บทที่ 78 เรื่องราวที่บ้าน (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ลู่เซิ่งอึ้ง หมดคำพูด

‘ถึงตอนนี้เราใช้เวลาเกือบสองชั่วยามครึ่งจึงค่อยมีความรู้สึกถึงปราณ คนปีหยินเดือนหยินยามหยินไม่ธรรมดาจริงๆ’

เขาสงบใจรีบอธิบาย

“นี่คือความรู้สึกถึงปราณขั้นเบื้องต้น ความรู้สึกถึงปราณนี้ท่านต้องใช้เวลาสองชั่วยามขึ้นไปทุกๆ วันหล่อเลี้ยงและปรับให้มั่นคง ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ดูแล แค่ไม่กี่วันก็จะสลายไปเอง” เขาอธิบาย “นี่เป็นการเปลี่ยนจากพลังงานในห้าธัญพืช ท่านไม่ต้องใช้จิตใจควบคุมมัน ร่างกายท่านจะเปลี่ยนถ่ายดูดซับเอง”

“เช่นนั้นอาจารย์ลู่ เวลาปรับให้มั่นคงนานเท่าใด” ซ่งเจิ้นกั๋วลืมตาขึ้น สีหน้ามีความยินดี คิดไม่ถึงว่าครู่เดียวก็สัมผัสปราณภายในได้

“ท่านมีคุณสมบัติไม่เลว ผลของวิชากำลังภายในนี้ยอดเยี่ยม ดังนั้นจึงใช้เวลาเล็กน้อย แค่สามปีก็จะปรับความรู้สึกถึงปราณขั้นเบื้องต้นให้มั่นคงได้ ภายหลังค่อยเลือกฝึกฝนวิชาเดินลมปราณลมปราณระดับหนึ่ง” ลู่เซิ่งคำนวณตามเวลาบนคัมภีร์

“สามปี!?” ซ่งเจิ้นกั๋วพลันตะลึง รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งทื่อ

เขาเห็นลู่เซิ่งยังหนุ่มก็มีพลังฝึกปรือล้ำลึก วรยุทธ์น่าทึ่ง จึงนึกว่าขอแค่คุณสมบัติดี ก็จะเรียนวรยุทธ์ได้เร็ว คิดไม่ถึงระดับเบื้องต้นของวิชาเดินลมปราณลมปราณกำลังภายในวิชาเดียวก็จำเป็นต้องใช้เวลาสามปีถึงจะปรับให้มั่นคง…

“ท่านยังนับว่าเป็นคนมีคุณสมบัติดี ถ้าเป็นคนอื่นอย่างน้อยต้องใช้เวลาสี่ปีถึงห้าปี” ลู่เซิ่งพูดต่อ “ยอดฝีมือกำลังภายในฝึกยากกว่ากำลังภายนอกมาก นี่เป็นเหตุผลหนึ่ง เวลาลงแรงนานแสนนาน หนำซ้ำผลตอบแทนที่ได้ยังไม่แน่ว่าจะมาก ยอดฝีมือกำลังภายในหลายคนฝึกฝนมาหลายปี หลังออกด่านเป็นเพราะไม่รู้จักโจมตี ถูกคนฆ่าง่ายๆ ก็มีอยู่ไม่น้อย ค่อนข้างน่าเสียดาย”

หลายวันมานี้ เขาขอให้ประมุขพรรคเฒ่าชี้แนะวิชาลมปราณแดงฉาน ได้ทราบเรื่องราวในยุทธภพไม่น้อย ไม่ใช่คนไร้ความรู้โดยสิ้นเชิงเหมือนตอนแรกอีกต่อไป พูดเรื่องเหล่านี้ได้เป็นเหตุเป็นผล

“เช่นนั้นข้าฝึกกำลังภายนอกเสริมได้หรือไม่” ซ่งเจิ้นกั๋วถามอีก

“ท่านตัดสินใจเข้าสำนักอาทิตย์ชาดของข้าแล้วหรือยัง” ลู่เซิ่งถามกลับ

“ข้าแน่ใจ!” ซ่งเจิ้นกั๋วสีหน้าจริงจัง

“ท่านต้องเข้าใจก่อนว่าเกิดกราบอาจารย์เข้าสำนัก ภายหลังไม่อาจทรยศ ไม่อย่างนั้นจะถูกสหายในสำนักกำจัด เป็นตายไม่ขึ้นกับตัวเอง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงขรึมอีกรอบ

“ข้าแน่ใจ!” ซ่งเจิ้นกั๋วพยักหน้าโดยแรง “อาจารย์ลู่ได้โปรดสั่งสอนข้าด้วย!” เขาประสานมือ คุกเข่าเริ่มโขกหัวให้ลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งไม่ขัดขวาง นี่เป็นกฎ น้ำใจส่วนน้ำใจ ถ่ายทอดวิชาส่วนถ่ายทอดวิชา วิถีโลกนี้ ไม่มีใช้จ่ายโดยไร้สาเหตุ ไม่มีได้รับโดยไร้สาเหตุเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นเขาช่วยชีวิตซ่งเจิ้นกั๋ว ตอนนี้อีกฝ่ายโขกหัวให้ก็ไม่นับเป็นอะไร

โขกหัวครั้งหนึ่ง นั่งตรงครั้งหนึ่ง ทำติดต่อกันเก้าครั้ง ลู่เซิ่งประคองซ่งเจิ้นกั๋วขึ้นมา

“เรื่องสำนักอาทิตย์ชาดยังไม่บอกท่าน ท่านขอแค่เรียนวรยุทธ์ให้ดี ภายหลังถึงเวลาย่อมให้ท่านทราบเอง”

“ได้!” ซ่งเจิ้นกั๋วโขกหัวจนหน้าผากมีเลือดไหล เห็นถึงความแน่วแน่

ไม่แปลก บัณฑิตธรรมดากล้าเผชิญเรือผีอย่างเรือสำราญหอแดงโดยตรง ทั้งยังไม่เกรงกลัว อาศัยแค่ความกล้านี้ก็เหนือกว่าคนทั่วไปมากแล้ว

“จำเคล็ดวิชาไว้ วิชากำลังภายในนี้ชื่อว่าเคล็ดสนหนึ่งสำนึก ท่านปรับความรู้สึกถึงปราณขั้นต้นให้มั่นคงก่อน ข้าค่อยดูว่าท่านเหมาะจะฝึกวรยุทธ์อะไร” หลังกราบอาจารย์ ท่าทีของลู่เซิ่งก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

เขาลุกขึ้น ทำท่าเรียบง่ายหลายท่า แยกเป็นการเคลื่อนไหวที่มีเงื่อนไขพิเศษในวิชากำลังภายในหลายชุด

ซ่งเจิ้นกั๋วลุกขึ้น ฝืนเลียนแบบสองสามท่า แต่ถึงการเคลื่อนไหวที่สามก็ไม่ไหว บิดตัวบิดกระดูกไม่ได้ ข้อต่อแข็งเข้ารูปแล้ว นี่เป็นผลลัพธ์เลวร้ายที่ไม่ฝึกฝนวรยุทธ์ตั้งแต่เด็ก

ประเมินเส้นเอ็นกระดูกของซ่งเจิ้นกั๋วเล็กน้อย ลู่เซิ่งส่ายหน้าในใจ ปราณภายในของคนผู้นี้มีคุณสมบัติไม่เลว แต่ว่าเส้นเอ็นกระดูกกำลังภายนอกหมดหนทางแล้ว มีหลายที่เข้ารูปไปแล้ว

เขาใคร่ครวญ กล่าวว่า “ร่างกายท่านเข้ารูปแข็งทื่อไปแล้ว ได้แต่ฝึกวิชากำลังภายในที่มีกระบวนท่าง่ายๆ ส่วนหนึ่ง ส่วนวิชากำลังภายนอก ข้าจะถ่ายทอดการเคลื่อนไหวหนึ่งให้ท่าน”

เขานึกถึงนิยายที่เคยอ่าน อาเฟยที่ลำบากฝึกฝนกระบี่ทิ่มแทงท่าหนึ่ง เป็นเพราะฝึกท่าเดียว ดังนั้นจึงร้ายกาจถึงขีดสุด

ลู่เซิ่งกลับอยากลองดูว่าวิธีฝึกนี้จะสำเร็จหรือไม่ ถึงอย่างไรเส้นเอ็นกระดูกของซ่งเจิ้นกั๋วก็เข้ารูปแล้ว

“ว่ากันว่าเพียงฝึกกระบวนท่าเดียวถึงพันรอบหมื่นรอบ สิบหมื่นรอบ ร้อยหมื่นรอบ กระบวนท่านี้จะน่าสะพรึงกลัวสุดขีด ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่เกิดอานุภาพกล้าแข็ง แต่ว่าอาการบาดเจ็บซ่อนเร้นในร่างที่เกิดขึ้นก็เพราะสาเหตุนี้ทำให้คนทั่วไปทนทานไม่ได้ บางทีไม่ทันฝึกถึงอานุภาพสูงสุด ร่างกายก็พิการแล้ว

แต่ว่านี่เป็นแนวคิดทางลัดอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้คนมีพลังต่อสู้เร็วกว่ายอดฝีมือทั่วไป” ลู่เซิ่งมองซ่งเจิ้นกั๋วที่ตาเป็นประกาย

“ข้าก็ทำได้หรือ” ซ่งเจิ้นกั๋วถามอย่างจริงจัง

ลู่เซิ่งพยักหน้า

“ท่านทดลองดูได้ ข้าจะดูร่างกายของท่านเพื่อกำหนดการเคลื่อนไหวที่เหมาะกับท่านอย่างหนึ่ง ท่านฝึกทุกวันอาจเกิดอานุภาพเพียงพอ” จะกำหนดตามร่างกายต้องหลีกเลี่ยงจุดแข็งทื่อในร่าง บวกกับวิชากำลังภายในเป็นวิชาหล่อเลี้ยงชีวิต สมควรชดเชยอาการบาดเจ็บซ่อนเร้นของวิธีการฝึกฝนนี้ได้ในระดับสูงสุด

ซ่งเจิ้นกั๋วตาเป็นประกาย

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

รอตอนทั้งสองเดินออกจากป่า ก็เป็นยามกลางอู่ ซ่งเจิ้นกั๋วประสานมือให้ลู่เซิ่งอย่างคึกคักฮึกเหิมแล้วจากไป รีบกลับไปฝึกฝนวิชากำลังภายในที่เรียนมาใหม่

‘ตอนเริ่มต้นยังแปลกใหม่ รอจนท่านฝึกฝนทุกวันแล้วไม่เห็นพัฒนาการอันใด จะรู้สึกทรมานแล้ว การฝึกฝนกำลังภายใน กำลังภายนอกพร้อมกันต่อให้ท่านเป็นอัจฉริยะกว่านี้ ถ้าไม่มีพื้นฐานมากกว่าห้าปีขึ้นไป แม้แต่อันดับสามก็นับไม่ได้” ลู่เซิ่งมองสัญญาซื้อขายบ้านในมือ ส่ายหน้าเล็กน้อย

นี่เป็นกิจการที่ซ่งเจิ้นกั๋วบริจาคให้อาจารย์หลังถ่ายทอดวิชา นับเป็นของขวัญกราบอาจารย์

ร้านผงหอมที่อยู่ในย่านคึกคักของเมืองเลียบคีรี พื้นที่ทำเลทองนั้นมีมูลค่าเกือบหมื่นตำลึง สำหรับซ่งเจิ้นกั๋วเป็นตัวเลขมหาศาล

เก็บสัญญาซื้อขายบ้านไว้ ลู่เซิ่งปรบมือ

อย่างรวดเร็วไกลออกไปก็มีพลพรรคที่เฝ้าอยู่วิ่งมา

“หัวหน้าฝ่ายกิจการภายนอก!”

“ไปตรวจสอบลู่อิงอิงน้องสาวของข้า ดูว่าช่วงนี้คบหาสนิทสนมกับบุรุษคนใด” ลู่เซิ่งสั่งราบเรียบ

“ขอรับ” พลพรรคคนนี้รีบขานรับอย่างเคารพ แล้วไปส่งคำสั่งอย่างรวดเร็ว

จัดการเรื่องซ่งเจิ้นกั๋วแล้ว ลู่เซิ่งก็จัดการคนไปเฝ้าประตูเมือง รอข่าวการย้ายบ้านของตระกูลลู่

เป็นเพราะเส้นทางยาวไกล เขาจึงไม่ส่งคนไปรับ หนำซ้ำตอนนี้ที่บ้านยังไม่รู้ว่าเขาเข้าร่วมพรรควาฬแดง และกลายเป็นหัวหน้าคนหนึ่ง เขาคิดรอบิดามาค่อยมอบความประหลาดใจให้

วันที่สอง ไปเข้าร่วมพิธีที่สถานศึกษาเขาบูรพา

ลู่เซิ่งเจอเฉินอวิ๋นซีที่ไม่เห็นมานาน คุณหนูตระกูลใหญ่ผู้นี้ดูเหมือนเศร้าสร้อยอยู่บ้าง รอตอนเห็นเขาค่อยกระตือรือร้น ในดวงตาปรากฏความยินดี

พิธีน่าเบื่อยิ่ง แค่ตั้งเวทีหินทรงกลมไว้สูงๆ วางกลองสี่ใบไว้ด้านบน ขณะเดียวกันก็มีขุนนางพิธีท่องกลอนในคัมภีร์พิธีกรรมยุคโบราณเสียงดัง

คนกลุ่มใหญ่ด้านล่างเวทีรับฟังจนสะลึมสะลือ

ลู่เซิ่งกับซ่งเจิ้นกั๋วยืนอยู่กลางฝูงชน สวมเสื้อคลุมยาวขอบแดงพื้นขาว ใส่หมวกปลายแหลมสีดำยกสูง

เฉินอวิ๋นซีสอบไม่ติด ในกลุ่มคนที่ปกติเที่ยวด้วยกัน มีแค่ซ่งเจิ้นกั๋วกับลู่เซิ่งสอบติด คนหนึ่งอันดับสิบหก คนหนึ่งอันดับสามสิบกว่า คนที่เหลืออยู่ด้านล่างเวที มองคนบนเวทีด้วยดวงตาอิจฉา

ลู่เซิ่งมองคนกลุ่มใหญ่เป็นสีดำแน่นขนัดเบื้องล่าง ข้างหูกลับได้ยินเสียงกระซิบของซ่งเจิ้นกั๋ว

“ปีหน้าพวกเราไปนครหลวงของมณฑลเข้าร่วมการสอบระดับฝู่ อาจารย์ลู่จะไปหรือไม่” ซ่งเจิ้นกั๋วถามเบาๆ

“การสอบระดับฝู่..” ลู่เซิ่งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ถอนใจคำหนึ่ง มาถึงระดับของเขา ในฐานะผู้จัดการภารกิจภายนอกพรรควาฬแดง มีอำนาจในมือไม่น้อย รับผิดชอบการรักษาความสงบมั่นคงในโลกใต้ดินของเมืองเลียบคีรีทั้งหมดในนาม ไปเข้าร่วมการทดสอบอีกมีความหมายหรือ

ต่อให้ผ่านการทดสอบระดับฝู่กลายเป็นจวี่เหริน (บัณฑิตชนบท) แล้วเป็นอย่างไร ต่อให้ภายหลังผ่านการสอบใหญ่ระดับฮุ่ยกับระดับเตี้ยน ก็แค่กลายเป็นก้งเซิงกลายเป็นจิ้นซื่อ แต่นี่มีประโยชน์ใดต่อโลกนี้

ลู่เซิ่งถอนใจเงียบๆ ไม่ได้ปรายตามอง

“ถึงเวลาค่อยว่ากันเถอะ” เขาไม่อยากเข้าร่วมการสอบขุนนางบ้างแล้ว

“อาจารย์ลู่ใยไม่สอบเอาบรรดาศักดิ์บู๊” ซ่งเจิ้นกั๋วเสนอ “ด้วยความสามารถของอาจารย์ลู่ บรรดาศักดิ์บู๊แค่ยื่นมือก็คว้ามาได้”

“ต่อให้เป็นขุนนางแล้วอย่างไร” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงทุ้มต่ำ

“เป็นขุนนาง เป็นขุนนางแล้ว…” ซ่งเจิ้นกั๋วอึ้ง คิดอธิบาย แต่ยิ่งคิดยิ่งไม่ถูกต้อง ค่อยๆ ก้มหน้า “ใช่แล้ว… ต่อให้เป็นขุนนางแล้วมีประโยชน์อันใด…” ครู่เดียวสีหน้าเขาก็เศร้าหมอง

“กราบอริยชน!” เสียงตะโกนของขุนนางพิธีดังขึ้น ตัดบทสนทนาของทั้งสอง

คนที่สอบผ่านพากันกราบรูปปั้นอริยาชนสำริดบนเวทีสูงอย่างนอบน้อม

อริยชนจ้าวมู่ ถูกชนชาวโลกเรียกว่าจ้าวจื่อ เป็นผู้บุกเบิกระบบการสอบขุนนาง หลังเสียชีวิตจักรพรรดิได้สถาปนายกขึ้นเป็นอริยชน ซึ่งความจริงเป็นแค่คนธรรมดาที่มีผลงานมากพอคนหนึ่ง

ลู่เซิ่งมองรูปปั้นสำริดของชายชราสูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง ใบหน้าไร้อารมณ์ โค้งตัวคำนับตามคนอื่นๆ

‘วันหน้าเราจะเหมือนอย่างตอนนี้หรือไม่ กราบขุนนางชั้นสูง กราบจักรพรรดิ กราบคนที่มีตำแหน่งสูงกว่า’ ความคิดหนึ่งแวบขึ้นในใจเขา

ตอนโค้งตัวก้มหัว ในที่สุดดวงตาของลู่เซิ่งก็เกิดความแน่วแน่

‘ในโลกใบนี้ไหนเลยมีหลักการผู้อ่อนแอได้รับการกราบไหว้จากผู้แข็งแกร่ง’ เขาฟังบทเซ่นไหว้ที่ยาวเหยียดของขุนนางพิธี จิตใจค่อยๆ สงบลง

‘ขุนนงขุนนางไม่เป็นมันแล้ว’

ระหว่างเมืองเก้าประสานกับเมืองเลียบคีรี ท่ามกลางขุนเขาสีเขียวเข้ม บนเส้นทางสีเหลืองขุ่น ขบวนรถที่เหมือนขบวนพ่อค้าค่อยๆ เดินทางไปด้านหน้า

ขบวนรถปักธงสูง ธงสีดำปักคำว่าลู่สีขาว

ม้าและวัวสิบกว่าตัว บรรทุกรถหลายคัน กลุ่มคนสี่สิบกว่าคน ในนี้แค่ทหารคุ้มครองก็มีสิบกว่าคนแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นญาติสายตรงและสายข้างของตระกูลลู่

วัวเทียมเกวียนและรถม้าที่หนักอึ้งต่างคลุมผ้ากันฝนสีเทาชั้นหนึ่ง ลู่เฉวียนอันนั่งบนรถม้าอยู่ด้านหน้า ข้างๆ เป็นลุงจ้าวกับอาจารย์สอนวรยุทธ์ในตระกูลสองสามคน

ฟ้าค่อยๆ มืดลง ลุงจ้าวหยีตามองด้านหน้า จากนั้นมองไปรอบๆ

“ด้านหน้าไม่มีหมู่บ้าน ด้านหลังไร้ร้านค้า ก่อนหน้านี้พวกเราควรพักผ่อนที่ตำบลทิวงามสักคืน”

ลู่เฉวียนอันส่ายหน้า “ไม่มีประโยชน์ ที่นี่เป็นกลางทางพอดี พวกเราช้าเกินไป มีเวลาเพิ่มหนึ่งวันก็ไม่ทันอยู่ดี”

เขาหันไปมองรถเทียมเกวียนคันหนึ่งด้านหลัง ล้อรถยังมีร่องรอยการซ่อมแซม

“เฮ้อ ถ้าไม่ใช่ก่อนหน้าตกหลุมจนเพลาเสียหาย พวกเราคงไม่ช้าปานนี้ สี่วันแล้วเพิ่งได้ครึ่งทาง

“ไม่รู้ว่าเซิ่งเอ๋อร์กับลู่อิงอิงอยู่ที่เมืองเลียบคีรีเป็นอย่างไรบ้าง”

“นายผู้เฒ่าวางใจ คุณชายลู่มีวรยุทธ์ติดตัว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เสียเปรียบ” ลุงจ้าวยิ้มกล่าว พอพูดถึงลู่เซิ่ง เขาก็รู้สึกชื่นชมยิ่ง อัจฉริยะยอดฝีมือที่อายุแค่นี้ก็บรรลุสำนึกปลอดโปร่ง เขาเชื่อว่าต่อให้เป็นเมืองเลียบคีรีก็มีเพียงน้อยนิด

“ข้าเกรงว่าเขาจะก่อเรื่อง…” ลู่เฉวียนอันถอนใจ

ก่อเรื่องหรือ

ลุงจ้าวไม่มีคำพูดตอบ

“ประมุขตระกูลในเมื่อไม่วางใจ เหตุใดจึงให้คุณชายเซิ่งไปเมืองเลียบคีรีคนเดียว”

“เพราะข้าไม่คิดผูกมัดเขาไว้ โลกของเซิ่งเอ๋อร์แตกต่างกับพวกเรา เขายังหนุ่ม อนาคตยังไม่แน่นอน” ลู่เฉวียนอันส่ายหน้ากล่าว

ลุงจ้าวเข้าใจความคิดนี้ จึงไม่กล่าวต่ออีก รีบเปลี่ยนหัวข้อ

“ฟ้ามืดแล้ว ทางที่ดีที่สุดพวกเราหาสถานที่พักผ่อนสักคืน ไม่อย่างนั้นอยู่กลางแจ้งแบบนี้ น้ำค้างตอนกลางคืนแรงยิ่ง ไม่น่าสนุกนัก”

“อือ อาจ้าวท่านดูตรงนั้น มีหมู่บ้านใช่หรือไม่” ลู่เฉวียนอันพลันชี้ไปทางขวา

ลุงจ้าวมองตาม เห็นเพียงบนทางหลวงระหว่างขุนเขาสีเขียวครึ้มมีกระท่อมกำแพงดินบริเวณหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว คล้ายเป็นหมู่บ้าน เพียงแต่ดูเปล่าเปลี่ยวทรุดโทรมอยู่บ้าง

“ลองไปดู จ่ายเงินขอค้างสักคืน”

………………………………………….