึ่งก้านธูป ถึงกับสงบนิ่งเข้าสู่สมาธิอย่างแท้จริง

ถึงแม้ระดับเบื้องต้นของวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตนี้ง่ายดาย กล่าวได้ว่าหนึ่งวันก็เกิดความรู้สึกถึงปราณ แต่ว่าการเข้าสู่ห้วงสมาธินี้ก็ออกจะเร็วเกินไปกระมัง

พึงทราบว่าถ้าเข้าสู่สมาธิได้ จะเกิดความรู้สึกถึงปราณอย่างรวดเร็ว

“อาจารย์ลู่ ข้ารู้สึกว่ามีเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่งไหลเป็นวัฏจักรระหว่างทรวงอกและท้อง” เพิ่งนึกจบ ซ่งเจิ้นกั๋วก็พูดขึ้น

………………………………………….